คำพิพากษาฎีกาที่ 2542/57
เป็นลูกจ้างที่มีอำนาจกระทำการแทนนายจ้างในการจ้างงาน ไม่มีสิทธิได้รับค่าทำงานในวันหยุด และลักทรัพย์เอาต้นไม้ของนายจ้างไป ถือว่ากระทำผิดอาญาแก่นายจ้าง เลิกจ้างได้โดยไม่ต้องจ่ายค่าชดเชย
โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ 15 ธันวาคม 2548 จำเลยรับโจทก์เข้าทำงานในตำแหน่งผู้ควบคุมงานติดตั้งระบบ ตำแหน่งสุดท้ายหัวหน้าช่าง ได้รับเงินเดือนเดือนละ 54,600 บาท เบี้ยเลี้ยงต่างจังหวัดเดือนละ 3,000 บาท รวมเป็นเงิน 57,600 บาท ต่อมาเมื่อวันที่ 20 กุมภาพันธ์ 2553 จำเลยเลิกจ้างโจทก์โดยโจทก์มิได้กระทำความผิดและไม่ได้บอกกล่าวล่วงหน้า โจทก์มีสิทธิได้รับสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้าเป็นเงิน 57,600 บาท โจทก์ทำงานกับจำเลยมาเป็นเวลา 4 ปีกว่า มีสิทธิได้รับค่าชดเชยไม่น้อยกว่าค่าจ้างอัตราสุดท้าย 6 เดือน เป็นเงิน 345,600 บาท จำเลยเลิกจ้างโจทก์โดยไม่มีความผิดและไม่เป็นธรรมกับไม่ออกหนังสือรับรองการทำงานให้ ทำให้โจทก์ได้รับความเสียหาย คิดเป็นเงิน 230,400 บาท โจทก์มีสิทธิหยุดงานประจำปีปีละ 6 วัน โจทก์ทำงานมา 4 ปีกว่ามีสิทธิหยุดงานประจำปี 12 วัน จึงขอคิดค่าทำงานที่โจทก์ทำงานให้แก่จำเลยในวันหยุดเป็นเวลา 12 วัน วันละ 2,880 บาท คิดเป็นเงิน 34,560 บาท ก่อนฟ้องคดีนี้โจทก์ทวงถามแล้วแต่จำเลยเพิกเฉย ขอให้บังคับจำเลยชดใช้เงินจำนวน 668,160 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 15 ต่อปี ในต้นเงินดังกล่าว นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยให้การว่า เมื่อวันที่ 10 มกราคม 2553 และวันที่ 17 มกราคม 2553 โจทก์ได้เข้าไปในโครงการของจำเลยและลักเอาต้นลีลาวดีที่จำเลยปลูกประดับไว้ไปการกระทำของโจทก์เป็นการลักทรัพย์ เป็นการกระทำความผิดอาญาโดยเจตนาแก่นายจ้างจงใจทำให้นายจ้างได้รับความเสียหาย และฝ่าฝืนข้อบังคับเกี่ยวกับทำงาน ระเบียบคำสั่งของจำเลยอันชอบด้วยด้วยกฎหมายและเป็นธรรมอย่างร้ายแรง จำเลยจึงเลิกจ้างโจทก์ได้ทันที โดยไม่ต้องบอกกล่าวล่วงหน้าและไม่ต้องจ่ายค่าชดเชย จำเลยได้แจ้งถึงการกระทำความผิดของโจทก์ดังกล่าว และแจ้งการเลิกจ้างเมื่อวันที่ 20 กุมภาพันธ์ 2553 การเลิกจ้างของจำเลยเป็นการเลิกจ้างที่เป็นธรรม โจทก์ไม่ได้ทำงานในวันหยุด และไม่มีสิทธิได้รับค่าทำงานในวันหยุด โจทก์คิดค่าจ้างต่อวันไม่ถูกต้อง ขอให้ยกฟ้อง
