คำพิพากษาฎีกาที่ ๒๘๓๔/๕๗
ทำความผิดคล้ายคลึงกันแต่ไม่เหมือนกัน พิจารณาลงโทษแตกต่างกันได้
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ ๑ เป็นนิติบุคคลประเภทรัฐวิสาหกิจ ตามพระราชบัญญัติการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค พ.ศ. ๒๕๐๓ มีจำเลยที่ ๒ เป็นผู้มีอำนาจกระทำการแทน โจทก์เป็นลูกจ้างของจำเลยที่ ๑ ตำแหน่งพนักงานบัญชี ระดับ ๔ แผนกบัญชีและการเงิน การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค อำเภอท่าแซะ จังหวัดชุมพร เมื่อวันที่ ๖ พฤษภาคม ๒๕๕๓ จำเลยที่ ๑ โดยจำเลยที่ ๒ มีคำสั่งเลิกจ้างที่ ว.๔/๒๕๕๓ เรื่อง ลงโทษวินัยพนักงานอ้างว่าโจทก์กระทำทุจริตต่อหน้าที่อันเป็นการกระทำผิดวินัยตามข้อบังคับของจำเลยที่ ๑ การที่โจทก์ยอมรับว่าโจทก์กระทำผิดวินัยจริง และโจทก์ได้นำเงินเข้าบัญชีคืนให้แก่จำเลยที่ ๑ ครบถ้วนแล้ว อีกทั้งเป็นการกระทำความผิดครั้งแรกของโจทก์ จำเลยที่ ๑ โดยจำเลยที่ ๒ ควรพิจารณาลดหย่อนโทษให้แก่โจทก์ ประกอบกับจำเลยที่ ๑ เคยลงโทษพนักงานอื่นที่กระทำความผิดเช่นเดียวกับโจทก์โดยการตัดเงินเดือนหรือค่าจ้างเท่านั้น คำสั่งดังกล่าวไม่ชอบด้วยกฎหมายและไม่เป็นธรรมต่อโจทก์ ซึ่งโจทก์ได้มีหนังสืออุทธรณ์คำสั่งดังกล่าวของจำเลยที่ ๑ แล้ว แต่ประธานกรรมการไฟฟ้าส่วนภูมิภาคมีคำสั่งยกอุทธรณ์ของโจทก์ โจทก์จึงนำคดีมาฟ้องจำเลยทั้งสองต่อศาลภายในระยะเวลาที่กฎหมายกำหนด ขอให้เพิกถอนคำสั่งของจำเลยที่ ๑ ที่ ว.๔/๒๕๕๓ เรื่อง ลงโทษวินัยพนักงาน ลงวันที่ ๖ พฤษภาคม ๒๕๕๓ และคำสั่งยกอุทธรณ์ตามหนังสือของจำเลยที่ ๑ ที่ มท ๕๓๐๑.๒๓/๙๔๒๐๙ ลงวันที่ ๑๗ ธันวาคม ๒๕๕๓ และให้จำเลยทั้งสองรับโจทก์กลับเข้าทำงานในตำแหน่งหน้าที่และอัตราค่าจ้างเดิมก่อนที่โจทก์ถูกเลิกจ้าง และให้คืนสิทธิประโยชน์ที่โจทก์ต้องเสียไปในระหว่างถูกเลิกจ้างแก่โจทก์ กับให้จำเลยทั้งสองร่วมกันหรือแทนกันชดใช้เงินแก่โจทก์ในอัตราเท่ากับค่าจ้างอัตราสูงสุดท้ายเดือนละ ๑๑,๔๐๘ บาท ระหว่างที่โจทก์ถูกเลิกจ้างจนกว่าจำเลยทั้งสองจะรับโจทก์กลับเข้าทำงาน
จำเลยทั้งสองให้การในทำนองเดียวกันว่า จำเลยทั้งสองพิจารณาลงโทษทางวินัยและอุทธรณ์ของโจทก์ตามขั้นตอนและกระบวนการที่ระบุไว้ในข้อบังคับของจำเลยที่ ๑ ว่าด้วยระเบียบพนักงาน พ.ศ. ๒๕๑๗ ทุกประการ คำสั่งเลิกจ้างโจทก์และคำสั่งยกอุทธรณ์ของโจทก์จึงชอบด้วยกฎหมาย โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องจำเลยที่ ๒ เนื่องจากจำเลยที่ ๒ กระทำการในหน้าที่แทนจำเลยที่ ๑ ขอให้ยกฟ้อง
