คำพิพากษาฎีกาที่ 11415/57
“ นายจ้าง ” ตามพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน มาตรา 5
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นลูกจ้างของนางพเยาว์ อ่องบางน้อย และนางพัชรินทร์ กสิวิริยะวงศ์ ได้รับค่าจ้างอัตราสุดท้ายเดือนละ 5,250 บาท ทำงานเฉพาะวันจันทร์ พุธ ศุกร์ เข้าทำงานตั้งแต่วันที่ 1 มีนาคม 2546 นางพเยาว์และนางพัชรินทร์จ่ายค่าประกันสังคมให้แก่โจทก์จนถึงปัจจุบัน และบุคคลทั้งสองค้างค่าจ้างตั้งแต่เดือนมกราคม 2548 ถึง เดือนกุมภาพันธ์ 2551 โจทก์ยื่นคำร้องต่อจำเลยขอให้มีคำสั่งให้บุคคลทั้งสองจ่ายค่าจ้างที่ค้างแก่โจทก์ จำเลยในฐานะพนักงานตรวจแรงงานมีคำสั่งที่ 21/2551 ลงวันที่ 7 พฤษภาคม 2551 ว่าโจทก์ไม่ใช่ลูกจ้างของนางพเยาว์และนางพัชรินทร์ จึงไม่มีสิทธิเรียกเงินค่าจ้างค้างจ่ายและดอกเบี้ยจากบุคคลทั้งสอง ซึ่งเป็นคำสั่งไม่ชอบด้วยกฎหมายขอให้เพิกถอนคำสั่งพนักงานตรวจแรงงานดังกล่าว กับขอให้บังคับนางพเยาว์และนางพัชรินทร์จ่ายค่าจ้างที่ค้าง 212,160 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปี ในยอดเงินที่ค้างจ่ายในแต่ละเดือนไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยให้การว่า เมื่อโจทก์ยื่นคำร้องต่อพนักงานตรวจแรงงาน สำนักงานสวัสดิการและคุ้มครองแรงงานจังหวัดสมุทรสาคร ว่างนางพเยาว์ อ่องบางน้อย และนางพัชรินทร์ กสิวิริยะวงศ์ ค้างจ้างค่าจ้างโจทก์ตั้งแต่เดือนมกราคม 2548 ถึง กุมภาพันธ์ 2551 รวมเป็นเงินทั้งสิ้น 212,160 บาท จำเลยในฐานะพนักงานตรวจแรงงานสอบสวนแล้วเห็นว่าหน้าที่ขับรถของโจทก์ตามที่อ้างแท้จริงแล้วเป็นเรื่องที่โจทก์รับอาสาในฐานะเจ้าของรถที่นำเข้ามาร่วมในกลุ่มเดินรถร่วมองค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ สาย 81 เป็นการทำให้โดยไม่มีสิ่งตอบแทน ส่วนที่มีการให้ค่าน้ำมันรถ 5,000 บาท เป็นการตอบแทนสินน้ำใจนางพเยาว์และนางพัชรินทร์ไม่ได้มีเจตนาที่จะผูกนิติสัมพันธ์กับโจทก์ในฐานะนายจ้างและลูกจ้างของนางพเยาว์และนางพัชรินทร์ต้องมาลงชื่อเข้าทำงานตั้งแต่วันจันทร์ - วันเสาร์ เวลา 8.00 น. – 17.00 น. และมีวันหยุดประจำสัปดาห์ จะต้องรับฟังคำสั่งและอาจถูกลงโทษทางวินัย หากลูกจ้างทำผิดวินัย แต่กรณีของโจทก์ไม่ต้องมาลงลายมือชื่อทำงานระยะเวลาการทำงานของโจทก์ไม่เหมือนกับลูกจ้างดังกล่าว เมื่อโจทก์ทำหน้าที่ขับรถเสร็จแล้วก็สามารถไปทำภารกิจอื่นได้ ไม่ต้องกลับมาทำงาน โจทก์ไม่ต้องรับฟังคำสั่งใดๆ จากนางพเยาว์และนางพัชรินทร์ในการปฏิบัติหน้าที่พนักงานขับรถ นางพเยาว์และนางพัชรินทร์ไม่สามารถลงโทษทางวินัยแก่โจทก์หากปฏิบัติหน้าที่พนักงานขับรถบกพร่อง และไม่เคยออกเงินของตนในฐานะนายจ้างสมทบกองทุนประกันสังคมในนามของโจทก์ซึ่งเป็นผู้ประกันตน อนึ่งหากศาลฟังว่ากรณีดังกล่าวเป็นเรื่องสัญญาจ้างแรงงาน หลังจากที่นางพเยาว์และนางพัชรินทร์นำเงินไปชำระให้แก่โจทก์ 10,200 บาท ตามที่โจทก์ได้ร้องขอต่อพนักงานตรวจแรงงานในครั้งแรกเมื่อประมาณต้นปี 2548 ก็ปรากฏว่านางพเยาว์และนางพัชรินทร์ไม่เคยมอบหมายงานใดๆ ให้แก่โจทก์ทำอีกต่อไป และโจทก์ก็ไม่เคยขวนขวายที่จะกลับมาทำงานอีก มิหนำซ้ำโจทก์ไปขึ้นทะเบียนประกันสังคมโดยแจ้งแก่ทางสำนักงานประกันสังคมว่านางสุมาลี เหลืออรุณสวัสดิ์ และนางพเยาว์เป็นนายจ้างของตน พฤติการณ์ดังกล่าวเห็นได้ชัดแล้วว่าคู่สัญญาจ้างแรงงานระหว่างโจทก์กับนางพเยาว์และนางพัชรินทร์มีเจตนาที่จะเลิกสัญญาจ้างแรงงานกันโดยปริยาย จึงไม่มีสัญญาจ้างแรงงานอันจะเป็นฐานให้โจทก์มาเรียกร้องขอค่าจ้างและดอกเบี้ยได้อีกต่อไป ขอให้ยกฟ้อง
