คำพิพากษาฎีกาที่ ๕๔๒๕ - ๕๔๒๖/๖๐
ค่ารถแทนรถยนต์ประจำตำแหน่ง ไม่ถือเป็นค่าจ้าง และ ค่าจ้างสำหรับวันหยุดพักผ่อนประจำปีสะสมให้ถือตามข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงานที่กำหนดไว้
โจทก์ทั้งสองสำนวนฟ้องและแก้ไขคำฟ้องว่า ศาลล้มละลายกลางมีคำสั่งให้ฟื้นฟูกิจการของจำเลยที่ ๑ โดยมีจำเลยที่ ๒ เป็นผู้บริหารแผน จำเลยที่ ๓ ถึงที่ ๑๐ เป็นกรรมการผู้มีอำนาจของจำเลยที่ ๒ จำเลยที่ ๑๑ เป็นลูกจ้างของจำเลยที่ ๑ ในตำแหน่งกรรมการผู้จัดการใหญ่มีอำนาจกระทำการแทนจำเลยที่ ๑ และได้รับมอบหมาย แต่งตั้ง และอยู่ภายใต้การบังคับบัญชาของจำเลยที่ ๒ โดยมีจำเลยที่ ๓ ถึงที่ ๑๑ เป็นตัวแทนมีอำนาจบังคับบัญชาลูกจ้างของจำเลยที่ ๑ ถือว่าจำเลยทั้งสิบเอ็ดเป็นนายจ้าง โจทก์ที่ ๑ เข้าทำงานเป็นลูกจ้างของจำเลยที่ ๑ เมื่อวันที่ ๑๑ พฤษภาคม ๒๕๓๖ ตำแหน่งสุดท้ายเป็นผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ เงินเดือนสุดท้ายเดือนละ ๑๘๙,๔๓๐ บาท และค่าตำแหน่ง ๒๒,๕๐๐ บาท กับค่ารถ ๓๕,๐๐๐ บาท ซึ่งจำเลยที่ ๑ จ่ายให้แก่โจทก์ที่ ๑ เป็นจำนวนแน่นอนทุกเดือนรวมเป็นค่าจ้างอัตราสุดท้ายเดือนละ ๒๔๖,๙๓๐ บาท โจทก์ที่ ๒ เข้าทำงานเป็นลูกจ้างของจำเลยที่ ๑ เมื่อวันที่ ๑๖ กันยายน ๒๕๔๕ ตำแหน่งสุดท้ายเป็นผู้จัดการส่วนกำกับธุรกิจโทรคมนาคม เงินเดือนสุดท้ายเดือนละ ๕๐,๗๒๐ บาท และค่ารถ ๒,๕๐๐ บาท ซึ่งจำเลยที่ ๑ จ่ายให้แก่โจทก์ที่ ๒ เป็นจำนวนแน่นอนทุกเดือน รวมเป็นค่าจ้างอัตราสุดท้ายเดือนละ ๕๓,๒๒๐ บาท กำหนดจ่ายค่าจ้างก่อนวันทำการสุดท้ายของแต่ละเดือน จำเลยที่ ๑ เลิกจ้างโจทก์ทั้งสอง มีผลเป็นการเลิกจ้างโจทก์ที่ ๑ วันที่ ๑ เมษายน ๒๕๕๕ และโจทก์ที่ ๒ วันที่ ๑ มิถุนายน ๒๕๕๕ โดยอ้างเหตุผลว่า จำเลยที่ ๑ อยู่ระหว่างฟื้นฟูกิจการและปรับโครงสร้างการทำงานใหม่ให้สอดคล้องรองรับการทำธุรกิจซึ่งเป็นภารกิจหนึ่งในแผนฟื้นฟูกิจการเพื่อลดค่าใช้จ่ายและเห็นว่าโจทก์ทั้งสองอยู่ตำแหน่งที่ต้องปรับลดจำเลยที่ ๑ เลิกจ้างโดยโจทก์ทั้งสองไม่มีความผิด เลือกปฏิบัติ และกลั่นแกล้งโจทก์ทั้งสองเป็นการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรม ขอให้บังคับจำเลยทั้งสิบเอ็ดร่วมกันหรือแทนกันชำระค่าชดเชยที่ยังจ่ายไม่ครบ ๓๕๐,๐๐๐ บาท สินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้าที่ยังจ่ายไม่ครบ ๓๕,๐๐๐ บาท ค่าจ้างสำหรับวันหยุดพักผ่อนประจำปีสะสมย้อนหลังปี ๒๕๔๕ ถึงปี ๒๕๕๕ รวม ๑๑๑ วัน เป็นเงิน ๙๑๓,๖๔๑ บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ ๑๕ ต่อปี ของต้นเงินทั้งสามจำนวนรวม ๑,๒๙๘,๖๔๑ บาท นับแต่วันเลิกจ้างถึงวันฟ้องคิดเป็นดอกเบี้ย ๖๓,๓๑๕.๓๒ บาท กับดอกเบี้ยของต้นเงิน ๑,๒๙๘,๖๔๑ บาท นับแต่วันเลิกจ้างถึงวันฟ้องคิดเป็นดอกเบี้ย ๖๓,๓๑๕.๓๒ บาท กับดอกเบี้ยของต้นเงิน ๑,๒๙๘,๖๔๑ บาท นับถัดจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ที่ ๑ กับค่าเสียหายจากการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรม ได้แก่ค่าขาดรายได้ ๒๐,๐๐๑,๓๓๐ บาท เงินโบนัส ๑,๔๘๑,๕๘๐ บาท ค่าขาดประโยชน์จากเงินที่นายจ้างต้องจ่ายสมทบกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ ๑,๔๐๐,๐๙๓.๑๐ บาท ค่าขาดประโยชน์จากการที่จำเลยที่ ๑ ต้องจัดสรรหุ้นให้ตามแผนฟื้นฟูกิจการ ๔๙๓,๘๖๐ บาท และค่าโทรศัพท์ ๘๑,๐๐๐ บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ ๗.๕ ต่อปีของค่าเสียหายจากการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรม นับแต่วันเลิกจ้างถึงวันฟ้องคิดเป็นดอกเบี้ย ๕๕๙,๑๓๒.๖๓ บาท แก่โจทก์ที่ ๑ จนกว่าจะชำระเสร็จ และให้จำเลยทั้งสิบเอ็ดร่วมกันหรือแทนกันชำระค่าชดเชยที่ยังจ่ายไม่ครบ ๒๐,๐๐๐ บาท สินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้าที่ยังจ่ายไม่ครบ ๒,๕๐๐ บาท ค่าจ้างสำหรับวันหยุดพักผ่อนประจำปีสะสมย้อนหลังปี ๒๕๔๕ ถึงปี ๒๕๕๕ รวม ๑๔ วัน เป็นเงิน ๒๔,๘๓๖ บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ ๑๕ ต่อปี ของต้นเงินทั้งสามจำนวนรวม ๔๔,๘๓๖ บาท นับแต่วันเลิกจ้างถึงวันฟ้องคิดเป็นดอกเบี้ย ๑,๙๓๖ บาท กับดอกเบี้ยอัตราร้อยละ ๑๕ ต่อปีของต้นเงิน ๔๖,๗๗๒ บาท นับถัดจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ที่ ๒ กับค่าเสียหายจากการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรม ได้แก่ ค่าเสียหายที่ไม่สามารถหางานได้ ๖๓๘,๖๔๐ บาท ค่าขาดรายได้จากส่วนต่างเงินเดือนเป็นเงิน ๕,๗๑๒,๑๒๐ บาท ค่าขาดประโยชน์จากเงินที่นายจ้างต้องจ่ายสมทบกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ ๔๔๔,๕๕๓ บาท ค่าขาดประโยชน์จากการที่จำเลยที่ ๑ ต้องจัดสรรหุ้นให้ตามแผนฟื้นฟูกิจการ ๕๓,๒๒๐ บาท และค่าโทรศัพท์ ๑๒๙,๐๐๐ บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ ๗.