คำพิพากษาฎีกาที่ ๙๔๐๐ - ๙๔๒/๕๘
เลือกปฏิบัติในการลงโทษระเบียบการห้ามใส่ตุ้มหูมาทำงาน บังคับใช้ได้ แต่เลือกปฏิบัติในการลงโทษไม่ได้
ผู้ร้องทั้งสามสำนวนยื่นคำร้องว่า ผู้คัดค้านทั้งสามได้รับแต่งตั้งจากสหภาพแรงงานโซดิกให้เป็นกรรมการลูกจ้างในสถานประกอบกิจการของผู้ร้อง เมื่อวันที่ ๒๔ พฤษภาคม ๒๕๕๐ เวลา ๒๐.๓๐ นาฬิกา ถึงเวลา ๒๑ นาฬิกา ซึ่งเป็นเวลาหลังเลิกปฏิบัติงาน ผู้คัดค้านที่ ๑ เข้ามาอยู่ในพื้นที่อาคารสำนักงานบริเวณส่วนที่เป็นห้องประชุมโดยไม่มีหน้าที่เกี่ยวข้องและไม่ได้รับอนุญาตจากผู้ร้อง อีกทั้งระหว่างเดือนมีนาคม ๒๕๕๐ ถึงวันที่ ๒๔ พฤษภาคม ๒๕๕๐ ในขณะเวลาทำงานตามหน้าที่ ผู้คัดค้านที่ ๑ แต่งกายผิดระเบียบและข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงานอันชอบด้วยกฎหมายของผู้ร้องโดยใส่ตุ้มหูหรือต่างหูมาทำงาน การกระทำของผู้คัดค้านที่ ๑ ถือว่ามีเจตนากระทำการโดยขาดความยำเกรงต่อระเบียบและข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงานและการปกครองบังคับบัญชาภายในองค์กร ซึ่งเป็นการกระทำที่ฝ่าฝืนข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงานในหมวด ๗ ว่าด้วยวินัยและโทษทางวินัย ข้อ ๒ วินัยพนักงาน พนักงานจะต้องปฏิบัติตามระเบียบ ดังต่อไปนี้ คือ ข้อ ๒.๑.๑ เชื่อฟังและปฏิบัติตามคำสั่งของผู้บังคับบัญชา ข้อ ๒.๑.๖ พนักงานที่เข้ามาในบริเวณของบริษัทจะต้องแต่งกายให้ถูกต้องตามระเรียบของบริษัท ข้อ ๒.๑.๗ นอกจากการทำงานตามหน้าที่ห้ามเข้ามาหรืออยู่ภายในสถานที่ทำงานโดยไม่ได้รับอนุญาต ผู้ร้องสามารถใช้อำนาจลงโทษผู้คัดค้านที่ ๑ ได้ตามระเบียบและข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงานในหมวด ๗ ข้อ ๓ โทษทางวินัย ที่พนักงานต้องพึงปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัด ผู้ใดฝ่าฝืนถือว่ากระทำผิด นอกจากนี้เมื่อวันที่ ๔ กรกฎาคม ๒๕๕๐ เวลา ๑๐.๒๐ นาฬิกา ถึง ๑๑ นาฬิกา ผู้ร้องโดยนายภราดร คงมณี ผู้จัดการฝ่ายบุคคล ซึ่งได้รับมอบหมายจากผู้มีอำนาจของผู้ร้องเรียกนายจรูญ เถื่อนมิ่งมาศ ลูกจ้างในแผนก Assembly (อยู่ที่อาคารโรงงาน ๓) ให้มารับทราบการลงโทษเป็นลายลักษณ์อักษร ฐานฝ่าฝืนระเบียบและข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงานของผู้ร้องในหมวด ๓ ว่าด้วยวันลาและหลักเกณฑ์การลา ข้อ ๒ และหมวด ๗ ว่าด้วยวินัยและโทษทางวินัย ข้อ ๒ และข้อ ๓ ณ ที่ทำการของฝ่ายบุคคล (อาคาร ๑) แต่ปรากฏว่าในช่วงเวลาดังกล่าวผู้คัดค้านทั้งสามเดินทางยังที่ทำการฝ่ายบุคคลพร้อมนายจรูญ ซึ่งผู้ร้องหรือผู้มีอำนาจของผู้ร้องมิได้มีคำสั่งเรียก ทั้งนี้โดยขาดความเคารพยำเกรงต่อผู้บังคับบัญชา ผู้คัดค้านทั้งสามยังกล่าวข้อความอันเป็นเท็จต่อหัวหน้างานและขณะปฏิบัติหน้าที่อยู่ว่าผู้ร้องโดยฝ่ายบุคคลเรียกให้มาพบ และมีเจตนาที่จะกระทำการอันเป็นปฏิปักษ์ต่อผู้ร้อง ระเบียบและข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงานของผู้ร้อง โดยร่วมกันพูดจายุยงให้นายจรูญไม่ต้องลงชื่อรับทราบการลงโทษตามระเบียบและข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงานของผู้ร้องที่ถูกต้องตามกฎหมาย การกระทำของผู้คัดค้านทั้งสามถือว่ามีเจตนากระทำการโดยก่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้ร้อง ขาดความยำเกรงต่อระเบียบข้อบังคับและการปกครองบังคับบัญชาภายในองค์กร ละทิ้งหน้าที่การงานโดยไม่มีเหตุผลอันสมควร จนเป็นเหตุให้ผู้ร้องได้รับความเสียหาย เพื่อเป็นการรักษาไว้ซึ่งระเบียบและข้อบังคับ อำนาจบังคับบัญชา และความเสมอภาคเท่าเทียมกันในการปฏิบัติระหว่างผู้ร้องกับลูกจ้างคนอื่น ผู้ร้องพิจารณาการกระทำของผู้คัดค้านทั้งสามแล้ว เห็นว่า เป็นการฝ่าฝืนข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงานในหมวด ๗ ว่าด้วยวินัยและโทษทางวินัย ข้อ ๒ วินัยพนักงาน พนักงานต้องปฏิบัติตามระเบียบดังต่อไปนี้ ข้อ ๒.๑.๑ เชื่อฟังและปฏิบัติตามคำสั่งผู้บังคับบัญชา ข้อ ๒.๑.๒ ห้ามช่วยเหลือหรือสนับสนุนชักจูงรู้เห็นเป็นใจหรือเพิกเฉยต่อการกระทำความผิดของพนักงานอื่น ข้อ ๒.๑.๑๗ ห้ามละทิ้งหน้าที่หรือขาดงานไปโดยไม่มีเหตุผลอันสมควร ขอให้ศาลอนุญาตให้ผู้ร้องลงโทษผู้คัดค้านที่ ๑ โดยการตักเตือนด้วยวาจาและเป็นหนังสือ และผู้คัดค้านที่ ๒ และที่ ๓ โดยการตักเตือนเป็นหนังสือ
ผู้คัดค้านทั้งสามยื่นคำคัดค้านว่า เมื่อวันที่ ๒๔ พฤษภาคม ๒๕๕๐ เวลา ๒๐.๓๐ นาฬิกา ผู้คัดค้านที่ ๑ เลิกงานตามปกติและออกจากอาคารที่ทำงานโรงงาน ๑ เดินมาที่อาคารสำนักงาน ขณะนั้นนอกเวลาการทำงาน แต่ผู้คัดค้านที่ ๑ มีเหตุจำเป็นต้องไปพบกับนายพิชิต โสมิ่งมี และนายภูธร เจริญตาม ที่ปรึกษาของสหภาพแรงงานโซดิกที่มาเข้าร่วมเจรจาข้อเรียกร้องของบริษัทคิตะมูระ จำกัด ซึ่งตั้งอยู่ภายในบริเวณเดียวกับบริษัทผู้ร้องที่ห้องรับแขกอาคารสำนักงาน เมื่อผู้คัดค้านที่ ๑ พบและปรึกษาเกี่ยวกับข้อเรียกร้องและผลการเจรจาแล้ว ผู้คัดค้านที่ ๑ ก็ออกจากบริษัทผู้ร้อง ผู้คัดค้านที่ ๑ ไม่มีเจตนาที่จะฝ่าฝืนระเบียบและข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงานของผู้ร้อง ที่ผู้ร้องกล่าวหาว่าฝ่าฝืนระเบียบและข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงานในข้อ ๒.