ระหว่างพิจารณานางพเยาว์ อ่อนบางน้อย และนางพัชรินทร์ กสิวิริยะวงศ์ ยื่นคำร้องขอเข้าเป็นจำเลยร่วม ศาลแรงงานกลางอนุญาต
จำเลยร่วมทั้งสองให้การว่า โจทก์ไม่เคยเป็นลูกจ้างของจำเลยร่วมทั้งสองขอให้ยกฟ้อง
ศาลแรงงานกลางพิจารณาแล้ว ฟังข้อเท็จจริงว่า โจทก์เป็นผู้นำเหรียญกษาปณ์ค่าโดยสารของกลุ่มเดินรถไปแลกเป็นธนบัตรที่คลังจังหวัดสมุทรสาครเดือนละ 4 ครั้ง ได้รับเงินเดือนละ 5,000 บาท จากเงินกองกลางของกลุ่มที่หักจากรายได้ของรถแต่ละคันจำเลยร่วมทั้งสองไม่มีอำนาจบังคับบัญชาโจทก์ได้ แล้วินิจฉัยว่า จำเลยร่วมทั้งสองไม่ใช่เป็นนายจ้างของโจทก์ พิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีแรงงานตรวจสำนวนประชุมปรึกษาแล้ว ปัญหาต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของโจทก์ว่าโจทก์เป็นลูกจ้างของจำเลยร่วมทั้งสองหรือไม่ ในปัญหานี้ศาลแรงงานกลางรับฟังข้อเท็จจริงว่า จำเลยร่วมทั้งสองเป็นหัวหน้ากลุ่มเดินรถร่วมองค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ สาย 81 มีรถเข้าร่วม 45 คัน นางสุมาลีภรรยาโจทก์นำรถเข้าร่วมเดินในกลุ่มด้วย 1 คัน โจทก์มาดูแลรถคันดังกล่าว โจทก์เป็นผู้นำเหรียญกษาปณ์ค่าโดยสารของกลุ่มเดินรถไปแลกเป็นธนบัตรที่คลังจังหวัดสมุทรสาครเดือนละ 4 ครั้ง ได้รับเงินเดือนละ 5,000 บาท เป็นการตอบแทน ต่อมาเงินเหรียญที่โจทก์นำไปแลกหายไป 340,000 บาท ทางกลุ่มเดินรถจึงเปลี่ยนหน้าที่โจทก์ไปทำหน้าที่อื่นและงดจ่ายเงินแก่โจทก์ในการทำงานโจทก์ไม่ต้องลงเวลาทำงาน หลังจากแลกเหรียญกษาปณ์ที่คลังจังหวัดสมุทรสาครแล้วโจทก์จะไปไหนก็ได้ตามต้องการ โจทก์ทำงานเดือนละ 4 วัน เงินค่าตอบแทนเดือนละ 5,000 บาท ที่จ่ายให้แก่โจทก์ไม่ใช่เงินของจำเลยร่วมทั้งสอง จำเลยร่วมทั้งสองไม่สามารถควบคุม ดูแล สั่งการ มีอำนาจบังคับบัญชามอบหมายงานให้โจทก์ทำได้ โจทก์ไม่มีการลา ไม่ต้องลงเวลาทำงาน เห็นว่า พระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ.2541 มาตรา 5 ให้คำนิยาม นายจ้าง หมายความว่า ผู้ซึ่งตกลงรับลูกจ้างเข้าทำงานโดยจ่ายค่าจ้างให้และลูกจ้าง หมายความว่า ผู้ซึ่งตกลงทำงานให้นายจ้างโดยรับค่าจ้างไม่ว่าจะเรียกชื่ออย่างไรทั้งบุคคลที่จะเป็นนายจ้างต้องมีอำนาจบังคับบัญชาเหนือลูกจ้าง ข้อเท็จจริงปรากฎตามที่ศาลแรงงานกลางรับฟังมาว่าในการทำงานของโจทก์ จำเลยร่วมทั้งสองไม่มีอำนาจบังคับบัญชาที่จะควบคุม สั่งการ หรือมอบหมายงานให้โจทก์ทำแต่ประการใดอันเป็นลักษณะสำคัญของสัญญาจ้างแรงงาน ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 583 ทั้งเงินค่าตอบแทนที่โจทก์ได้รับเดือนละ 5,000 บาท ก็ไม่ใช่เงินของจำเลยร่วมทั้งสอง ดังนี้ยังถือไม่ได้ว่าโจทก์เป็นลูกจ้างของจำเลยร่วมทั้งสอง จำเลยร่วมทั้งสองจึงไม่ต้องจ่ายค่าจ้างที่ค้างให้แก่โจทก์ คำสั่งพนักงานตรวจแรงงาน ที่ 21/2551 ลงวันที่ 7 พฤษภาคม 2551 ของจำเลยชอบแล้ว ไม่มีเหตุเพิกถอน อุทธรณ์ของโจทก์ฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน.
เรียบเรียงโดย บริษัท กฎหมายปาระมี จำกัด