๕ ต่อปี ของค่าเสียหายจากการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรม นับแต่วันเลิกจ้างถึงวันฟ้องคิดเป็นดอกเบี้ย ๖๘๗,๖๗๕ บาท แก่โจทก์ที่ ๒ จนกว่าจะชำระเสร็จ
จำเลยทั้งสิบเอ็ดให้การทั้งสองสำนวนทำนองเดียวกันว่า จำเลยที่ ๑ จ่ายเงินค่าชดเชย สินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้า และค่าจ้างสำหรับวันหยุดพักผ่อนประจำปีครบถ้วนแล้ว ค่ารถเป็นสวัสดิการไม่ใช่ค่าจ้าง จำเลยที่ ๑ ยกเลิกรถประจำตำแหน่งและจ่ายเป็นเงินแทนจึงไม่อาจนำมารวมคำนวณเป็นค่าจ้าง ไม่มีข้อตกลงหรือสัญญาให้จำเลยที่ ๑ จ่ายค่าขาดรายได้ ค่าขาดประโยชน์ พร้อมดอกเบี้ยจากการเลิกจ้างตามฟ้อง การเลิกจ้างเป็นธรรมและมีเหตุสมควร จำเลยที่ ๑ ขาดทุนต่อเนื่องหลายปี จนต้องฟื้นฟูกิจการตามแผนโดยปรับลดขนาดองค์กร ลดจำนวนลูกจ้างโดยพิจารณาด้วยความเป็นธรรมไม่เลือกปฏิบัติ จึงไม่ต้องจ่ายค่าเสียหายตามฟ้อง จำเลยที่ ๒ มีอำนาจบริหารกิจการของจำเลยที่ ๑ ตามขอบอำนาจหน้าที่ตามแผนฟื้นฟูกิจการและต้องรายงานผลการดำเนินงานต่อเจ้าหนี้ในการประชุมเจ้าหนี้ทุกเดือน จำเลยที่ ๓ ถึงที่ ๑๐ เป็นกรรมการบริษัทจำเลยที่ ๒ ไม่ใช่นายจ้างของโจทก์ทั้งสอง จำเลยที่ ๑๑ มีอำนาจหน้าที่บริหารงานของจำเลยที่ ๑ ตามขอบอำนาจที่ได้รับมอบหมายจากจำเลยที่ ๑ และที่ ๒ และต้องรายงานผลการดำเนินงานต่อจำเลยที่ ๑ และที่ ๒ ทุกเดือน จำเลยที่ ๒ ถึงที่ ๑๑ ไม่ต้องรับผิดเป็นการส่วนตัวร่วมกับจำเลยที่ ๑ ขอให้ยกฟ้อง
ศาลแรงงานกลางพิจารณาแล้ว พิพากษาให้จำเลยที่ ๑ จ่ายค่าชดเชย ๒๐,๐๐๐ บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ ๑๕ ต่อปี และสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้า ๒,๕๐๐ บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ ๗.๕ ต่อปี นับแต่วันที่ ๑ มิถุนายน ๒๕๕๕ เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ที่ ๒ ยกฟ้องโจทก์ที่ ๑ คำขออื่นให้ยก
