คำพิพากษาฎีกาที่ 2873/57
ค่าโทรศัพท์ เหมาจ่าย ถือเป้นค่าจ้าง
โจทก์ฟ้องและแก้ไขคไฟ้องว่า จำเลยประกอบธุรกิจให้เช่าซื้อรถยนต์จำเลยจ้างโจทก์เป็นลูกจ้างตั้งแต่วันที่ 18 มีนาคม 2539 ตำแหน่งสุดท้ายทำหน้าที่เจ้าหน้าที่สินเชื่อและการตลาดเช่าซื้อรถยนต์ ได้รับค่าจ้างตอบแทนในการทำงานในชื่อต่างๆ ดังนี้ เงินเดือนๆละ 15,150 บาท ค่าพาหนะตอบแทนในการปฏิบัติงาน 6,500 บาท ค่าโทรศัพท์ 1,000 บาท ค่าประกันอุบัติเหตุ 500 บาท เงินตอบแทนในการปฏิบัติงานได้ตามวัตถุประสงค์เฉลี่ยเดือนละ 16,158 บาท และเงินโบนัส 6,840 บาท โจทก์จึงได้รับค่าตอบแทนในการทำงาน 46,148 บาท จำเลยแจ้งให้ลูกจ้างที่ทำหน้าที่เป็นเจ้าหน้าที่สินเชื่อการตลาดเช่าซื้อรถยนต์ต้องลาออกและไปเป็นลูกจ้างในตำแหน่งเดิมกับธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) โดยไม่นับอายุการทำงานต่อเนื่อง โจทก์เห็นว่าไม่เป็นธรรมจึงปฏิเสธ ต่อมาเมื่อวันที่ 30 มิถุนายน 2551 จำเลยเลิกจ้างโจทก์อ้างว่าจำเลยเปลี่ยนแปลงนโยบายธุรกิจใหม่เป็นเหตให้ต้องลดจำนวนพนักงาน พร้อมกับจ่ายค่าชดเชย สินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้า และค่าจ้างสำหรับวันหยุดพักผ่อนประจำปีแก่โจทก์ แต่การจ่ายเงินดังกล่าวไม่ชอบด้วยกฎหมาย เนื่องจากจำเลยไม่ได้นำค่าจ้างในชื่ออื่นมาเป็นฐานคำนวณจำเลยจึงต้องจ่ายค่าชดเชยส่วนที่ขาดอยู่อีกจำนวน 309,980 บาท จำเลยจึงต้องจ่ายค่าจ้างสำหรับวันหยุดพักผ่อนประจำปี 2549 จำนวน 26,625 บาท และค่าเสียหายจากการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรม 13,844,400 บาท แก่โจทก์ รวมเป็นเงินทั้งสิ้นจำนวน 14,198,221.50 บาท ขอให้บังคับจำเลยชดใช้เงินจำนวนดังกล่าวพร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 15 ต่อปี นับแต่วันฟ้อง จนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยให้การและแก้ไขคำให้การว่า จำเลยได้เปิดโอกาสให้โจทก์ใช้สิทธิได้อย่างอิสระในการเลือกว่าจะปฏิบัติงานกับบริษัทจำเลยต่อไปหรือจะลาออก กล่าวคือ หากต้องการทำงานต่อจำเลยเสนอตำแหน่งงานที่ธนาคารไทยพาณิชย์ ให้แทน ทั้งนี้ภายใต้เงื่อนไขว่า จำเลยจะไม่นับอายุงานเดิมให้เนื่องจากจำเลยกับธนาคารดังกล่าวไม่ใช่นิติบุคคลเดียวกัน โดยโจทก์ต้องลาออกจากการเป็นลูกจ้างจำเลยก่อน แล้วไปสมัครงานเป็นลูกจ้างของธนาคารใหม่ซึ่งจะได้เงินเดือนไม่ต่ำกว่าเดิม