คำพิพากษาฎีกาที่ 13799/57
ศาลมีคำสั่งให้งดสืบพยาน แล้วพิพากษาตามหลักฐานที่ปรากฏในสำนวน ในขณะที่ข้อเท็จจริงเกี่ยวกับประเด็นข้อพิพาทยังมีข้อโต้แย้งกันอยู่ ข้อเท็จจริงยังรับฟังไม่ยุติ ต้องสืบพยานใหม่และพิพากษาใหม่ไปตามรูปคดี
โจทก์ฟ้องว่า เมื่อเดือนมีนาคม 2542 จำเลยจ้างโจทก์ทำงานเป็นลูกจ้างตำแหน่งสุดท้ายคือผู้จัดการแผนกขาย 1 ค่าจ้างอัตราสุดท้ายเดือนละ 56,520 กำหนดจ่ายค่าจ้างทุกวันที่ 27 ของเดือน ต่อมาวันที่ 28 มีนาคม 2551 จำเลยเลิกจ้างโจทก์เป็นหนังสือ หนังสือลงวันที่ 19 มีนาคม 2551 ให้มีผลเป็นการเลิกจ้างตั้งแต่วันที่ 31 มีนาคม 2551 โดยโจทก์ไม่ได้กระทำความผิดและจำเลยไม่ได้บอกกล่าวล่วงหน้า โจทก์จึงมีสิทธิได้รับสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้านับแต่วันที่ 28 มีนาคม ถึงวันที่ 27 พฤษภาคม 2551 แต่จำเลยได้จ่ายสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้าให้แก่โจทก์บางส่วนแล้ว ยังขาดอยู่อีก 27 วัน เป็นเงิน 50,868 บาท จำเลยค้างจ่ายค่าจ้างเดือนมีนาคม 2551 จำนวน 9,800 บาท การที่จำเลยบอกเลิกจ้างโจทก์โดยไม่ชอบด้วยกฎหมายเป็นเหตุให้โจทก์ได้รับความเสียหายเป็นเงิน 1,356,480 บาท ขอให้บังคับจำเลยจ่ายค่าจ้าง 9,800 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปี สินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้า 50,868 บาท และค่าเสียหายจากการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรม 1,356,480 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยให้การว่า การที่จำเลยเลิกจ้างโจทก์เนื่องจากโจทก์ไม่สามารถทำงานได้ตามเป้าหมายที่จำเลยกำหนดและปฏิบัติงานฝ่าฝืนระเบียบและคำสั่งของจำเลย โจทก์ไม่สามารถทำงานประสานงานร่วมกับหัวหน้างานและทีมพนักงานได้ประกอบกับสภาวะทางเศรษฐกิจที่ตกต่ำ ดังนั้นในวันที่ 28 มีนาคม 2551 จำเลยจึงแจ้งให้โจทก์ทราบว่าจำเลยจะเลิกจ้างโจทก์ตั้งแต่วันที่ 31 มีนาคม 2551 เป็นต้นไป จำเลยได้จ่ายค่าชดเชยให้แก่โจทก์ 8 เดือน เป็นเงิน 452,160 บาท และสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้าให้แก่โจทก์ 1 เดือน นับแต่วันที่ 31 มีนาคม 2551 ถึงสิ้นเดือนเมษายน 2551 เป็นเงิน 56,520 บาท รวมเป็นเงินที่จำเลยได้จ่ายให้แก่โจทก์ในการเลิกจ้างทั้งสิ้น 508,680 บาท ส่วนค่าจ้างในเดือนมีนาคม 2551 นั้น ในวันที่ 31 มีนาคม 2551 จำเลยได้จ่ายให้แก่โจทก์ครบถ้วนแล้ว จำเลยไม่ได้ค้างจ่ายค่าจ้างโจทก์สำหรับค่าจ้างเดือนมีนาคม 2551 โจทก์ไม่ได้รับความเสียหายจากการเลิกจ้างของจำเลย ขอให้ยกฟ้อง
ศาลแรงงานกลางพิจารณาแล้ว พิพากษาให้จำเลยจ่ายค่าจ้างที่ค้าง 9,800 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปี จ่ายสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้า 50,868 บาท และค่าเสียหายจากการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรม 600,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยอุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