โจทก์ทั้งสองอุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีแรงงานตรวจสำนวนประชุมปรึกษาแล้ว ศาลแรงงานกลางฟังข้อเท็จจริงเป็นยุติว่า จำเลยที่ ๑ เป็นนิติบุคคลประเภทบริษัทมหาชนจำกัด ประกอบธุรกิจบริการโทรคมนาคม เมื่อวันที่ ๗ พฤศจิกายน ๒๕๕๑ ศาลล้มละลายกลางมีคำสั่งให้ฟื้นฟูกิจการของจำเลยที่ ๑ และตั้งจำเลยที่ ๒ ซึ่งเป็นนิติบุคคลประเภทบริษัทจำกัดเป็นผู้ทำแผนต่อมาวันที่ ๒๘ ธันวาคม ๒๕๕๓ ศาลล้มละลายกลางมีคำสั่งเห็นชอบด้วยแผนฟื้นฟูกิจการโดยมีจำเลยที่ ๒ เป็นผู้บริหารแผน จำเลยที่ ๓ ถึงที่ ๑๐ เป็นกรรมการผู้มีอำนาจกระทำการแทนจำเลยที่ ๒ ส่วนจำเลยที่ ๑๑ รับว่าจ้างจากจำเลยที่ ๑ โดยการติดต่อของจำเลยที่ ๒ ให้ดำรงตำแหน่งกรรมการผู้จัดการใหญ่ของจำเลยที่ ๑ ตั้งแต่ต้นปี ๒๕๕๔ มีหน้าที่บริหารกิจการงานของจำเลยที่ ๑ ให้ประสบผลสำเร็จตามแผนฟื้นฟูกิจการ จำเลยที่ ๑ ว่าจ้างคณะบุคคลชัชวลิตทำแผนฟื้นฟูองค์กรและโครงสร้างองค์กรใหม่ โจทก์ที่ ๑ เป็นลูกจ้างของจำเลยที่ ๑ เข้าทำงานตั้งแต่วันที่ ๑๑ พฤษภาคม ๒๕๓๖ ตำแหน่งสุดท้ายเป็นผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ ได้รับเงินเดือนอัตราสุดท้ายเดือนละ ๑๘๙,๔๓๐ บาท และค่าตำแหน่ง ๒๒,๕๐๐ บาท กับค่ารถ ๓๕,๐๐๐ บาท กำหนดจ่ายค่าจ้างก่อนวันทำการสุดท้ายของแต่ละเดือน จำเลยที่ ๑ มีคำสั่งเลิกจ้างโจทก์ที่ ๑ เมื่อวันที่ ๒๗ มีนาคม ๒๕๕๕ มีผลเป็นการเลิกจ้างโจทก์ที่ ๑ ในวันที่ ๑ เมษายน ๒๕๕๕ โจทก์ที่ ๑ ได้รับค่าชดเชย ๑๐ เดือน เป็นเงิน ๒,๑๑๙,๓๐๐ บาท สินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้า ๑ เดือน เป็นเงิน ๒๑๑,๙๓๐ บาท และค่าจ้างสำหรับวันหยุดพักผ่อนประจำปี ๒๐ วัน เป็นเงิน ๑๔๑,๒๘๖.๖๖ บาท จากจำเลยที่ ๑ แล้ว ตามสำเนาคำสั่งเลิกจ้างและบันทึกการรับเงินเอกสารหมาย จ.๔๓ ล.๑๗ และ ล.๑๘ โจทก์ที่ ๑ มีวันหยุดพักผ่อนประจำปีที่ไม่ได้ใช้สิทธิ ๑๑๑ วัน ตามสำเนาสถิติการลาและสำเนาตารางแสดงการคำนวณค่าจ้างสำหรับวันหยุดพักผ่อนประจำปี เอกสารหมาย จ.๘ และ จ.