คำพิพากษาฎีกาที่ ๖๙๙๘/๕๗
ลาออกโดยไม่สุจริต ไม่มีผลใช้บังคับ
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นลูกจ้างจำเลยตำแหน่งสุดท้ายคือผู้จัดการงานพัฒนาสินทรัพย์ธุรกิจรายย่อย ๒ ฝ่ายพัฒนาสินทรัพย์ธุรกิจรายย่อย ระหว่างเป็นลูกจ้างของจำเลยนั้นโจทก์เป็นเลขาธิการสหภาพแรงงานกิจการธนาคารและสถาบันการเงินและเป็นกรรมการลูกจ้างด้วย เมื่อวันที่ ๑๑ กรกฎาคม ๒๕๕๐ จำเลยยื่นคำร้องเป็นคดีหมายเลขดำที่ ๖๗๑๕/๒๕๕๐ หมายเลขแดงที่ ๒๒๘๙/๒๕๕๑ ขออนุญาตศาลแรงงานกลางลงโทษโจทก์ฐานทุจริตต่อหน้าที่และผิดวินัยอย่างร้ายแรงด้วยการไล่ออก และขอเงินคืน ๕,๐๐๐ บาท ระหว่างพิจารณาคดีดังกล่าวโจทก์ยื่นใบลาออกเมื่อวันที่ ๒๘ เมษายน ๒๕๕๑ โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่ ๖ พฤษภาคม ๒๕๕๑ แต่จำเลยไม่อนุมัติให้โจทก์ลาออก ซึ่งคดีดังกล่าวศาลแรงงานกลางได้มีคำสั่งเมื่อวันที่ ๒๗ พฤษภาคม ๒๕๕๑ ให้ยกคำร้องของจำเลยต่อมาจำเลยออกคำสั่งที่ ๒๓๐/๒๕๕๑ ลงวันที่ ๓๐ พฤษภาคม ๒๕๕๑ ให้เหตุผลว่าโจทก์กระทำความผิดทุจริตต่อหน้าที่ ซึ่งเป็นการฝ่าฝืนระเบียบข้อบังคับและคำสั่งของธนาคารเป็นกรณีร้ายแรง จึงให้ลงโทษทางวินัยโจทก์ด้วยการไล่ออก โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่ ๖ พฤษภาคม ๒๕๕๑ คำสั่งดังกล่าวของจำเลยไม่สุจริตและไม่ชอบด้วยกฎหมาย เพราะศาลแรงงานกลางมีคำวินิจฉัยในคดีดังกล่าวแล้วว่า แม้ข้อบังคับของจำเลยจะกำหนดว่าการขอลาออกจะมีผลให้พ้นสภาพจากการเป็นพนักงานเมื่อได้รับอนุมัติจากจำเลยก่อนก็ตามแต่การลาออกย่อมเป็นสิทธิของลูกจ้างที่จะแสดงเจตนาออกต่อนายจ้างเมื่อใดก็ได้ และในขณะที่โจทก์ลาออก โจทก์จะถูกตั้งกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริงทั้งผลการสอบสวนเสร็จสิ้นแล้ว และปรากฏว่าโจทก์มีความผิดตามที่ถูกร้องเรียนก็ตาม แต่โจทก์เป็นกรรมการลูกจ้างได้รับความคุ้มครองตามกฎหมาย จำเลยจึงลงโทษโจทก์ไม่ได้จนกว่าจะได้รับอนุญาตจากศาลแรงงานก่อน เมื่อศาลแรงงานยังไม่อนุญาต โจทก์จึงมีสิทธิขอลาออกได้ คดีดังกล่าวถึงที่สุดเนื่องจากจำเลยไม่อุทธรณ์ เมื่อโจทก์ขอลาออกโจทก์มีสิทธิได้รับเงินกองทุนสำรองเลี้ยงชีพในส่วนที่จำเลยในฐานะนายจ้างออกสมทบให้แก่โจทก์เป็นเงิน ๓๐๓,๐๓๒ บาท แต่จำเลยไม่ยอมจ่ายให้แก่โจทก์ และจำเลยได้เผยแพร่คำสั่งที่ ๒๓๐/๒๕๕๑ ทั้งการปิดประกาศในที่ทำงานและผ่านทางอินเตอร์เน็ตเพื่อแจ้งให้แก่พนักงานของจำเลยและบุคคลทั่วไปรับทราบทำให้โจทก์เสียหาย เสื่อมเสียชื่อเสียง ถูกดูหมิ่นเกลียดชัง อันเป็นการกระทำที่ไม่เป็นธรรมแก่โจทก์ ทำให้โจทก์เสียหายขาดรายได้เนื่องจากไม่สามารถสมัครงานที่ใดได้รวมเป็นเงิน ๑๗๑,๙๕๕ บาท และค่าเสียหายต่อสิทธิเสรีภาพและชื่อเสียงอีก ๕,๐๐๐,๐๐๐ บาท ขอให้บังคับจำเลยจ่ายเงินสมทบกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ ๓๐๓,๐๓๒ บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ ๑๕ ต่อปี นับแต่วันที่ ๖ พฤษภาคม ๒๕๕๑ เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จสิ้นแก่โจทก์ กับให้จำเลยจ่ายค่าเสียหาย ๑๗๑,๙๕๕ บาท และค่าเสียหายนับถัดจากวันฟ้องอีกเดือนละ ๒๔,๕๖๕ บาท เป็นต้นไปจนกว่าจะเพิกถอนคำสั่งจำเลยที่ ๒๓๐/๒๕๕๑ และให้จำเลยชดใช้ค่าเสียหาย ๕,๐๐๐,๐๐๐ บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ ๗.๕ ต่อปี ของต้นเงินดังกล่าว นับจากวันฟ้องไปจนกว่าจะชำระเสร็จสิ้นแก่โจทก์
จำเลยให้การว่า จำเลยมีคำสั่งไล่โจทก์ออก เนื่องมาจากโจทก์เรียกร้องเงิน ๑๐,๐๐๐ บาท จากนางสาวพรสวรรค์ วงศ์ณรัตน์ ลูกหนี้ของจำเลยเพื่อดำเนินการปรับโครงสร้างหนี้กับจำเลย อันเป็นการกระทำผิดฐานทุจริตต่อหน้าที่และเป็นความผิดวินัยอย่างร้ายแรง ตามข้อบังคับเรื่องระเบียบว่าด้วยวินัย โทษทางวินัย และการร้องทุกข์ของพนักงาน พ.ศ. ๒๕๔๕ ข้อ ๒.๑.๑ และข้อ ๒.๑.๓ คณะกรรมการสอบสวนมีความเห็นว่าควรลงโทษโจทก์ด้วยการไล่ออก แต่เนื่องจากโจทก์เป็นกรรมการลูกจ้างเมื่อวันที่ ๑๑ กรกฎาคม ๒๕๕๐ จำเลยจึงยื่นคำร้องขออนุญาตศาลเพื่อไล่โจทก์ออกตามความเห็นของคณะกรรมการสอบสวน หลังจากสืบพยานเสร็จโจทก์ยื่นใบลาออก อันเป็นการแสดงเจตนาขอพ้นสภาพจากการเป็นลูกจ้างของจำเลย ซึ่งย่อมจะพ้นสภาพจากการเป็นกรรมการลูกจ้างด้วย จำเลยชอบที่จะมีคำสั่งลงโทษโจทก์ด้วยการไล่ออกได้ ดังนั้นการที่จำเลยมีคำสั่งที่ ๒๓๐/๒๕๕๑ ลงวันที่ ๓๐ พฤษภาคม ๒๕๕๑ ลงโทษโจทก์ด้วยการไล่ออกจากการเป็นพนักงาน โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่ ๖ พฤษภาคม ๒๕๕๑ เป็นต้นไปนั้น ถือได้ว่าจำเลยมีคำสั่งภายในเวลาอันสมควรทั้งได้กระทำโดยสุจริตและชอบด้วยกฎหมาย จำเลยจัดตั้งกองทุนสำรองเลี้ยงชีพพนักงานธนาคารทหารไทย จำกัด (มหาชน) ซึ่งจดทะเบียนแล้ว กองทุนดังกล่าวเป็นนิติบุคคลแยกต่างหากจากจำเลย ตามพระราชบัญญัติกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ พ.ศ. ๒๕๓๐ มาตรา ๗ จำเลยไม่มีอำนาจหน้าที่จัดการกองทุน โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องให้จำเลยจ่ายเงิน ๓๐๓,๐๓๒ บาท ทั้งโจทก์กระทำผิดวินัยอย่างร้ายแรงซึ่งเข้าข้อยกเว้นตามข้อบังคับของกองทุนดังกล่าวที่ระบุว่าไม่มีสิทธิได้รับเงินสมทบและผลประโยชน์ ส่วนที่โจทก์กล่าวหาว่าจำเลยจงใจใส่ร้ายกลั่นแกล้งและละเมิดต่อโจทก์ทำให้โจทก์ได้รับความเสียหาย ๕,๐๐๐,๐๐๐ บาท นั้น คำฟ้องส่วนนี้ไม่เป็นคดีแรงงานเพราะไม่ใช่คดีอันเกิดแต่มูลละเมิดระหว่างนายจ้างและลูกจ้าง ตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. ๒๕๒๒ มาตรา ๘ (๕) จึงไม่อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลแรงงาน ขอให้ยกฟ้อง
