คำพิพากษาฎีกาที่ 6921/57
ปฏิบัติหน้าที่บกพร่องและเพิกเฉยไม่ดูแลผลประโยชน์ของนายจ้าง เป็นเหตุให้นายจ้างไม่ไว้วางใจในการทำงานได้เป็นการเลิกจ้างที่เป็นธรรม
โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ 19 มกราคม 2545 จำเลยจ้างโจทก์เข้าทำงานเป็นลูกจ้างในตำแหน่งผู้จัดการโรงงาน ครั้งสุดท้ายได้รับค่าจ้างเดือนละ 43,000 บาท กำหนดจ่ายค่าจ้างทุกวันที่ 20 และวันที่ 5 ของเดือนถัดไปต่อมาเมื่อวันที่ 15 ธันวาคม 2550 จำเลยเลิกจ้างโจทก์อ้างว่าไม่สามารถทำงานร่วมกันได้ซึ่งไม่เป็นความจริงและมิใช่ความผิดของโจทก์โดยไม่บอกกล่าวล่วงหน้าตามกฎหมาย จำเลยจ่ายค่าชดเชยให้บางส่วนคงค้างจ่ายค่าชดเชยโจทก์อยู่อีก 59,000 บาท จำเลยจ่ายสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้าแก่โจทก์ครบถ้วน ตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน 2547 ถึงเดือนธันวาคม 2550 จำเลยค้างค่าจ้างโจทก์เป็นเงิน 375,000 บาท ซึ่งโจทก์ขอคิดค่าจ้างค้างย้อนหลังเพียง 2 ปี เป็นเงิน 240,000 บาท ในการทำงานกับจำเลย จำเลยมีข้อตกลงว่าด้วยการจ่ายค่าคอมมิสชันให้โจทก์ในการขายสินค้าให้แก่จำเลย โดยกำหนดยอดขายต่อเดือนที่เกิน 400,000 บาท จะให้ค่าคอมมิสชันแก่โจทก์ในอัตรา 2.5 % และจะจ่ายเงินให้โจทก์เมื่อเก็บจากลูกค้าได้ตั้งแต่เดือนมกราคม 2549 ถึงเดือนธันวาคม 2550 โจทก์สามารถขายสินค้าให้แก่จำเลยได้เป็นเงิน 9,284,451 บาท โจทก์จึงมีสิทธิได้รับค่าคอมมิสชันภายหลังจากที่จำเลยเก็บเงินจากลูกค้าได้เป็นเงิน 21,837 บาท ระหว่างทำงานกับจำเลย จำเลยหักค่าพาหนะจากค่าจ้างโจทก์โดยโจทก์ไม่ยินยอม จำเลยหักค่าจ้างตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน 2550 ถึงเดือนธันวาคม 2550 เป็นเงิน 6,000 บาท นอกจากนี้การเลิกจ้างโจทก์ด้วยเหตุดังกล่าวเป็นการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรม ทำให้โจทก์ได้รับความเสียหาย ต้องตกงานขาดรายได้ประจำ ประกอบกับโจทก์มีอายุมากแล้วหางานทำใหม่ลำบาก โจทก์ไม่ประสงค์จะทำงานกับจำเลย ขอให้บังคับจำเลยจ่ายค่าคอมมิสชัน 21,837 บาท ค่าเสียหายจากการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรม 430,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ค่าจ้างค้าง 246,000 บาท (240,000 + 6,000 บาท ) ค่าชดเชย 59,033 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปี นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยให้การว่า โจทก์เป็นผู้จัดการโรงงาน ครั้งสุดท้ายได้รับค่าจ้างเดือนละ 31,500 บาท โจทก์ไม่สามารถทำงานร่วมกับพนักงานอื่นและผู้ใต้บังคับบัญชาทำให้เกิดความขัดแย้งในองค์กรของจำเลยจนไม่สามารถควบคุมได้ ที่โจทก์อ้างว่าจำเลยค้างค่าจ้างตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน 2547 ถึงเดือนธันวาคม 2550 ไม่เป็นความจริงเนื่องจากโจทก์คำนวณค่าจ้างต่อเดือนที่ได้รับจากจำเลยเดือนละ 43,000 บาท ซึ่งจะมีส่วนต่างอยู่ 11,500 บาท เงินเดือนโจทก์จะมีอัตราเดือนละ 31,500 บาท โจทก์จึงไม่มีสิทธิเรียกค่าจ้างค้างตามฟ้อง ยอดขายสินค้าของโจทก์ไม่ถึงกำหนดยอดขายที่จำเลยตกลงกับโจทก์ โจทก์จึงไม่มีสิทธิได้รับค่าตอบแทนประเภทค่าคอมมิสชันจากจำเลย โจทก์สิ้นสภาพการเป็นพนักงานของจำเลยเมื่อวันที่ 15 ธันวาคม 2550 หากจำเลยจ่ายค่าพาหนะจริงก็เป็นเงินเพียง 