ศาลแรงงานกลางพิจารณาแล้ว พิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีแรงงานตรวจสำนวนประชุมปรึกษาแล้ว ข้อเท็จจริงที่ศาลแรงงานกลางรับฟังเป็นยุติว่า เมื่อวันที่ 15 ธันวาคม 2548 จำเลยรับโจทก์เข้าทำงานในตำแหน่งผู้ควบคุมงานติดตั้งระบบ โจทก์ได้รับค่าจ้างอัตราสุดท้ายประกอบด้วยเงินเดือนเดือนละ 54,600 บาท และเบี้ยเลี้ยงต่างจังหวัดเดือนละ 3,000 บาท รวมเป็นเงิน 57,600 บาท โจทก์ทำงานในตำแหน่งบริหารเป็นผู้จัดการฝ่ายช่างของจำเลยประจำโครงการณิชาวิลล์ อำเภอทับสะแก จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ มีอำนาจรับสมัครงานเฉพาะที่อยู่ในแผนกช่างแทนจำเลยและมีอำนาจให้คุณให้โทษผู้อยู่ใต้บังคับบัญชาในแผนกช่าง ไม่ปรากฏว่าจำเลยตกลงจ่ายค่าทำงานในวันหยุดแก่โจทก์ เมื่อวันที่ 10 มกราคม 2553 และวันที่ 17 มกราคม 2553 โจทก์เอาต้นลีลาวดีของจำเลยบรรทุกใส่รถยนต์กระบะออกไปจากโครงการณิชาวิลล์เพื่อประโยชน์ของตนเอง ต่อมาวันที่ 20 กุมภาพันธ์ 2553 นายอนุสรณ์ สุระมูล ผู้จัดการฝ่ายทรัพยากรบุคคลของจำเลยเรียกโจทก์มาแจ้งว่าจำเลยเลิกจ้างโจทก์ด้วยเหตุลักทรัพย์ของนายจ้างเป็นการกระทำความผิดอาญาโดยเจตนา ทำให้จำเลยเสียหาย โจทก์ขอให้จำเลยจ่ายค่าชดเชยตามกฎหมายแต่นายอนุสรณ์แจ้งว่าจำเลยสามารถจ่ายเงินช่วยเหลือให้โจทก์เท่ากับเงินเดือน 2 เดือน โจทก์ไม่ยอมรับข้อเสนอและหลังจากวันดังกล่าวโจทก์ไม่ไปทำงานอีก
ข้อที่โจทก์อุทธรณ์ว่าศาลแรงงานกลางวินิจฉัยคลาดเคลื่อนต่อข้อเท็จจริงหลายประการกล่าวคือโจทก์ไม่เคยยอมรับกับนายอนุสรณ์ สุระมูล ว่านำต้นลีลาวดีของจำเลยไปก็ดี คำเบิกความของนายวินัย สังข์ทอง และนายบรรยง ปานใหญ่ พยานจำเลยซึ่งไม่ได้เห็นเหตุการณ์ขณะที่ยกต้นลีลาวดีขึ้นรถ ไม่ได้เป็นประจักษ์พยาน คำเบิกความไม่สมเหตุผล ไม่มีภาพถ่ายประกอบ ทั้งตามรายงานที่หัวหน้าคนสวนทำบันทึกไว้เอกสารหมาย จ.4 และ จ.5 ก็ปรากฏว่าต้นลีลาวดีของจำเลยยังอยู่ครบไม่ได้หายไป พยานจำเลยจึงฟังไม่ได้ว่าโจทก์เอาต้นลีลาวดีของจำเลยไปก็ดี คำเบิกความของโจทก์สมเหตุผลรับฟังได้ว่าต้นลีลาวดีที่อยู่บนรถของโจทก์ไม่ใช่ต้นไม้ในโครงการของจำเลยก็ดี กับศาลแรงงานกลางให้เหตุผลในการไม่กำหนดค่าเสียหายจากการที่จำเลยไม่ออกหนังสือรับรองการทำงานให้โจทก์เพราะไม่ปรากฏว่าโจทก์ได้นำสืบให้เห็นว่าเสียหายอย่างไร ทั้งที่โจทก์นำสืบชัดเจนแล้วว่าไปสมัครงานที่ไหนอย่างไรก็ดี ล้วนเป็นอุทธรณ์โต้เถียงดุลพินิจในการรับฟังพยานหลักฐานของศาลแรงงานกลาง และที่โจทก์อุทธรณ์ว่าจำเลยไม่ได้แจ้งเหตุในการเลิกจ้างให้ทราบก็เป็นการหยิบยกข้อเท็จจริงขึ้นใหม่ ดังนั้นจึงเป็นอุทธรณ์ในข้อเท็จจริง ต้องห้ามอุทธรณ์ตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. 2522 มาตรา 54 วรรคหนึ่ง ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยให้
คงมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของโจทก์ว่า การที่จำเลยเลิกจ้างโจทก์เป็นการเลิกจ้างที่ต้องจ่ายค่าชดเชยและสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้าหรือไม่ เป็นการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรมหรือไม่ และโจทก์มีสิทธิได้รับค่าทำงานในวันหยุดพักผ่อนประจำปีหรือไม่โดยโจทก์อุทธรณ์ว่าจำเลยเลิกจ้างโจทก์ทันทีโดยไม่ได้บอกกล่าวล่วงหน้าตักเตือนก่อน และจำเลยยังคงค้างค่าทำงานในวันหยุดพักผ่อนประจำปีนั้น เห็นว่า เมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ว่า โจทก์เป็นผู้จัดการฝ่ายช่างประจำโครงการณิชาวิลล์มีอำนาจรับสมัครงานและมีอำนาจให้คุณให้โทษผู้ใต้บังคับบัญชาเฉพาะแผนกช่างแทนจำเลย โจทก์จึงเป็นลูกจ้างที่มีอำนาจกระทำการแทนนายจ้างสำหรับกรณีจ้างงาน ไม่ว่าโจทก์จะทำงานในวันหยุดหรือไม่ก็ตาม และเมื่อไม่ปรากฏว่าจำเลยตกลงจ่ายค่าทำงานในวันหยุดให้แก่โจทก์ โจทก์จึงไม่มีสิทธิได้รับค่าทำงานในวันหยุดพักผ่อนประจำปีตามพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. 2541 มาตรา 66 นอกจากนี้การที่โจทก์เป็นผู้จัดการฝ่ายช่างมีอำนาจให้คุณให้โทษอยู่ใต้บังคับบัญชาควรต้องซื่อสัตย์ ซื่อตรงต่อหน้าที่ เป็นแบบอย่างได้ แต่โจทก์กลับเอาต้นลีลาวดีของจำเลยไปเพื่อประโยชน์ของตนเองโดยปราศจากสิทธิโดยชอบ เป็นการกระทำผิดอาญาโดยเจตนาแก่นายจ้างและเป็นการกระทำอันไม่สมแก่การปฏิบัติหน้าที่ของตนให้ลุล่วงไปโดยถูกต้องและสุจริต เลยซึ่งเป็นนายจ้างชอบที่จะเลิกจ้างโจทก์ได้โดยไม่จำต้องตักเตือนก่อนและมิพักต้องบอกกล่าวล่วงหน้าหรือให้สินไหมทดแทนตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 583 และไม่ต้องจ่ายค่าชดเชยตามพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. 2541 มาตรา 119 (1) ทั้งการที่จำเลยเลิกจ้างโจทก์ด้วยเหตุดังกล่าวเป็นการเลิกจ้างที่มีเหตุอันสมควร ไม่ถือเป็นการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรมตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. 2522 มาตรา 49 ที่ศาลแรงงานกลางพิพากษายกฟ้องโจทก์เสียนั้น ชอบแล้ว อุทธรณ์ของโจทก์ฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน.
เรียบเรียงโดย บริษัท กฎหมายปาระมี จำกัด