ศาลแรงงานกลางพิจารณาแล้ว พิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีแรงงานตรวจสำนวนประชุมปรึกษาแล้ว ศาลแรงงานกลางฟังข้อเท็จจริงว่า โจทก์เป็นลูกจ้างจำเลย ต่อมาโจทก์ถูกตั้งกรรมการสอบสวนในข้อหาทุจริตและคณะกรรมการสอบสวนของจำเลยลงมติให้ไล่โจทก์ออกจากการเป็นพนักงานของจำเลยแต่โจทก์เป็นกรรมการลูกจ้าง จำ เลยจึงยื่นคำร้องขออนุญาตต่อศาลแรงงานกลางให้จำเลยไล่โจทก์ออก ระหว่างการพิจารณาคดีดังกล่าวเมื่อวันที่ ๒๘ เมษายน ๒๕๕๑ โจทก์ยื่นใบลาออกให้มีผลในวันที่ ๖ พฤษภาคม ๒๕๕๑ จำเลยไม่อนุญาต ศาลแรงงานกลางได้วินิจฉัยในคดีดังกล่าวว่าการลาออกเป็นสิทธิของโจทก์ และตามพฤติการณ์ต่างๆ ในคดีนั้นโจทก์ ได้พ้นสภาพจากการเป็นลูกจ้างของจำเลยตั้งแต่วันที่ ๖ พฤษภาคม ๒๕๕๑ แล้ว เมื่อโจทก์ไม่ได้เป็นลูกจ้างของจำเลยดังนั้นโจทก์ย่อมพ้นสภาพจากการเป็นกรรมการลูกจ้างไปด้วยกรณีจึงไม่มีเหตุที่จะพิจารณาว่าโจทก์กระทำทุจริตต่อหน้าที่ตามคำร้องหรือไม่ ให้ยกคำร้องโดยมีคำสั่งคดีดังกล่าวเมื่อวันที่ ๒๗ พฤษภาคม ๒๕๕๑ ต่อมาวันที่ ๓๐ พฤษภาคม ๒๕๕๑ จำเลยออกคำสั่งที่ ๒๓๐/๒๕๕๑ ลงโทษโจทก์ไล่ออกโดยให้มีผลในวันที่ ๖ พฤษภาคม ๒๕๕๑ และศาลแรงงานกลางวินิจฉัยคดีนี้ว่า โจทก์ถูกจำเลยเลิกจ้างเพราะเหตุโจทก์กระทำการทุจริตในหน้าที่ผิดวินัยอย่างร้ายแรง จำเลยจึงมีเหตุเลิกจ้างโจทก์ คดีไม่เข้าเกณฑ์เลิกจ้างอันไม่เป็นธรรมที่จะเรียกค่าเสียหายได้
พิเคราะห์แล้ว คดีมีปัญหาสมควรวินิจฉัยเสียก่อนว่า โจทก์มีอำนาจฟ้องหรือไม่ เห็นว่า ข้อเท็จจริงที่ยุติตามที่โจทก์และจำเลยไม่โต้แย้งกันว่า จำเลยยื่นคำร้องขออนุญาตต่อศาลแรงงานกลางเพื่อลงโทษโจทก์ซึ่งเป็นกรรมการลูกจ้างโดยการไล่ออกเนื่องจากโจทก์กระทำผิดทุจริตต่อหน้า ที่เรียกเงินจากลูกหนี้ของจำเลยที่มาขอปรับปรุงโครงสร้างหนี้ เป็นคดีหมายเลขดำที่ ๖๗๑๕/๒๕๕๐ โจทก์ยื่นคำคัดค้านโดยโจทก์เบิกความในคดีดังกล่าวว่าได้รับเงินจากลูกหนี้ของจำเลยจริง แต่เป็นเงินที่ลูกหนี้ประสงค์จะให้นำไปทำบุญโดยโจทก์นำไปทำบุญแล้ว ซึ่งโจทก์ไม่เคยยกข้อเท็จจริงดังกล่าวขึ้นปฏิเสธตั้งแต่ในชั้นที่โจทก์ให้การต่อคณะกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริงของจำเลย เพิ่งยกขึ้นมาอ้างขณะเบิกความต่อศาลในคดีดังกล่าว