คำพิพากษาฎีกาที่ 4784/57
เงินรางวัลการขายประจำเดือน จ่ายตามเป้าหมายการขาย ที่กำหนดไว้ ไม่ถือเป็นค่าจ้าง
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เข้าทำงานเป็นลูกจ้างของจำเลยที่ 2 ครั้งสุดท้ายทำหน้าที่พนักงานขาย ได้รับค่าจ้างสุดท้ายเดือนละ 7,570 บาท และค่าจ้างตามผลงานโดยคำนวณเป็นหน่วยจากการขายสินค้าทั้งแผนก (ค่าคอมมิสชั่น) กำหนดจ่ายค่าจ้างทุกวันสิ้นเดือนเมื่อวันที่ 8 มีนาคม 2553 โจทก์ได้ยื่นใบลาออกจากการทำงานโดยให้มีผลเป็นการลาออกในวันที่ 9 เมษายน 2553 จำเลยที่ 2 ค้างจ้างค่าจ้างตามผลงานโดยคำนวณเป็นหน่วยจากการขายสินค้าทั้งแผนกของเดือนมีนาคม 2553 เป็นเงิน 6,600 บาท วันที่ 14 พฤษภาคม 2553 โจทก์จึงยื่นคำร้องต่อพนักงานตรวจแรงงานเพื่อให้จำเลยที่ 2 จ่ายค่าจ้างดังกล่าว ต่อมาวันที่ 12 กรกฎาคม 2553 จำเลยที่ 1 ในฐานะพนักงานตรวจแรงงานมีคำสั่งที่ 66/2553 ว่าเงินดังกล่าวมิใช่ค่าจ้างแต่เป็นเงินรางวัลการขายที่จำเลยที่ 2 จ่ายให้แก่พนักงานขายตามระเบียบเงินรางวัลการขายประจำเดือนฉบับลงวันที่ 24 ธันวาคม 2547 เพื่อสร้างแรงจูงใจในการให้บริการลูกค้าและเพื่อให้พนักงานขายมีรายได้เพิ่มมากขึ้น มิได้จ่ายให้โดยคำนวณตามผลงานที่ลูกจ้างทำได้ในเวลาทำงานปกติของวันทำงาน และโจทก์ลาออกไม่ถูกต้องตามเงื่อนไขที่จะได้รับเงินรางวัลการขายตามระเบียบดังกล่าว โจทก์จึงไม่มีสิทธิได้รับเงินดังกล่าว โจทก์ไม่เห็นด้วยกับคำสั่งของจำเลยที่ 1 ค่าจ้างที่โจทก์เรียกร้องนั้นเป็นค่าจ้างตามผลงานโดยคำนวณเป็นหน่วยจากการขายสินค้าที่โจทก์ทำได้ในเวลาทำงานปกติของวันทำงาน อันเป็นการจ่ายเพื่อตอบแทนในการทำงานของโจทก์ โดยจะคำนวณจากยอดขายทั้งแผนกตามอัตราที่จำเลยที่ 2 กำหนดแล้วนำมาเฉลี่ยให้แก่พนักงานตามวันที่มาปฏิบัติงานในเดือนนั้นและจะจ่ายให้ในเดือนถัดไปพร้อมกับเงินเดือน ไม่ใช่เงินรางวัลการขาย ระเบียบเงินรางวัลการขายฉบับลงวันที่ 24 ธันวาคม 2547 ใช้คำว่าเงินรางวัลการขายเพื่อหลีกเลี่ยงการจ่ายค่าจ้างตามผลงานโดยคำนวณจากการขายสินค้าทั้งแผนกเป็นการเอาเปรียบลูกจ้าง ขัดต่อความสงบเรียบร้อยและศีลธรรมอันดีของประชาชนและขัดต่อพระราชบัญญัติว่าด้วยข้อสัญญาที่ไม่เป็นธรรม พ.ศ. 2540 จึงตกเป็นโมฆะ ขอให้เพิกถอนคำสั่งพนักงานตรวจแรงงาน ที่ 66/2553 และให้จำเลยที่ 2 จ่ายค่าจ้างหรือค่าคอมมิสชั่นเป็นเงิน 6,600 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปี นับแต่วันผิดนัดเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยที่ 1 ให้การว่า คำสั่งพนักงานตรวจแรงงาน ที่ 66/2553 เป็นคำสั่งที่ออกโดยชอบด้วยกฎหมาย จำเลยที่ 1 สอบสวนแล้วข้อเท็จจริงฟังได้ว่าจำเลยที่ 2 จ้างโจทก์ทำงานเป็นลูกจ้างตั้งแต่ปี 2548 ตำแหน่งพนักงานขาย ได้รับค่าจ้างอัตราสุดท้ายเดือนละ 