หรือจะใช้สิทธิลาออกโดยจำเลยจะจ่ายค่าชดเชยตามกฎหมาย เงินช่วยเหลือพิเศษ และเงินสมทบกองทุนสำรองเลี้ยงชีพแก่โจทก์แต่โจทก์ไม่ใช้สิทธิเลือก ทำให้จำเลยต้องเลิกจ้างโจทก์โดยได้จ่ายค่าชดเชยตามกฎหมายและเงินช่วยเหลือพิเศษอีก 37,117.50 บาท แก่โจทก์ หลังจากเลิกจ้างจำเลยไม่ได้รับลูกจ้างคนใหม่มาแทนตำแหน่งโจทก์ การเลิกจ้างโจทก์ดังกล่าวไม่ใช่การเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรม
ศาลแรงงานกลางพิจารณาแล้ว พิพากษาให้จำเลยจ่ายค่าชดเชยในส่วนที่ขาดจำนวน 10,000 บาท และค่าจ้างสำหรับวันหยุดพักผ่อนประจำปี 2550 ในส่วนที่ขาดจำนวน 11,219.12 บาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 15 ต่อปี นับแต่วันฟ้อง (วันที่ 1 มิถุนายน 2552) กับค่าเสียหายจากการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรมจำนวน 800,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ คำขออื่นนอกจากนี้ให้ยก
โจทก์และจำเลยอุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีแรงงานตรวจสำนวนประชุมปรึกษา ศาลแรงงานกลางฟังข้อเท็จจริงว่า จำเลยเป็นบริษัทมหาชนจำกัด มีวัตถุประสงค์ประกอบธุรกิจให้เช่าซื้อรถยนต์ โจทก์เข้าทำงานเป็นลูกจ้างจำเลยเมื่อวันที่ 18 มีนาคม 2539 ตำแหน่งสุดท้ายเป็นเจ้าหน้าที่สินเชื่อและการตลาดเช่าซื้อรถยนต์ เดือนเมษายน 2551 จำเลยแจ้งโจทก์ว่าจำเลยเปลี่ยนแปลงนโยบายการประกอบธรุกิจใหม่ โดยมีธนาคารไทยพาณิชย์ เข้าเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ และเสนอตำแหน่งงานที่ธนาคารไทยพาณิชย์ ให้โจทก์แต่นับอายุงานต่อเนื่องให้และโจทก์ต้องลาออกจากจำเลย โจทก์ปฏิเสธ จำเลยมีหนังสือเลิกจ้างโจทก์ให้มีผลตั้งแต่วันที่ 1 กรกฎาคม 2551 และฟังข้อเท็จจริงต่อไปว่า เงินเดือนเบื้องต้นของโจทก์ได้รับอัตราสุดท้ายขณะถูกเลิกจ้าง 15,150 บาท สำหรับรายได้ที่เรียกชื่ออย่างอื่น ได้แก่ ค่าพาหนะตอบแทนในการปฏิบัติเดือนละ 6,900 บาท จำเลยมีวัตถุประสงค์จ่ายเพื่อเป็นสวัสดิการในการปฏิบัติงาน เป็นการช่วยเหลือโจทก์ไม่ให้ต้องเป็นภาวะค่าใช้จ่ายในการเดินทาง ได้รับไม่เป็นที่แน่นอน จึงไม่ใช่ค่าจ้าง ส่วนค่าโทรศัพท์เดือนละ 1,000 บาท จำเลยจ่ายให้แก่โจทก์เพื่อเป็นค่าจ้างในอัตราที่แน่นอน โดยไม่ต้องนำใบเสร็จค่าใช้จ่ายทำเรื่องขอเบิกในแต่ละเดือน