ประชารัฐเพื่อสังคมพุ่งเป้าปี 61 ดันจ้างงานผู้สูงอายุ-พิการ 1 แสนคน
“คณะทำงาน E6เป็นกลไกสำคัญในการเชื่อมความร่วมมือทุกภาคส่วน ดังนั้นหากมีข้อติดขัดรัฐบาลก็พร้อมให้การสนับสนุน โดยเฉพาะที่มีข้อเสนอให้ทบทวนคำสั่งกรมสรรพากร ที่ ป. 156/2561 เรื่องการเสียภาษีเงินได้นิติบุคคลสำหรับรายจ่ายจากการดำเนินการตาม พ.ร.บ.ส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ พ.ศ.2550 ซึ่งอาจส่งผลให้การจ้างงานเหมาช่วงงานหรือจ้างเหมาบริการคนพิการเพื่อประโยชน์ของบุคคลอื่น ตาม ม.35 ไม่สามารถนำไปลดหย่อนภาษีได้นั้น ในประเด็นนี้เป็นปัญหาเร่งด่วนที่ได้มอบหมายให้หารือร่วมกับกรมสรรพากรเพื่อหาทางออก และกำหนดแนวทางที่ส่งเสริมให้เกิดประโยชน์ในการพัฒนาคุณภาพชีวิตผู้พิการอย่างแท้จริง”พล.อ.อนันตพร กล่าว และ นอกจากนั้นได้ฝากกระทรวงการคลัง กระทรวงแรงงาน สำนักงานประกันสังคม และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ทบทวนและพิจารณามาตรการและข้อเสนอเกี่ยวกับการส่งเสริมการจ้างงานผู้สูงอายุเพื่อให้การดำเนินเป็นไปตามเป้าหมายที่กำหนดไว้ด้วย
นายอิสระ กล่าวว่า คณะทำงานภายใต้คณะกรรมการสานพลังประชารัฐ ทั้ง 12 คณะ ยังคงมีภารกิจที่ต้องทำงานอย่างต่อเนื่อง โดยจะมีการประชุมทุกเดือนเพื่อติดตามผลการดำเนินงานตามแผนงาน รวมถึงปัญหาอุปสรรค เพื่อรายงานความคืบหน้าต่อ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ได้รับทราบเป็นประจำทุกเดือน โดยคณะทำงานทั้ง 12 คณะได้แบ่งกลุ่มตามภารกิจออกเป็น3 กลุ่มงาน ได้แก่กลุ่มการเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน (Thailand 4.0) 2.กลุ่มพัฒนาคุณภาพคน 3. กลุ่มลดความเหลื่อมล้ำ และ 1 คณะทำงาน คือ คณะทำงานประชารัฐเพื่อสังคม ทำหน้าที่ประสานความร่วมมือกับเครือข่ายภาคประชาสังคมทั้งนี้แผนการดำเนินงานของคณะทำงานทั้ง 12 คณะ จะเน้นแผนที่มีผลกระทบสูง ต่อเศรษฐกิจและสังคม และสามารถเห็นผลได้ภายใน 1 ปี
ดร.สุปรีดา กล่าวว่า คณะทำงานย่อยทั้ง 5ประเด็นเร่งด่วน ได้กำหนดเป้าหมายและแนวทางสำคัญในการดำเนินงานในปี 2561ได้แก่ 1.การส่งเสริมการมีรายได้และมีงานทำของผู้พิการ เน้นขับเคลื่อนให้เกิดการจ้างงานผู้พิการตามมาตรา 33 และ 35 ในหน่วยงานภาคเอกชน ภาครัฐ และรัฐวิสาหกิจ ให้ได้ 68,000 อัตรา หรือเพิ่มขึ้น 15,000 อัตรา ภายในปี 2561 โดยขอให้มีความชัดเจนและแก้ไขข้อติดขัดต่างๆ เพื่อให้การลดหย่อนภาษีตามมาตรา 35 เป็นการส่งเสริมในการจ้างงานคนพิการ2.การส่งเสริมการมีรายได้และมีงานทำของผู้สูงอายุ ทั้งแรงงานในระบบและนอกระบบ รวม 58,000 คนหรือเพิ่มขึ้น 19,000 อัตราในปี 2561 เพื่อลดภาระการพึ่งพิง และสร้างงานในชุมชน ซึ่งมีประเด็นที่ต้องขอรับการสนับสนุน อาทิ สามารถจ้างงานผู้สูงอายุได้เกิน 15,000 บาท/เดือน และนำมาลดหย่อนภาษีได้, ผู้สูงอายุสามารถสมัครเข้ากองทุนประกันสังคม,จ่ายค่าแรงจ้างแบบไม่เต็มเวลาได้ เป็นต้น 3. การออมเพื่อการเกษียณอายุจะเร่งรัดการจัดตั้งกองทุนบำเหน็จบำนาญแห่งชาติ ยกเว้นภาษีเงินได้สำหรับเงินชดเชยเมื่อออกจากงานเนื่องจากการเกษียณอายุ
ผู้จัดการ สสส. กล่าวว่า 4.ที่อยู่อาศัยและสิ่งแวดล้อมเพื่อการอยู่อาศัยตั้งเป้าจัดตั้งศูนย์กลางนวัตกรรม เครื่องมือสำหรับผู้สูงอายุตามภูมิภาคต่างๆ 5 ศูนย์ในปี 2561 รวมถึงสนับสนุนให้ภาคเอกชนดำเนินโครงการนำร่องพัฒนาพื้นที่อยู่อาศัยผู้มีรายได้น้อย ซึ่งต้องการการสนับสนุนทั้งส่วนของการจัดสรรพื้นที่ชุมชนเมืองของการเคหะแห่งชาติ และกรมธนารักษ์ เพื่อจูงใจให้ภาคเอกชนหรือผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์มาลงทุนพัฒนาที่อยู่อายุสำหรับผู้มีรายได้น้อย รวมถึงการปรับปรุงโครงสร้างการปล่อยสินเชื่อเพื่อเพิ่มความสามารถในการเข้าถึง และ 5.ความปลอดภัยทางถนน กำหนดให้ 55 องค์กรที่ร่วม MOUกำหนดมาตรการความปลอดภัยขององค์กร โดยตั้งเป้าการดำเนินงาน “10-5-0” ใน 3 จังหวัดที่มีนิคมอุตสาหกรรมจำนวนมาก ได้แก่ ระยอง ฉะเชิงเทรา และชลบุรี คือ ลดจำนวนผู้เสียชีวิตในช่วงเทศกาลสงกรานต์ 2561 ให้ได้ร้อยละ 10 ลดจำนวนผู้เสียชีวิตตลอดปีให้ได้ร้อยละ 5 และลดจำนวนผู้เสียชีวิตในหน่วยงานที่ร่วม MOU ให้เป็น 0 นอกจากนี้ในปี 2561 จะสนับสนุนให้ภาคประชาสังคมเข้าไปมีส่วนร่วมใน 3 กลุ่มภารกิจงานให้มากยิ่งขึ้น เพื่อขยายผลความร่วมมือในการสร้างประโยชน์ต่อสังคมในทุกมิติ