๑.๗ จึงไม่ชอบด้วยเหตุผล ส่วนการแต่งกายที่ลูกจ้างได้ปฏิบัติมาโดยตลอด ตามระเบียบและข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงานข้อ ๒.๑.๖ การใส่ตุ้มหูหรือต่างหูมาทำงานนั้นมีทั้งลูกจ้างหญิงและลูกจ้างชายจำนวนมากและผู้ร้องไม่ถือว่ามีความผิดแต่อย่างใด การที่ผู้ร้องกล่าวหาว่าผู้คัดค้านที่ ๑ ฝ่าฝืนระเบียบเกี่ยวกับการแต่งกายดังกล่าวจึงไม่ชอบด้วยการปฏิบัติ ผู้ร้องยกเหตุใส่ตุ้มหูหรือต่างหูเพื่อมาลงโทษผู้คัดค้านที่ ๑ จึงเป็นการเลือกปฏิบัติต่อกรรมการลูกจ้าง ไม่ชอบและไม่เป็นธรรม สำหรับวันที่ ๔ กรกฎาคม ๒๕๕๐ เวลาประมาณ ๘.๓๐ นาฬิกา ผู้คัดค้านทั้งสามได้รับการร้องทุกข์ด้วยวาจาจากพนักงานคือนายจรูญ เถื่อนมิ่งมาศ เกี่ยวกับการลงโทษตักเตือนเป็นลายลักษณ์อักษรกรณีลางาน ผู้คัดค้านทั้งสามจึงแจ้งให้นางชลธิชา เปลี่ยนผดุง นายจักรพงษ์ ขวัญเมือง และนายเสน่ห์ จันทร์ฟู ซึ่งเป็นหัวหน้างานได้รับทราบ และขอขึ้นไปพร้อมกับนายจรูญในเวลา ๑๐.๒๐ นาฬิกา เพื่อพบกับนายภราดร คงมณี ผู้จัดการฝ่ายบุคคล ซึ่งหัวหน้างานก็อนุญาตให้ไปได้ เมื่อผู้คัดค้านทั้งสามพบกับฝ่ายบุคคลได้รับฟังข้อเท็จจริงต่างๆ เกี่ยวกับนายจรูญไม่มีข้อโต้แย้งใดๆ กับฝ่ายบุคคลการประชุมรับฟังข้อเท็จจริงใช้เวลาประมาณ ๒๐ นาที หลังจากนั้นผู้คัดค้านทั้งสามก็กลับไปทำงานที่แผนกตามปกติ การกระทำหน้าที่ดังกล่าวของผู้คัดค้านทั้งสามไม่ได้ทำความเสียหายแก่งาน และได้บอกกล่าวแก่ผู้บังคับบัญชาให้ทราบล่วงหน้าตามที่มีการปฏิบัติประจำมาก่อนแล้ว ผู้คัดค้านทั้งสามไม่มีเจตนาที่จะขัดคำสั่งของผู้บังคับบัญชาหรือกล่าววาจาเท็จหรือฝ่าฝืนระเบียบและข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงานของผู้ร้อง ไม่ได้ละทิ้งหน้าที่การงานไปโดยไม่มีเหตุผลอันสมควรและระยะเวลาเพียง ๒๐ นาที ไม่ได้ทำให้ผู้ร้องเกิดความเสียหายใดๆ ผู้คัดค้านทั้งสามจึงไม่มีความผิดตามระเบียบและข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงานตามคำร้อง ผู้คัดค้านทั้งสามเพิ่งทราบว่าผู้ร้องขออนุญาตลงโทษโดยการตักเตือนเป็นลายลักษณ์อักษร ซึ่งผู้ร้องไม่เคยแจ้งให้ผู้คัดค้านทั้งสามทราบเรื่องมาก่อน ผู้คัดค้านทั้งสามจึงไม่มีโอกาสที่จะปรึกษาหารือเพื่อทำความเข้าใจกับผู้ร้อง ทำให้เกิดคดีความตามที่ปรากฏอยู่ ผู้คัดค้านทั้งสามไม่ได้รับความเป็นธรรมในการปฏิบัติตามระเบียบและข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงาน ขอให้ยกคำร้อง