เมื่อศาลแรงงานกลางสืบพยานทั้งสองฝ่ายในคดีดังกล่าวเสร็จสิ้นและนัดฟังคำพิพากษา โจทก์กลับยื่นใบลาออกก่อนวันนัดฟังคำพิพากษา หากโจทก์ไม่ลาออกศาลแรงงานกลางก็ต้องพิจารณาว่าโจทก์กระทำผิดทุจริตต่อหน้าที่หรือไม่ หากโจทก์กระทำผิดศาลแรงงานกลางก็ต้องมีคำสั่งอนุญาตให้จำเลยลงโทษไล่โจทก์ออกได้ ทั้งจำเลยก็ไม่ได้อนุมัติให้โจทก์ลาออกเนื่องจากเห็นว่าคดีดังกล่าวยังอยู่ระหว่างพิจารณาและโจทก์มิได้ยื่นใบลาออกล่วงหน้าไม่น้อยกว่า 30 วัน ตามระเบียบของจำเลย อันแสดงให้เห็นว่าโจทก์คาดหมายได้ว่าศาลแรงงานกลางอาจจะอนุญาตให้จำเลยลงโทษโจทก์โดยการไล่ออกหรือเลิกจ้าง โจทก์จึงชิงลาออกเสียก่อนเพื่อไม่ให้กระบวนการพิจารณาในการขอลงโทษกรรมการลูกจ้างตามกฎหมายดำเนินต่อไปได้ พฤติการณ์ทั้งหลายส่อให้เห็นถึงความไม่สุจริตในการลาออกของโจทก์ เพื่อที่จะแสวงหาประโยชน์จากการลาออกเนื่องจากหากโจทก์ถูกเลิกจ้างหรือไล่ออกเพราะเหตุทุจริต ย่อมทำให้โจทก์เสียสิทธิที่จะได้รับเงินสมทบกองทุนสำรองเลี้ยงชีพหรือสิทธิประโยชน์อื่นที่อาจจะได้รับตามกฎหมาย จึงเป็นการแสวงหาประโยชน์โดยอา ศัยบทบัญญัติแห่งกฎหมายอย่างผิดทำนองคลองธรรมและขัดต่อต่อวัตถุประสงค์ของกฎหมาย แม้จำเลยจะมีคำสั่งเลิกจ้างโจทก์หลังจากโจทก์ลาออกแต่โจทก์อาศัยเหตุลาออกดังกล่าว มาเป็นมูลฟ้องร้องคดีนี้เพื่อให้เพิกถอนคำสั่งเลิกจ้างของจำเลยอันเป็นการใช้สิทธิโดยไม่สุจริตเช่นนี้ ย่อมเป็นการใช้สิทธิโดยไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๕ โจทก์จึงไม่อาจอ้างเหตุจากการลาออกโดยไม่สุจริตมาขอเพิกถอนคำสั่งไล่โจทก์ออกของจำเลยเพื่อให้โจทก์ได้รับสิทธิประโยชน์ต่างๆ จากการลาออกและให้จำเลยใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์ได้ โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง และปัญหาเรื่องอำนาจฟ้องเกี่ยวกับการใช้สิทธิโดยไม่สุจริตเป็นข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน ศาลฎีกาย่อมยกขึ้นวินิจฉัยได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๑๔๒ (๕) , ๒๔๖ ประกอบพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. ๒๕๒๒ มาตรา ๓๑ กรณีจึงไม่จำต้องวินิจฉัยว่าการที่ศาลแรงงานกลางยังไม่ได้วินิจฉัยคำสั่งของจำเลยที่ไล่โจทก์ออกหลังจากที่โจทก์ลาออกแล้วชอบหรือไม่นั้น เป็นการวินิจฉัยที่ไม่ชอบด้วยกระบวนพิจารณาและจำเลยต้องใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์ดังที่โจทก์อุทธรณ์หรือไม่ เพราะไม่ทำให้ผลแห่งคดีเปลี่ยนแปลง
พิพากษายืน.
เรียบเรียงโดย บริษัท กฎหมายปาระมี จำกัด