สำหรับค่าประกันอุบัติเหตุเดือนละ 500 บาท เงินตอบแทนในการปฏิบัติงานได้ตามวัตถุประสงค์เฉลี่ยเดือนละ 16,158 บาท และเงินโบนัสเฉลี่ยเดือนละ 6,840 บาท เป็นเงินที่จำเลยจ่ายให้เพื่อจูงใจโจทก์ทำงานให้มีประสิทธิภาพ ขยันตั้งใจในการทำงาน และเป็นเงินสวัสดิการเพื่อช่วยเหลือในด้านค่าครองชีพ มิใช่เงินรายได้ที่จ่ายให้แก่โจทก์เพื่อตอบแทนการทำงานโดยตรง ได้รับเป็นจำนวนที่ไม่แน่นอนขึ้นอยู่กับผลงาน แล้ววินิจฉัยว่า ค่าพาหนะตอบแทนในการปฏิบัติงาน ค่าประกันอุบัติเหตุและเงินตอบแทนในการปฏิบัติงานได้ตามวัตถุประสงค์เป็นเงินรายได้ที่ไม่ใช่ค่าจ้าง ส่วนค่าโทรศัพท์เป็นค่าจ้าง โจทก์ได้รับค่าจ้างอัตราสุดท้ายเป็นเงินเดือนเบื้องต้นเดือนละ 15,150 บาท และค่าโทรศัพท์เดือนละ 1,000 บาท รวมเป็นค่าจ้างเดือนละ 16,150 บาท คิดเป็นค่าจ้างวันละ 538 บาท
มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของจำเลยข้อแรกว่า ค่าโทรศัพท์เป็นค่าจ้างหรือไม่ เห็นว่า จำเลยจ่ายค่าโทรศัพท์อัตราเดือนละ 1,000 บาท ในลักษณะเหมาจ่ายเป็นเงินเท่ากันทุกเดือน โดยไม่คำนึงว่าโจทก์จะใช้จ่ายเป็นค่าโทรศัพท์หรือไม่ หรือได้ใช้เป็นจำนวนมากน้อยเพียงใด ทั้งโจทก์ไม่ต้องแสดงใบเสร็จค่าโทรศัพท์เป็นหลักฐานในการรับเงินค่าโทรศัพท์จึงเป็นเงินที่นายจ้างจ่ายเป็นค่าตอบแทนในการทำงานให้แก่ลูกจ้างตามสัญญาจ้างแรงงาน ถือได้ว่าเป็นค่าจ้างตามพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. 2541 มาตรา 5 ที่ศาลแรงงานกลางวินิจฉัยว่าค่าโทรศัพท์เป็นค่าจ้างนั้นชอบแล้ว อุทธรณ์ของจำเลยข้อนี้ที่ว่าค่าโทรศัพท์ไม่ใช่ค่าจ้างนั้นฟังไม่ขึ้น
สำหรับวันหยุดพักผ่อนประจำปี 2551 นั้น ข้อเท็จจริงที่คู่ความไม่โต้เถียงกันได้ความว่า ขณะโจทก์ทำงานให้แก่จำเลยถึงวันที่ 30 มิถุนายน 2551 โจทก์ใช้สิทธิไปแล้ว 2 วัน จำเลยตกลงจ่ายค่าจ้างสำหรับวันหยุดพักผ่อนประจำปีให้แก่โจทก์เท่ากับค่าจ้าง 5.5 วัน เฉลี่ยค่าจ้างวันละ 538 บาท เป็นเงินรวม 2,959 บาท จำเลยจ่ายเงินส่วนนี้แก่โจทก์แล้ว 2,777.50 บาท โดยคำนวณจากฐานอัตราจ้างวันละ 505 บาท ซึ่งไม่ได้นำค่าโทรศัพท์มาคำนวณเป็นค่าจ้างอันเป็นการไม่ชอบ โจทก์จึงมีสิทธิได้รับค่าจ้างสำหรับวันหยุดพักผ่อนประจำปีส่วนที่ขาดอีก 181.50 บาท อุทธรณ์ของจำเลยข้อนี้ฟังขึ้นบางส่วน
เรียบเรียงโดย บริษัท กฎหมายปาระมี จำกัด