ศาลแรงงานกลางพิจารณาแล้ว มีคำสั่งอนุญาตให้ลงโทษตักเตือนผู้คัดค้านที่ ๑ ด้วยวาจา ฐานแต่งกายผิดระเบียบของผู้ร้อง คำขออื่นนอกจากนี้ให้ยก
ผู้ร้องและผู้คัดค้านที่ ๑ อุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีแรงงานตรวจสำนวนประชุมปรึกษาแล้ว ศาลแรงงานกลางฟังข้อเท็จจริงและปรากฏข้อเท็จจริงตามที่คู่ความไม่โต้แย้งกันและศาลแรงงานกลางวินิจฉัยว่าผู้คัดค้านทั้งสามเป็นพนักงานของผู้ร้อง ขณะเกิดเหตุเป็นกรรมการลูกจ้าง โดยผู้คัดค้านที่ ๑ เป็นประธานสหภาพแรงงานโซดิก กรณีเมื่อวันที่ ๒๔ พฤษภาคม ๒๕๕๐ ระหว่างเวลา ๒๐.๓๐ นาฬิกา ถึง ๒๑ นาฬิกา ผู้คัดค้านที่ ๑ ซึ่งเลิกจากงานแล้วเข้ามาอยู่ในพื้นที่อาคารสำนักงานของบริษัทผู้ร้องส่วนที่เป็นห้องรับแขกของอาคาร ๑ ไม่ได้เข้าไปในห้องประชุม และเข้าไปเพื่อพูดคุยกับบุคคลภายนอกที่ได้รับอนุญาตให้ผ่านเข้ามาในบริเวณดังกล่าวเพื่อร่วมประชุมโดยเพียงนั่งพูดคุยกันบริเวณห้องรับแขกของอาคารเท่านั้น ซึ่งบริเวณห้องรับแขกดังกล่าวไม่น่าจะเป็นบริเวณที่ผู้ร้องห้ามมิให้พนักงานของผู้ร้องเข้าไปหรือต้องขออนุญาตโดยเฉพาะทั้งนายกฤษฎา อังควานิช พนักงานรักษาความปลอดภัยบริเวณห้องรับแขก และนายสมพงษ์ ปลาโพธิ์ พนักงานรักษาความปลอดภัยบริเวณประตูเข้าออกบริษัทผู้ร้องซึ่งเห็นผู้คัดค้านที่ ๑ เข้าไปพูดคุยกับบุคคลภายนอกบริเวณห้องรับแขกดังกล่าวก็มิได้แจ้งให้ผู้คัดค้านที่ ๑ ออกไปจากบริเวณห้องรับแขก ผู้คัดค้านที่ ๑ จึงมิได้มีเจตนาฝ่าฝืนเข้าไปในอาคารสถานที่ทำงานของผู้ร้องซึ่งเป็นบริเวณที่ห้ามเข้าอันจะถือว่าเป็นการขัดคำสั่งและผิดวินัย จึงไม่อนุญาตให้ลงโทษตักเตือนด้วยวาจาผู้คัดค้านที่ ๑ ในกรณีนี้ สำหรับกรณีที่ผู้คัดค้านที่ ๑ ใส่ตุ้มหูหรือต่างหูมาทำงานนั้นผู้ร้องมีประกาศ เรื่องระเบียบการแต่งกายของพนักงานเอกสารหมาย ร.๒ ข้อ ๔ ห้ามพนักงานชายทุกคนสวมใส่ตุ้มหู ตั้งแต่ผู้คัดค้านที่ ๑ เข้ามาทำงานใส่ตุ้มหูหรือต่างหูมาตลอดและมีพนักงานชายคนอื่นใส่ตุ้มหูหรือต่างหูมาทำงานโดยผู้ร้องไม่เคยลงโทษ เมื่อผู้คัดค้านที่ ๑ รับว่าได้กระทำผิดโดยใส่ตุ้มหูหรือต่างหูมาทำงานจริงอันเป็นการฝ่าฝืนระเบียบการแต่งกายดังกล่าวของผู้ร้องที่ยังคงมีอยู่ ที่ผู้คัดค้านที่ ๑ อ้างว่าตั้งแต่เข้ามาทำงานก็ใส่ตุ้มหูหรือต่างหูมาตลอด ทั้งพนักงานชายหลายคนใส่ตุ้มหูหรือต่างหูมาทำงานผู้ร้องไม่ถือเป็นการผิดระเบียบที่สำคัญและไม่เคยลงโทษ ไม่ได้หมายความว่าการฝ่าฝืนระเบียบของผู้คัดค้านที่ ๑ ไม่เป็นความผิด