4,500 บาท มิใช่ 6,000 บาท จำเลยจ่ายค่าชดเชยให้โจทก์ตามกฎหมายเป็นเงิน 189,000 บาท ครบถ้วนแล้ว เหตุผลอีกประการหนึ่งที่โจทก์ไม่สามารถร่วมงานกับจำเลยได้เนื่องจากโจทก์ทำให้จำเลยไดรับความเสียหาย โดยขณะโจทก์ยังเป็นพนักงานของจำเลยอยู่เมื่อได้รับแจ้งจากลูกค้าว่าขอยกเลิกการสั่งสินค้า โจทก์ชอบที่จะแจ้งฝ่ายผลิตของจำเลยให้ทราบเพื่อยุติการผลิตเนื่องจากหากผลิตไปแล้วสินค้าจะไม่สามารถจำหน่ายให้แก่ผู้ใดได้ แต่โจทก์หาได้แจ้งไม่กลับปล่อยให้จำเลยผลิตสินค้าตามคำสั่งซื้อของลูกค้ารายนั้นตลอดมา การกระทำของโจทก์จึงเป็นการกลั่นแกล้งจำเลยให้เกิดความเสียหาย เมื่อรวมกับเหตุผลที่โจทก์ไม่สามารถทำงานร่วมกับลูกจ้างอื่นของจำเลยได้ การเลิกจ้างของจำเลยเป็นธรรมแล้ว ขอให้ยกฟ้อง
ศาลแรงงานกลางพิจารณาแล้ว พิพากษาให้จำเลยจ่ายค่าจ้างค้างจำนวน 6,000 บาท ค่าชดเชยจำนวน 24,000 บาท ค่าเสียหายจากการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรมจำนวน 150,000 บาท และค่าคอมมิสชันจำนวน 21,837 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปี ในต้นเงินค่าจ้างค้างและค่าชดเชยดังกล่าว และดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ในต้นเงินค่าเสียหายจากการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรมและค่าคอมมิสชันดังกล่าว นับแต่วันฟ้อง (วันที่ 25 มกราคม 2550) เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ คำขออื่นนอกจากนี้ให้ยก
โจทก์และจำเลยอุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีแรงงานตรวจสำนวนประชุมปรึกษาแล้ว ศาลแรงงานกลางฟังข้อเท็จจริงว่า เมื่อวันที่ 10 มกราคม 2545 จำเลยจ้างโจทก์เข้าทำงานเป็นลูกจ้างครั้งสุดท้ายทำหน้าที่ผู้จัดการทั่วไป กำหนดจ่ายค่าจ้างทุกวันที่ 20 และวันที่ 5 ของเดือน ต่อมาวันที่ 15 ธันวาคม 2550 จำเลยมีหนังสือเลิกจ้างโจทก์อ้างว่าโจทก์ไม่สามารถทำงานให้จำเลยได้จึงจ่ายค่าชดเชยและสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้าแก่โจทก์ ขณะทำงานจำเลยจ่ายเงินเดือนๆละ 31,500 บาท และค่าพาหนะเดือนละ 4,000 บาท แก่โจทก์ โจทก์เป็นผู้รับคำสั่งซื้อสินค้าจากลูกค้าประเทศสิงคโปร์ ต่อมาลูกค้าดังกล่าวแจ้งต่อโจทก์ว่ายกเลิกคำสั่งซื้อสินค้าขณะที่มีการผลิตสินค้าใกล้จะเสร็จ แต่โจทก์ไม่ได้แจ้งเรื่องนี้ให้จำเลยทราบ จำเลยเพิ่งทราบภายหลังเมื่อสินค้าผลิตเสร็จพร้อมส่งมอบและอยู่ระหว่างนำส่งสินค้าไปให้ลูกค้าที่ประเทศสิงคโปร์ จำเลยไม่สามารถจำหน่ายสินค้าดังกล่าวได้ แล้ววินิจฉัยว่า โจทก์ได้รับค่าจ้างอัตราสุดท้ายเดือนละ 35,500 บาท ซึ่งเป็นเงินเดือน 31,500 บาท และค่าพาหนะ 4,000 บาท ความเสียหายจากการที่ไม่สามารถจำหน่ายสินค้าได้นั้นไม่ใช่ความเสียหายโดยตรงที่เกิดจากโจทก์ไม่ได้แจ้งการยกเลิกคำสั่งซื้อสินค้าให้จำเลยทราบ แต่เกิดจากลูกค้าประเทศสิงคโปร์ยกเลิกคำสั่งซื้อสินค้าอย่างกะทันหัน การกระทำของโจทก์เป็นเพียงบกพร่องต่อหน้าที่เล็กน้อย จำเลยเลิกจ้างโจทก์จึงเป็นการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรม
ที่โจทก์อุทธรณ์ว่า โจทก์ได้รับเงินเดือนๆละ 43,000 บาท โดยขณะเป็นผู้จัดการโรงงานได้รับเดือนละ 33,000 บาท ต่อมาประธานของจำเลยแต่งตั้งให้โจทก์เป็นผู้จัดการทั่วไปและผู้จัดการฝ่ายการตลาดแล้วเพิ่มเงินให้อีกเดือนละ 10,000 บาท นั้น เห็นว่า เป็นการโต้แย้งดุลพินิจในการรับฟังพยานหลักฐานของศาลแรงงานกลางที่ฟังข้อเท็จจริงว่าโจทก์ได้รับค่าจ้างอัตราสุดท้ายเดือนละ 35,500 บาท ซึ่งเป็นเงินเดือน 31,500 บาท และค่าพาหนะ 4,000 บาท จึงเป็นอุทธรณ์ในข้อเท็จจริง ต้องห้ามมิให้อุทธรณ์ตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. 2522 มาตรา 54 วรรคหนึ่ง ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
ที่จำเลยอุทธรณ์ว่า ค่าพาหนะที่จ่ายแก่โจทก์เดือนละ 4,000 บาท ไม่ได้เกี่ยวข้องกับการทำงาน การทำงานของโจทก์เกิดเมื่อมาถึงที่ทำงานในช่วงเวลาทำงานปกติในสถานที่ทำงานของจำเลยหรือออกไปติดต่อลูกค้าในช่วงเวลาทำงานปกติเท่านั้น เห็นว่า เป็นอุทธรณ์ที่ไม่ชัดแจ้งและไม่เป็นสาระแก่คดีอันควรได้รับการวินิจฉัย ต้องห้ามมิให้อุทธรณ์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 225 วรรคหนึ่ง ประกอบพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. 2522 มาตรา 31 ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
ปัญหาต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของจำเลยว่า เป็นการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรมหรือไม่ โดยจำเลยอุทธรณ์ว่า การที่โจทก์ตำแหน่งผู้จัดการทั่วไปได้รับแจ้งยกเลิกคำสั่งซื้อสินค้าแต่ไม่ยอมแจ้งให้จำเลยทราบเพื่อยุติการผลิตสินค้าเป็นเหตุให้มีการผลิตสินค้าเสร็จถือเป็นข้อบ่งชี้ว่าจำเลยไม่อาจไว้วางใจให้โจทก์ทำงานต่อไป ไม่ใช่การเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรมนั้น เห็นว่า การเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรมตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. 2522 มาตรา 49 จะต้องพิจารณาถึงสาเหตุแห่งการเลิกจ้างว่ามีเหตุอันสมควรหรือเพียงพอหรือไม่เป็นสำคัญ คดีนี้ข้อเท็จได้ความว่าโจทก์ซึ่งทำงานตำแหน่งผู้จัดการทั่วไปและเป็นผู้รับคำสั่งซื้อสินค้าจากลูกค้าประเทศสิงคโปร์เพื่อทำการผลิตสินค้า ต่อมาระหว่างการผลิตสินค้าเมื่อลูกค้าดังกล่าวแจ้งการยกเลิกคำสั่งซื้อสินค้ามายังโจทก์ โจทก์กลับละเลยไม่แจ้งให้จำเลยทราบทั้งที่โจทก์มีหน้าที่ดูแลเกี่ยวกับคำสั่งซื้อสินค้าของลูกค้ารายนี้มาตั้งแต่แรกและมีตำแหน่งหน้าที่เป็นผู้จัดการทั่วไป จนกระทั่งเมื่อจำเลยผลิตสินค้าเสร็จและอยู่ระหว่างนำส่งสินค้าให้แก่ลูกค้าจำเลยจึงทราบการยกเลิกคำสั่งซื้อสินค้า และสินค้าที่ผลิตขึ้นมาก็ไม่สามารถจำหน่ายได้ ถือเป็นการปฏิบัติหน้าที่บกพร่องและเพิกเฉยไม่ดูแลผลประโยชน์ของจำเลยผู้เป็นนายจ้างย่อมเป็นเหตุให้จำเลยไม่ไว้วางใจในการทำงานของโจทก์ เป็นการเลิกจ้างที่มีเหตุผลอันสมควรไม่เป็นการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรม ที่ศาลแรงงานกลางพิพากษาให้จำเลยจ่ายค่าเสียหายจากการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรมแก่โจทก์นั้น ไม่ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกา อุทธรณ์ของจำเลยข้อนี้ฟังขึ้น
พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยไม่ต้องจ่ายค่าเสียหายจากการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรมจำนวน 150,000 บาท แก่โจทก์ นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลแรงงานกลาง
เรียบเรียงโดย บริษัท กฎหมายปาระมี จำกัด