ศาลแรงงานกลางพิจารณาแล้ว พิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีแรงงานตรวจสำนวนประชุมปรึกษาแล้ว ศาลแรงงานกลางฟังข้อเท็จจริงว่า จำเลยที่ ๑ เป็นรัฐวิสาหกิจ ตามพระราชบัญญัติการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค พ.ศ. ๒๕๐๓ จำเลยที่ ๒ เป็นผู้มีอำนาจกระทำการแทนจำเลยที่ ๑ โจทก์เป็นลูกจ้างของจำเลยที่ ๑ ตำแหน่งพนักงานบัญชี ระดับ ๔ แผนกบัญชีและการเงิน การไฟฟ้าส่วนภูมิภาคอำเภอแซะ จังหวัดชุมพร ในระหว่างทำงานโจทก์นำเงินค่าไฟฟ้าที่ได้รับจากผู้ใช้ไฟฟ้าไปใช้ประโยชน์ส่วนตัวรวม ๒๓ ราย คิดเป็นเงินทั้งสิ้น ๓๒,๒๖๐.๕๕ บาท จำเลยที่ ๑ แต่งตั้งคณะกรรมการสอบสวนทางวินัยขึ้นตามข้อบังคับการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค ว่าด้วยระเบียบพนักงาน พ.ศ. ๒๕๑๗ เอกสารหมาย ล.๗ โจทก์ยอมรับสารภาพต่อคณะกรรมการสอบสวนทางวินัยดังกล่าว และนำเงิน ๓๒,๒๖๐.๕๕ บาท คืนให้แก่จำเลยที่ ๑ ครบถ้วนแล้ว ต่อมาเมื่อวันที่ ๖ พฤษภาคม ๒๕๕๓ จำเลยที่ ๑ โดยจำเลยที่ ๒ มีคำสั่งเลิกจ้างที่ ว.๔/๒๕๕๓ เรื่อง ลงโทษวินัยพนักงานตามเอกสารหมาย ล.๑๑ โจทก์อุทธรณ์คำสั่งของจำเลยที่ ๑ ต่อประธานกรรมการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค คณะอนุกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ฯ พิจารณาแล้วมีมติเห็นควรให้ยกอุทธรณ์ของโจทก์ และประธานกรรมการไฟฟ้าส่วนภูมิภาคพิจารณาให้ความเห็นชอบตามที่อนุกรรมการพิจารณาอุทธรณ์เสนอตามบันทึกเอกสารหมาย ล.๑๒ และเคยมีกรณีพนักงานของจำเลยที่ ๑ กระทำผิดคล้ายคลึงกับโจทก์ แต่จำเลยที่ ๑ มีคำสั่งให้ลงโทษโดยการลดอันดับเงินเดือนหรือตัดเงินเดือนเท่านั้นตามคำสั่งของจำเลยที่ ๑ เอกสารหมาย จ.๑ ถึง จ.๕
โจทก์อุทธรณ์ว่า การที่โจทก์กระทำความผิดคล้ายคลึงกับลูกจ้างคนอื่นของจำเลยที่ ๑ แต่โจทก์กลับถูกลงโทษเลิกจ้างซึ่งเป็นการลงโทษที่หนักกว่าลูกจ้างคนอื่นที่ถูกลงโทษเพียงลดอันดับเงินเดือน หรือถูกตัดเงินเดือนเท่านั้น การกระทำของจำเลยทั้งสองจึงเป็นการกระทำที่เลือกปฏิบัติเป็นการเลิกจ้างไม่เป็นธรรมต่อโจทก์ ตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. ๒๕๒๒ มาตรา ๔๙ สมควรที่ศาลแรงงานกลางจะเพิกถอนคำสั่งของจำเลยที่ ๑ เสียนั้น เห็นว่า ศาลแรงงานกลางฟังข้อเท็จจริงว่าการกระทำของลูกจ้างคนอื่นของจำเลยที่ ๑ กระทำผิดคล้ายคลึงกับโจทก์เท่านั้น ไม่ใช่เป็นการกระทำที่เหมือนกับการกระทำของโจทก์ การที่โจทก์ทุจริตต่อหน้าที่นำเงินที่ผู้ใช้ไฟฟ้าชำระค่าไฟฟ้าแก่จำเลยที่ ๑ ไปใช้เป็นประโยชน์ส่วนตัวของโจทก์อันเป็นความผิดทางวินัยร้ายแรงตามระเบียบข้อบังคับของจำเลยที่ ๑ เอกสารหมาย ล.๑๓ ข้อ ๔๑ ( ๓ ) และจำเลยที่ ๑ ได้ปฏิบัติตามขั้นตอนและกระบวนการที่ระบุไว้ตามระเบียบข้อบังคับของจำเลยที่ ๑ ตามเอกสารหมาย ล.๗ และได้ลงโทษโจทก์ตามระเบียบข้อบังคับของจำเลยที่ ๑ ข้อ ๔๓ ทั้งจำเลยทั้งสองไม่ได้กระทำการกลั่นแกล้งโจทก์ หรือไม่สุจริตแต่อย่างไร การที่จำเลยที่ ๑ โดยจำเลยที่ ๒ ได้มีคำสั่งเลิกจ้างจึงเป็นคำสั่งที่ชอบที่ศาลแรงงานกลางได้วินิจฉัยและพิพากษามานั้นต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกาแล้วอุทธรณ์โจทก์ฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน.
เรียบเรียงโดย บริษัท กฎหมายปาระมี จำกัด