๑๐ โจทก์ที่ ๒ เป็นลูกจ้างของจำเลยที่ ๑ เข้าทำงานตั้งแต่วันที่ ๑๖ กันยายน ๒๕๔๕ ตำแหน่งสุดท้ายเป็นผู้จัดการส่วนกำกับธุรกิจโทรคมนาคม ได้รับเงินเดือนอัตราสุดท้ายเดือนละ ๕๐,๗๒๐ บาท และค่ารถหรือเงินช่วยเหมาจ่าย ๒,๕๐๐ บาท กำหนดจ่ายค่าจ้างก่อนวันทำการสุดท้ายของแต่ละเดือน จำเลยที่ ๑ มีคำสั่งเลิกจ้างโจทก์ที่ ๒ เมื่อวันที่ ๒๒ พฤษภาคม ๒๕๕๕ มีผลเป็นการเลิกจ้างในวันที่ ๑ มิถุนายน ๒๕๕๕ โจทก์ที่ ๒ ได้รับค่าชดเชย ๘ เดือน เป็นเงิน ๔๐๕,๗๖๐ สินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้า ๑ เดือน เป็นเงิน ๕๐,๗๒๐ บาท และค่าจ้างสำหรับวันหยุดพักผ่อนประจำปี ๑๖ วัน เป็นเงิน ๒๗,๐๕๐.๖๗ บาท จากจำเลยที่ ๑ แล้วตามคำสั่งเลิกจ้างและสำเนาบันทึกการรับเงินเอกสารหมาย จ.๕๖ ล.๒๐ และ ล.๒๑ โจทก์ที่ ๒ มีวันหยุดพักผ่อนประจำปีที่ไม่ได้สิทธิ ๑๔ วัน ตามสำเนาสถิติการลาและสำเนาตารางแสดงการคำนวณค่าจ้างสำหรับวันหยุดพักผ่อนประจำปี เอกสารหมาย จ.๙ และ จ.๑๑ จำเลยที่ ๑ มีระเบียบข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงาน ตามเอกสารหมาย ล.๑๖ กำหนดว่า ลูกจ้างมีสิทธิสะสมวันลาหยุดพักผ่อนประจำปีที่เหลืออยู่ในรอบปีปัจจุบันรวมกับปีถัดไปได้ แต่รวมวันลาได้ทั้งสิ้นไม่เกิน ๒๐ วันทำงานในแต่ละปีปฏิทินวันหยุดส่วนที่เกิน ๒๐ วันทำงานจะหมดไปในวันสิ้นปีโดยไม่มีเงินชดเชย
คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของโจทก์ที่ ๑ ว่า เงินค่ารถ ๓๕,๐๐๐ บาท ที่จำเลยที่ ๑ จ่ายให้โจทก์ที่ ๑ ทุกเดือน เป็นค่าจ้างตามพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. ๒๕๔๑ มาตรา ๕ หรือไม่ ปัญหานี้ศาลแรงงานกลางฟังข้อเท็จจริงเป็นยุติว่า โจทก์ที่ ๑ ได้รับเงินค่ารถตั้งแต่ก่อนดำรงตำแหน่งระดับพี ๑๒ โดยระบุเป็นเงิน "อื่นๆ" ในใบรับเงินเดือน และมีการเพิ่มค่ารถให้ตามระดับของตำแหน่งที่เพิ่มขึ้น เช่น เมื่อช่วงปี ๒๕๔๗ โจทก์ที่ ๑ ทำงานในตำแหน่งระดับพี ๑๐ ได้รับค่ารถ ๑๕,๐๐๐ บาท ต่อมาตั้งแต่งวดเดือนมกราคม ๒๕๕๑ ถึงเดือนมกราคม ๒๕๕๓ โจทก์ที่ ๑ ได้รับค่ารถ ๒๕,๐๐๐ บาท และขณะที่โจทก์ที่ ๑ ดำรงตำแหน่งระดับพี ๑๒ โจทก์ที่ ๑ ได้รับเงินช่วยเหมาจ่ายเป็นค่าตำแหน่ง ๒๒,๕๐๐ บาท และค่ารถ ๓๕,๐๐๐ บาท นอกจากนี้โจทก์ที่ ๑ ยังได้รถยนต์ประจำตำแหน่งด้วย จำเลยที่ ๑ เคยมีหนังสือลงวันที่ ๑๗ มิถุนายน ๒๕๔๗ อนุมัติจ่ายค่ารถ (Car Allowance) และน้ำมันรถยนต์ผู้บริหารตามเอกสาร หมาย ล.