7,570 บาท และมีเงินรางวัลการขายสินค้ารวมทั้งแผนก กำหนดจ่ายค่าจ้างเดือนละหนึ่งครั้งทุกวันสุดท้ายของเดือน ส่วนเงินรางวัลการขายจะคำนวณจ่ายในงวดเดือนถัดไป โจทก์ยื่นใบลาออกเมื่อวันที่ 8 มีนาคม 2553 ให้มีผลในวันที่ 9 เมษายน 2553 แต่โจทก์ทำงานถึงวันที่ 31 มีนาคม 2553 เท่านั้น จำเลยที่ 2 มิได้จ่ายเงินรางวัลให้แก่โจทก์เนื่องจากจำเลยที่ 2 มีระเบียบเงินรางวัลการขายประจำเดือนฉบับลงวันที่ 24 ธันวาคม 2547 มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2548 ข้อ 1 จำเลยที่ 2 จะกำหนดเป้ายอดขายขั้นต่ำรายแผนกสำหรับสินค้าที่อยู่ในความรับผิดชอบของพนักงาน ข้อ 5 พนักงานจะได้รับเงินรางวัลการขายประจำเดือนในอัตราที่จำเลยที่ 2 กำหนดคูณด้วยยอดขายรวมของพนักงานขายในแผนก โดยเงินรางวัลการขายจะถูกนำมาเฉลี่ยให้พนักงานตามจำนวนวันที่มาปฏิบัติงานในเดือนนั้น อีกทั้งโจทก์ลาออกไม่ถูกต้องตามระเบียบข้อ 8 พนักงานที่ออกจากการเป็นพนักงานของจำเลยที่ 2 ก่อนการจ่ายเงินรางวัลการขายประจำเดือนจะไม่ได้รับเงินรางวัลการขาย ยกเว้นพนักงานที่ลาออกล่วงหน้า 30 วัน ตามระเบียบการลาออกของจำเลยที่ 2 ซึ่งระเบียบดังกล่าวเป็นข้อกำหนดในการจ่ายเงินรางวัลการขายประจำเดือนของแต่ละแผนกเพื่อสร้างแรงจูงใจแก่ลูกจ้างที่ทำงานในตำแหน่งพนักงานขายในการให้บริการแก่ลูกค้าและเพื่อให้มีรายได้เพิ่มมากขึ้น ถือเป็นกรณีที่นายจ้างมิได้จ่ายให้แก่ลูกจ้างโดยคำนวณตามผลงานที่ลูกจ้างทำได้ในเวลาทำงานปกติของวันทำงาน ดังนั้น เมื่อโจทก์ปฏิบัติไม่ถูกต้องตามระเบียบในการจ่ายเงิน โจทก์จึงมีสิทธิได้รับเงินดังกล่าวตามความหมายของค่าจ้าง มาตรา 5 แห่งพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. 2541 ขอให้ยกฟ้อง
จำเลยที่ 2 ให้การว่า โจทก์เคยเป็นพนักงานของจำเลยที่ 2 ตำแหน่งสุดท้ายเป็นพนักงานขายประจำสาขาลาดพร้าว ได้รับค่าจ้างอัตราสุดท้ายเดือนละ 7,570 บาท มีกำหนดการจ่ายค่าจ้างทุกวันสิ้นเดือน โจทก์ไม่มีสิทธิได้รับเงินตามฟ้องเงินดังกล่าวเป็นเงินสวัสดิการที่จำเลยที่ 2 จ่ายเพื่อเป็นการสร้างแรงจูงใจแก่พนักงานในการให้บริการลูกค้าเรียกว่าเงินรางวัลการขายประจำเดือน ซึ่งมีหลักเกณฑ์และเงื่อนไขในการจ่ายให้แก่พนักงานขายรวมถึงโจทก์ กล่าวคือพนักงานจายที่จะมีสิทธิได้รับเงินรางวัลการขายประจำเดือนจะต้องทำยอดขายได้ตามเป้าที่จำเลยที่ 2 กำหนด หากโจทก์ไม่สามารถขายได้ตามเป้าหมายที่กำหนด โจทก์ก็จะไม่มีสิทธิได้รับเงินรางวัลการขายประจำเดือนดังกล่าวนอกจากนี้เงินรางวัลการขายประจำเดือนยังมีที่มาจากการนำยอดขายของพนักงานในแผนกทุกคนมาคำนวณรวมกัน โดยมิได้เป็นการนำผลการทำงานของโจทก์เพียงคนเดียวมาคำนวณแต่อย่างใด ทั้งในการจ่ายเงินรางวัลการขายประจำเดือนดังกล่าวยังจะต้องนำจำนวนวันที่มาทำงานของพนักงานแต่ละคนมาคำนวณเพื่อหักลดจำนวนเงินรางวัลที่จะมีสิทธิได้ ดังนั้นเงินดังกล่าวจึงไม่ใช่ค่าจ้าง ตามประกาศเรื่องระเบียบเงินรางวัลการขายประจำเดือนฉบับลงวันที่ 24 ธันวาคม 2547 ยังมีเงื่อนไขระบุไว้ว่า ข้อ 8 พนักงานที่ออกจากการเป็นพนักงานของจำเลยที่ 2 ก่อนจ่ายเงินรางวัลการขายประจำเดือนจะไม่ได้รับเงินรางวัลการขาย ยกเว้นพนักงานที่ลาออกล่วงหน้า 30 วัน ตามระเบียบการลาออกของจำเลยที่ 2 โจทก์ยื่นใบลาออกเมื่อวันที่ 8 มีนาคม 2553 โดยให้มีผลในวันที่ 9 เมษายน 2553 แต่โจทก์กลับทำงานวันสุดท้ายเพียงวันที่ 31 มีนาคม 2553 ซึ่งยังไม่ครบระยะเวลาการลาออกล่วงหน้า 30 วัน ตามที่กำหนดในประกาศข้างต้น โจทก์จึงไม่มีสิทธิได้รับเงินรางวัลการขายประจำเดือนตามฟ้อง คำสั่งที่ 66/2553 ของจำเลยที่ 1 จึงชอบด้วยกฎหมายแล้ว จำเลยที่ 2 มีสิทธิกำหนดเงื่อนไขการจ่ายเงินรางวัลการขายเพราะเป็นเงินอื่นที่ไม่ได้บัญญัติไว้ในกฎหมาย โจทก์ไม่เคยโต้แย้งคัดค้าน โจทก์เป็นฝ่ายผิดสัญญาไม่ปฏิบัติตามเงื่อนไขในใบลาออก โจทก์ฟ้องคดีนี้จึงเป็นการใช้สิทธิโดยไม่สุจริต ขอให้ยกฟ้อง
ระหว่างพิจารณาคู่ความแถลงรับกันว่า ข้อเท็จจริงเป็นไปตามคำให้การของจำเลยที่ 1 จำเลยที่ 2 มีประกาศเรื่องระเบียบเงินรางวัลการขายประจำเดือนฉบับลงวันที่ 24 ธันวาคม 2547 จริง โดยจำเลยที่ 2 มิได้ชำระเงินรางวัลการขายประจำเดือนมีนาคม 2553 แก่โจทก์เป็นเงิน 6,500 บาท โจทก์ขอสละประเด็นที่ว่าระเบียบเงินรางวัลการขายดังกล่าวขัดต่อพระราชบัญญัติว่าด้วยข้อสัญญาที่ไม่เป็นธรรม พ.ศ. 2540 ศาลแรงงานกลางเห็นว่าข้อเท็จจริงพอวินิจฉัยคดีได้ จึงงดสืบพยาน
ศาลแรงงานกลางพิจารณาแล้ว พิพากษาให้เพิกถอนคำสั่งของจำเลยที่ 1 ที่ 66/2553 ลงวันที่ 12 กรกฎาคม 2553 และให้จำเลยที่ 2 จ่ายค่าจ้างที่ค้างจำนวน 6,500 บาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 15 ต่อปี นับแต่วันที่ 1 พฤษภาคม 2553 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยที่ 2 อุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีแรงงานตรวจสำนวนประชุมปรึกษาแล้ว คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของจำเลยที่ 2 ว่า เงินรางวัลการขายประจำเดือนที่จำเลยที่ 2 จ่ายให้แก่โจทก์นั้นเป็นค่าจ้างหรือไม่ เห็นว่า พระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. 