เมื่อผู้คัดค้านที่ ๑ ฝ่าฝืนต้องถือว่ากระทำความผิด ทั้งผู้ร้องของอนุญาตลงโทษผู้คัดค้านที่ ๑ โดยการเตือนด้วยวาจา ซึ่งเป็นการลงโทษทางวินัยในขั้นแรกเหมาะสมแล้วจึงอนุญาต ส่วนการที่ผู้คัดค้านทั้งสามร่วมกันไปพบฝ่ายบุคคลกับนายจรูญ พนักงานของผู้ร้องที่จะถูกลงโทษตามคำขอของนายจรูญเอง แม้ทางฝ่ายบุคคลของผู้ร้องไม่ได้สั่งให้ร่วมไปด้วยก็ตาม แต่เมื่อพิจารณาถึงหน้าที่ของกรรมการลูกจ้างตามกฎหมายแล้ว การกระทำของผู้คัดค้านทั้งสามก็ยังถือได้ว่าเป็นความพยายามระงับข้อขัดแย้งและหาทางประนีประนอมปรองดองกันในข้อขัดแย้งที่เกิดขึ้นในสถานประกอบกิจการตามหน้าที่ของกรรมการลูกจ้าง ทั้งผู้คัดค้านทั้งสามขออนุญาตและได้รับอนุญาตจากหัวหน้างานให้ไปแล้ว จึงไม่ถือว่าเป็นการละทิ้งหน้าที่โดยไม่มีเหตุผลอันสมควรตามที่ผู้ร้องอ้าง สำหรับข้อที่นายภราดร คงมณี ผู้จัดการฝ่ายบุคคล อ้างว่าสั่งให้ผู้คัดค้านทั้งสามกลับไปทำงาน แต่ผู้คัดค้านทั้งสามฝ่าฝืนไม่ยอมกลับนั้นสาเหตุเพราะไม่ได้เรียกพบเท่านั้น และตามบันทึกของนายภราดรท้ายเอกสารหมาย ร.๖ ไม่มีข้อความระบุถึงเรื่องที่นายภราดรสั่งให้ผู้คัดค้านทั้งสามกลับไปทำงานแต่ผู้คัดค้านทั้งสามฝ่าฝืนไม่กลับอันจะถือเป็นการขัดคำสั่งผู้บังคับบัญชาแต่อย่างใดจึงไม่น่าเชื่อว่านายภราดรมีคำสั่งและผู้คัดค้านทั้งสามฝ่าฝืนไม่ปฏิบัติตามดังกล่าว ส่วนที่ผู้ร้องอ้างว่าผู้คัดค้านทั้งสามพูดทำนองยุยงไม่ให้นายจรูญยอมรับผิดตามที่ถูกเตือนและไม่ให้ลงชื่อรับทราบหนังสือเตือนนั้น การที่นายจรูญไม่ยอมลงชื่อรับทราบหนังสือเตือนนั้น ไม่ถือเป็นความผิด ทั้งผู้ร้องซึ่งเป็นนายจ้างยังมีวิธีการแจ้งหนังสือเตือนถึงลูกจ้างที่กระทำผิดโดยวิธีอื่นได้อีก ดังนั้นหากผู้คัดค้านทั้งสามจะพูดไม่ให้นายจรูญยอมรับผิดและลงชื่อรับทราบหนังสือเตือนจริงก็ไม่อาจถือว่าเป็นการรู้เห็นเป็นใจหรือให้การสนับสนุนการกระทำของนายจรูญตามคำร้องแต่อย่างใด จึงไม่อนุญาตให้ลงโทษผู้คัดค้านทั้งสามโดยการตักเตือนเป็นหนังสือ
คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์ผู้ร้องว่า ผู้ร้องมีเหตุในการขออนุญาตลงโทษตักเตือนผู้คัดค้านทั้งสามเป็นหนังสือหรือไม่ โดยผู้ร้องอุทธรณ์ในทำนองว่า การที่ผู้คัดค้านทั้งสามซึ่งเป็นกรรมการลูกจ้างมาพบฝ่ายบุคคลในเวลาทำงานเพราะเหตุที่นายจรูญ เถื่อนมิ่งมาศ ถูกลงโทษนั้น ไม่ใช่หน้าที่ของกรรมการลูกจ้าง ดังนั้น การกระทำของผู้คัดค้านทั้งสามจึงเป็นการฝ่าฝืนระเบียบและข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงานของผู้ร้องนั้น