๑๒ ระบุว่า ยกเลิกรถยนต์ประจำตำแหน่งผู้บริหารทั้งหมดโดยจ่ายเป็นเงิน (Car Allowance) แทนคงไว้เฉพาะระดับผู้อำนวยการฝ่ายอาวุโสขึ้นไป (เอสวีพีอัพ, พี ๑๒ ถึงพี ๑๔) ผู้อำนวยการเขต พีเอ ๑ - ๙ เท่านั้น โดยมีเอกสารแนบท้ายระบุว่าโจทก์ที่ ๑ เป็นผู้บริหารที่เคยได้สิทธิรถยนต์ประจำตำแหน่งแล้วอยู่ในเกณฑ์ได้รับเงินค่ารถ (Car Allowance) แทนและในเอกสารดังกล่าวแสดงถึงผู้บริหารระดับสูงที่อยู่ในเกณฑ์ได้รถยนต์ประจำตำแหน่งจะไม่ได้เงินค่ารถ (Car Allowance) ด้วย ดังนี้ เห็นว่า การจัดรถยนต์ประจำตำแหน่งเป็นสวัสดิการ ต่อมาเมื่อมีการจ่ายเงินค่ารถ (Car Allowance) แทนการจัดรถยนต์ประจำตำแหน่งให้ จึงเป็นการจ่ายเงินเพื่อเป็นสวัสดิการ มิใช่เงินที่นายจ้างและลูกจ้างตกลงกันจ่ายเป็นค่าตอบแทนการทำงานตามสัญญาจ้างสำหรับระยะเวลาทำงานปกติเป็นรายเดือน มิใช่ค่าจ้างตามพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. ๒๕๔๑ มาตรา ๕ ที่ศาลแรงงานกลางวินิจฉัยมาว่าเงินค่ารถ ๓๕,๐๐๐ บาท ที่จำเลยที่ ๑ จ่ายให้โจทก์ที่ ๑ ทุกเดือนไม่ใช่ค่าจ้างและไม่นำไปรวมเป็นฐานคำนวณเงินอื่นๆ ด้วยนั้น ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกาแล้ว อุทธรณ์ข้อนี้ของโจทก์ที่ ๑ ฟังไม่ขึ้น
คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์ข้อต่อไปของโจทก์ทั้งสองว่า โจทก์ทั้งสองมีสิทธิได้รับค่าจ้างสำหรับวันหยุดพักผ่อนประจำปีสะสมหรือไม่ เห็นว่า ตามพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. ๒๕๔๑ มาตรา ๓๐ กำหนดให้เป็นหน้าที่ของนายจ้างต้องจัดให้ลูกจ้างมีวันหยุดพักผ่อนประจำปีหรือกำหนดวันหยุดพักผ่อนประจำปีให้ตามที่นายจ้างและลูกจ้างตกลงกันปีละไม่น้อยกว่า ๖ วันทำงาน โดยอาจตกลงกันให้สะสมและเลื่อนวันหยุดพักผ่อนประจำปีที่ยังมิได้หยุดในปีนั้นรวมเข้ากับปีต่อๆ ไปได้ เมื่อตามข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงานเอกสารหมาย ล.๑๖ บทที่ ๓ วันหยุด และหลักเกณฑ์การหยุด ข้อ ๓.๓ ได้กำหนดให้ลูกจ้างมีสิทธิสะสมวันลาหยุดพักผ่อนประจำปีที่เหลืออยู่ในรอบปีปัจจุบันไปรวมกับปีถัดต่อไปได้ แต่รวมวันลาดังกล่าวทั้งสิ้นไม่เกิน ๒๐ วันทำงานในแต่ละปีปฏิทิน และตามข้อ ๓.