2541 มาตรา 5 บัญญัติคำว่าค่าจ้างว่า “ค่าจ้าง” หมายความว่า เงินที่นายจ้างและลูกจ้างตกลงกันจ่ายเป็นค่าตอบแทนในการทำงานตามสัญญาจ้างสำหรับระยะเวลาการทำงานปกติเป็นรายชั่วโมง รายวัน รายสัปดาห์ รายเดือนหรือระยะเวลาอื่น หรือจ่ายให้โดยคำนวณตามผลงานที่ลูกจ้างทำได้ในเวลาทำงานปกติของวันทำงาน และให้หมายความรวมถึงเงินที่นายจ้างจ่ายให้แก่ลูกจ้างในวันหยุดและวันลาที่ลูกจ้างมิได้ทำงานแต่ลูกจ้างมีสิทธิได้รับตามพระราชบัญญัตินี้” ค่าจ้างตามบทบัญญัติดังกล่าวคือเงินที่นายจ้างตกลงจ่ายให้แก่ลูกจ้างตามสัญญาจ้างโดยมีวัตถุประสงค์เพื่อตอบแทนการทำงานสำหรับการทำงานหรือผลงานที่ทำได้ในเวลาทำงานปกติของวันทำงานหากนายจ้างจ่ายเงินให้แก่ลูกจ้างด้วยวัตถุประสงค์อื่นที่มิใช่เพื่อตอบแทนการทำงานโดยตรง เช่น นายจ้างจ่ายเงินเพื่อช่วยเหลือลูกจ้างในด้านต่างๆ อันเป็นสวัสดิการแก่ลูกจ้าง หรือ จ่ายเงินเพื่อจูงใจในการทำงานอันเป็นการสร้างขวัญและกำลังใจในการทำงานมิใช่เพื่อตอบแทนการทำงานโดยตรงก็มิใช่ค่าจ้าง ข้อเท็จจริงยุติตามที่คู่ความแถลงรับกันว่า จำเลยที่ 2 มีหลักเกณฑ์การจ่ายเงินรางวัลการขายตามระเบียบเงินรางวัลการขายประจำเดือนฉบับลงวันที่ 24 ธันวาคม 2547 จำเลยที่ 2 จ้างโจทก์ทำงานเป็นลูกจ้างตั้งแต่ปี 2548 ตำแหน่งพนักงานขาย ได้รับค่าจ้างอัตราสุดท้ายเดือนละ 7,570 บาท และมีเงินรางวัลการขายสินค้ารวมทั้งแผนก กำหนดจ่ายค่าจ้างเดือนละหนึ่งครั้งทุกวันสุดท้ายของเดือน ส่วนเงินรางวัลการขายจะคำนวณในงวดเดือนถัดไป ข้อ 1 จำเลยที่ 2 จะกำหนดเป้ายอดขายขั้นต่ำรายแผนกสำหรับสินค้าที่อยู่ในความรับผิดชอบของพนักงาน ข้อ 2 พนักงานจะได้รับเงินรางวัลการขายประจำเดือนเมื่อขายสินค้าที่รับผิดชอบรวมกันได้เกินเป้ายอดขายของแผนก ข้อ 5 พนักงานจะได้รับเงินรางวัลการขายประจำเดือนในอัตราที่จำเลยที่ 2 กำหนดคูณด้วยยอดขายรวมของพนักงานขายในแผนก โดยเงินรางวัลการขายจะถูกนำมาเฉลี่ยให้พนักงานตามจำนวนวันที่มาปฏิบัติงานในเดือนนั้น จำเลยที่ 2 จะจ่ายเงินรางวัลการขายประจำเดือนไม่เกินวันสุดท้ายของเดือนถัดไปโดยจ่ายรวมเข้ากับเงินเดือน ข้อ 8 พนักงานที่ออกจากการเป็นพนักงานของจำเลยที่ 2 ก่อนการจ่ายเงินรางวัลการขายประจำเดือนจะไม่ได้รับเงินรางวัลการขายมีเงื่อนไขและหลักเกณฑ์การจ่าย การจ่ายเงินรางวัลการขายจึงมีเจตนาเป็นการจ่ายเพื่อสร้างแรงจูงใจแก่ลูกจ้างที่ทำงานในตำแหน่งพนักงานขายในการให้บริการลูกค้าและเพื่อให้มีรายได้เพิ่มมากขึ้นจากค่าจ้างที่จำเลยที่ 2 ได้จ่ายเงินเดือนให้โจทก์เป็นประจำทุกเดือน ซึ่งเงินรางวัลการขายเป็นเงินที่จ่ายไม่แน่นอนทุกเดือน หากเดือนใดผลงานต่ำกว่าเป้ายอดขายขั้นต่ำรายแผนก พนักงานขายในแผนกนั้นก็จะไม่ได้รับเงินรางวัลการขายประจำเดือนนั้น จากเงื่อนไขดังกล่าวแสดงให้เห็นว่าเงินรางวัลการขายประจำเดือนนี้มิได้เกิดจากผลการทำงานหรือผลงานโดยคำนวณเป็นหน่วยจากการขายสินค้าที่โจทก์ทำได้ในเวลาทำงานปกติของวันทำงานของโจทก์โดยตรงเงินรางวัลการขายประจำเดือนจึงไม่เป็นค่าจ้างตามมาตรา 5 แห่งพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. 2541
พิพากษากลับ ให้ยกฟ้องโจทก์
เรียบเรียงโดย บริษัท กฎหมายปาระมี จำกัด