ศาลแรงงานกลางมีคำสั่งว่า อุทธรณ์จำเลยเป็นข้อเท็จจริงทั้งหมดไม่รับอุทธรณ์
จำเลยอุทธรณ์คัดค้านคำสั่งไม่รับอุทธรณ์
ศาลฎีกามีคำสั่งว่า อุทธรณ์ของจำเลยเป็นอุทธรณ์ในข้อกฎหมายให้รับอุทธรณ์ของจำเลยไว้ดำเนินการต่อไป
ศาลฎีกาแผนกคดีแรงงานตรวจสำนวนประชุมปรึกษาแล้ว คดีมีปัญหาตามอุทธรณ์ของจำเลยว่า คำสั่งงดสืบพยานของศาลแรงงานกลางชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ เห็นว่า แม้ว่าในคดีแรงงานศาลมีอำนาจที่จะใช้ดุลพินิจที่จะวินิจฉัยว่าพยานหลักฐานที่คู่ความนำมาสืบนั้นจะเกี่ยวกับประเด็นและเป็นอันเพียงพอให้เชื่อฟังเป็นยุติได้หรือไม่แล้วพิพากษาคดีไปตามนั้นตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 104 ประกอบพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. 2522 มาตรา 31 ก็ตาม แต่คดีนี้ศาลแรงงานกลางกำหนดประเด็นแห่งคดีว่า ข้อ 1 จำเลยเลิกจ้างโจทก์ชอบด้วยกฎหมายและเป็นธรรมหรือไม่ และข้อ 2 จำเลยจะต้องจ่ายค่าจ้างที่ค้าง สินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้า และค่าเสียหายจากการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรมให้แก่โจทก์หรือไม่ เพียงใดโดยในระหว่างพิจารณาศาลแรงงานกลางให้โจทก์และจำเลยอ้างเอกสารเป็นพยานหลักฐานเพื่อสนับสนุนข้ออ้างและข้อเถียงประกอบการวินิจฉัย แล้วต่อมาได้พิเคราะห์แล้วเห็นว่าคดีมีทางวินิจฉัยชี้ขาดได้แล้วโดยไม่จำเป็นต้องสืบพยานต่อไป จึงให้งดสืบพยานจำเลยและพยานโจทก์ จากนั้นก็พิจารณาพิพากษา ดังนั้น ศาลแรงงานกลางจึงเพียงแต่พิจารณาวินิจฉัยจากพยานเอกสารของคู่ความ โดยไม่ปรากฏว่าคู่ความฝ่ายอื่นได้ตกลงแถลงรับข้อเท็จจริงที่ปรากฏในเอกสารดังกล่าวแต่อย่างใด ทั้งที่ข้อเท็จจริงตามคำฟ้องและคำให้การยังโต้แย้งกันอยู่เกี่ยวกับเรื่องวันกำหนดจ่ายค่าจ้าง จำนวนเงินของสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้า จำนวนเงินของค่าจ้างค้างจ่าย รวมถึงมูลเหตุที่แท้จริงในการเลิกจ้าง อันเป็นข้อเท็จจริงที่นำไปสู่การพิจารณาวินิจฉัยตามประเด็นแห่งคดีที่ศาลแรงงานกลางกำหนดไว้ เมื่อศาลแรงงานกลางพิจารณาวินิจฉัยข้อเท็จจริงเพียงเท่าที่ปรากฏในพยานเอกสารของคู่ความซึ่งยังไม่รับฟังเป็นยุติ แล้วด่วนงดสืบพยานบุคคลเพื่อรับฟังประกอบพยานเอกสารดังกล่าวให้ยุติครบถ้วนตามข้อพิพาทย่อมถือได้ว่าคดีนี้ยังไม่มีข้อเท็จจริงเพียงพอให้เชื่อฟังเป็นยุติเพื่อพิพากษาคดีได้ กรณีจึงต้องรับฟังพยานหลักฐานที่คู่ความจักต้องนำมาสืบเกี่ยวกับประเด็นแห่งคดีเสียก่อน ที่ศาลแรงงานกลางมีคำสั่งให้งดสืบพยานจำเลยและพยานโจทก์แล้วพิพากษาให้จำเลยแพ้คดีมานั้น ไม่ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกา อุทธรณ์ของจำเลยฟังขึ้น
พิพากษายกคำพิพากษาศาลแรงงานกลาง ให้ศาลแรงงานกลางดำเนินการสืบพยานจำเลยและพยานโจทก์ แล้วพิพากษาใหม่ตามรูปคดี
เรียบเรียงโดย บริษัท กฎหมายปาระมี จำกัด