๔ จำเลยที่ ๑ ได้กำหนดหลักเกณฑ์การลาหยุดพักผ่อนประจำปีให้ลูกจ้างที่ต้องการใช้สิทธิหยุดพักผ่อนประจำปีต้องยื่นใบลาต่อผู้บังคับบัญชาล่วงหน้าไม่น้อยกว่า ๓ วัน เมื่อได้รับอนุมัติแล้วจึงจะหยุดงานได้โดยหากลูกจ้างมีวันหยุดพักผ่อนประจำส่วนที่เกินกว่าสิทธิที่กำหนดไว้ในข้อ ๓.๓ สิทธิดังกล่าวจะหมดไปในวันสิ้นปี โดยไม่มีเงินชดเชย เมื่อพิจารณาหลักเกณฑ์ดังกล่าว การที่ลูกจ้างของจำเลยที่ ๑ ประสงค์จะหยุดพักผ่อนประจำปีในวันใดจะต้องยื่นใบลาล่วงหน้า โดยจะหยุดได้ต่อเมื่อได้รับอนุมัติแล้ว จึงเป็นกรณีที่จำเลย ๑ ได้ตกลงกับลูกจ้างกำหนดวันหยุดพักผ่อนประจำปีร่วมกันเมื่อข้อตกลงกำหนดวันหยุดพักผ่อนประจำปีและกำหนดสิทธิในการสะสมวันหยุดพักผ่อนประจำปีไว้เช่นใด โจทก์ทั้งสองจึงต้องใช้สิทธิหยุดพักผ่อนประจำปีและมีสิทธิสะสมวันหยุดพักผ่อนประจำปีตามที่ตกลงกันไว้นั้น การที่โจทก์ทั้งสองไม่ใช้สิทธิลาหยุดพักผ่อนประจำปีในปีใดจึงมีสิทธิสะสมวันหยุดพักผ่อนประจำปีในปีถัดไปได้เพียงแค่ ๒๐ วันทำงาน ส่วนวันหยุดพักผ่อนประจำปีที่ โจทก์ทั้งสองมิได้ใช้สิทธิที่เหลือจึงต้องถือว่าโจทก์ทั้งสองไม่ประสงค์จะหยุดพักผ่อนประจำปีและสะสมวันหยุดตามที่ตกลงกันแล้ว จำเลยหาจำต้องจ่ายค่าจ้างสำ หรับวันหยุดพักผ่อนประจำปีสะสมตามฟ้องแก่โจทก์ทั้งสองไม่ อุทธรณ์ของโจทก์ทั้งสองฟังไม่ขึ้น
ส่วนที่โจทก์ทั้งสองอุทธรณ์ว่า การเลิกจ้างโจทก์ทั้งสองเป็นการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรมเพราะพยานหลักฐานของจำเลยที่ ๑ ไม่อาจรับฟังได้ว่า จำเลยที่ ๑ มีความจำเป็นต้องปรับโครงสร้างการทำงานใหม่โดยปรับลดขนาดองค์กรลงและมิได้เกิดจากภาวะเศรษฐกิจจำเป็น แต่กลับปรากฏจากเอกสารหลักฐานต่างๆ ว่าปริมาณและภารกิจงานจำเลยที่ ๑ มิได้ลดลงเพราะจำเลยที่ ๑ จะต้องลงทุนประกอบธุรกิจใหม่ทั้งจำเลยที่ ๑ มิได้ดำเนินการตามขั้นตอนและวิธีการที่เป็นธรรมต่อโจทก์ที่ ๑ และโจทก์ที่ ๒ ก่อนที่จะเลิกจ้าง ไม่เคยมีหลักเกณฑ์ให้ลูกจ้างสมัครใจลาออกโดยรับค่าชดเชยหรือลดเงินเดือนแทนการเลิกจ้าง ไม่มีการกำหนดหลักเกณฑ์การพิจารณาที่เป็นธรรมแก่ลูกจ้างที่จะถูกเลิกจ้างมาก่อนแต่อย่างใด นั้น เมื่อศาลแรงงานกลางวินิจฉัยจากพยานหลักฐานทั้งปวงแล้วฟังข้อเท็จจริงว่า