เห็นว่า ผู้คัดค้านทั้งสามเป็นกรรมการลูกจ้าง การที่ผู้คัดค้านทั้งสามติดตามนายจรูญ เถื่อนมิ่งมาศ ซึ่งเป็นเพื่อนพนักงานไปยังฝ่ายบุคคล โดยได้รับอนุญาตจากหัวหน้างานซึ่งเป็นผู้บังคับบัญชาและเมื่อไปถึงก็ไม่ปรากฏว่านายภราดร คงมณี ผู้จัดการฝ่ายบุคคล มีคำสั่งให้ผู้คัดค้านทั้งสามกลับมาทำงานแต่อย่างใด การกระทำของผู้คัดค้านทั้งสามจึงยังไม่อาจถือได้ว่าเป็นการละทิ้งหน้าที่อันเป็นการฝ่าฝืนระเบียบและข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงานของผู้ร้องที่ศาลแรงงานกลางมีคำสั่งมานั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย อุทธรณ์ของผู้ร้องฟังไม่ขึ้น
คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของผู้คัดค้านที่ ๑ ว่า กรณีมีเหตุสมควรอนุญาตให้ลงโทษตักเตือนผู้คัดค้านที่ ๑ ด้วยวาจา ฐานแต่งกายผิดระเบียบของผู้ร้องหรือไม่ โดยผู้คัดค้านที่ ๑ อุทธรณ์ว่า พนักงานชายรวมทั้งผู้คัดค้านที่ ๑ ใส่ตุ้มหูหรือต่างหูโดยไม่มีใครถูกลงโทษ การใส่ตุ้มหูหรือต่างหูเป็นเครื่องประดับทั่วไป การที่ผู้ร้องห้ามมิให้ผู้คัดค้านที่ ๑ ใส่ตุ้มหูหรือต่างหูจึงเป็นการเลือกปฏิบัติต่อผู้คัดค้านที่ ๑ และขัดต่อสิทธิเสรีภาพของผู้คัดค้านที่ ๑ นั้น เห็นว่า ผู้ร้องออกประกาศเรื่อง ระเบียบการแต่งกายของพนักงาน เอกสารหมาย ร.๔ เพื่อให้เกิดความเป็นระเบียบเรียบร้อยมากยิ่งขึ้น รวมถึงเป็นการสร้างภาพพจน์ที่ดีแก่บริษัท โดยผู้ร้องได้กำหนดระเบียบดังนี้ ข้อ ๔ ห้ามพนักงานชายทุกคนสวมใส่ตุ้มหูและไว้ผมยาว (ซึ่งเป็นการสร้างบุคลิกภาพไม่เหมาะสมในการเป็นพนักงานที่ดีของบริษัท) ซึ่งผู้ร้องสามารถกระทำได้ ประกาศดังกล่าวจึงใช้บังคับได้ แต่เมื่อได้ความว่ามีลูกจ้างผู้ร้องคนอื่นซึ่งเป็นพนักงานชายใส่ตุ้มหูหรือต่างหูมาทำงานอันเป็นการฝ่าฝืนระเบียบตามประกาศดังกล่าวโดยผู้ร้องมิได้ลงโทษ คงลงโทษเฉพาะผู้คัดค้านที่ ๑ เพราะเหตุที่ผู้คัดค้านที่ ๑ เป็นกรรมการลูกจ้างจึงเป็นการเลือกปฏิบัติ กรณีจึงไม่มีเหตุสมควรอนุญาตให้ผู้ร้องลงโทษตักเตือนผู้คัดค้านที่ ๑ ด้วยวาจา ฐานแต่งกายผิดระเบียบของผู้ร้องได้ ที่ศาลแรงงานกลางมีคำสั่งมานั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย อุทธรณ์ของผู้คัดค้านที่ ๑ ฟังขึ้น
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ยกคำร้องของอนุญาตลงโทษผู้คัดค้านที่ ๑ ฐานแต่งกายผิดระเบียบของผู้ร้อง นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำสั่งศาลแรงงานกลาง.
เรียบเรียงโดย บริษัท กฎหมายปาระมี จำกัด