จำเลยที่ ๑ ตกอยู่ในภาวะยากลำบากต้องพยายามหาวิธีการบริหารจัดการเพื่อความอยู่รอด ต้องจ้างจำเลยที่ ๒ และที่ ๑๑ รวมทั้งที่ปรึกษากฎหมายมืออาชีพด้วย ค่าจ้างสูงมาให้ความเห็นทำแผนฟื้นฟูกิจการ ทำโครงสร้างการทำงานใหม่ จำเลยที่ ๑ เลิกจ้างโจทก์ทั้งสองรวมทั้งลูกจ้างอื่นอีกสามร้อยกว่าคนไปตามโครงสร้างใหม่ไม่ได้กลั่นแกล้งโจทก์ทั้งสองดังนี้อุทธรณ์ข้อนี้ของโจทก์ทั้งสองจึงเป็นการโต้แย้งดุลพินิจในการรับฟังพยานหลักฐานของศาลแรงกลาง เป็นอุทธรณ์ในข้อเท็จจริง ต้องห้ามอุทธรณ์ตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. ๒๕๒๒ มาตรา ๕๔ วรรคหนึ่ง ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
คงมีปัญหาต้องวินิจฉัยอุทธรณ์ของโจทก์ทั้งสองประการสุดท้ายว่า จำเลยที่ ๒ ถึงที่ ๑๑ ต้องร่วมรับผิดกับจำเลยที่ ๑ หรือไม่ เห็นว่า จำเลยที่ ๒ เป็นผู้บริหารแผนฟื้นฟูกิจการของจำเลยที่ ๑ โดยมีจำเลยที่ ๓ ถึงที่ ๑๐ เป็นกรรมการผู้มีอำนาจของจำเลยที่ ๒ ส่วนจำเลยที่ ๑๑ มีอำนาจหน้าที่บริหารของจำเลยที่ ๑ ตามขอบอำนาจที่ได้รับมอบหมายดังนั้น จำเลยที่ ๒ ถึงที่ ๑๑ จึงเป็นผู้ซึ่งได้รับมอบหมายให้ทำงานแทนจำเลยที่ ๑ ซึ่งเป็นนายจ้าง หรือเป็นผู้มีอำนาจกระทำการแทนจำเลยที่ ๑ ซึ่งเป็นนิติบุคคลและผู้ซึ่งได้รับมอบหมายจากผู้มีอำนาจกระทำการแทนจำเลยที่ ๑ ให้ทำการแทนด้วย จำเลยที่ ๒ ถึงที่ ๑๑ จึงอยู่ในความหมายของ " นายจ้าง " ตามพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. ๒๕๔๑ มาตรา ๕ ดังนั้นจำเลยที่ ๒ ถึงที่ ๑๑ จึงต้องร่วมรับผิดกับจำเลยที่ ๑ ต่อโจทก์ทั้งสองแต่การกระทำของจำเลยที่ ๒ ถึงที่ ๑๑ ในฐานะนายจ้างตัวแทนหรือนายจ้างรับมอบได้กระทำการแทนจำเลยที่ ๑ ไปในขอบอำนาจของตัวแทน ย่อมถือเป็นการกระทำของจำเลยที่ ๑ ซึ่งเป็นตัวการ จำเลยที่ ๒ ถึงที่ ๑๑ จึงไม่ต้องรับผิดเป็นการส่วนตัว อุทธรณ์ของโจทก์ทั้งสองฟังขึ้นบางส่วน
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยที่ ๒ ถึงที่ ๑๑ ร่วมรับผิดกับจำเลยที่ ๑ ต่อโจทก์ที่ ๒ แต่ไม่จำต้องรับผิดเป็นการส่วนตัว นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามพิพากษาศาลแรงงานกลาง.
เรียบเรียงโดย บริษัท กฎหมายปาระมี จำกัด