ชงคลังเคาะแพ็กเกจดูแลคนแก่ ตั้งบอร์ดคุมกองทุนชราภาพพาณิชย์
สศค.จ่อชง รมว.การคลังไฟเขียวมาตรการดูแลผู้สูงอายุครบวงจร เสนอตั้งบอร์ดเฉพาะเพื่อดูแลกองทุนคนชราภาพทั้งระบบ หวังลดความซ้ำซ้อน พาณิชย์นัดเวิร์กช็อปแก้ปัญหาแรงงาน รับมือนโยบายประเทศไทย 4.0 หลังแนวโน้มอุตสาหกรรมใช้เครื่องจักรแทนคนมากขึ้น
ไทยโพสต์ * สศค.จ่อชง รมว.การคลังไฟเขียวมาตรการดูแลผู้ สูงอายุครบวงจร เสนอตั้งบอร์ดเฉพาะเพื่อดูแลกองทุนคนชราภาพทั้งระบบ หวังลดความซ้ำซ้อน พาณิชย์นัดเวิร์กช็อปแก้ปัญหาแรงงาน รับมือนโยบายประเทศไทย 4.0 หลังแนวโน้มอุตสาหกรรมใช้เครื่องจักรแทนคนมากขึ้น
นายกฤษฎา จีนะวิจารณะ ผู้อำนวยการ สำนักงานเศรษฐ กิจการคลัง (สศค.) เปิดเผยว่า เตรียมเสนอมาตรการช่วยเหลือดูแลผู้สูงอายุ ให้นายอภิศักดิ์ ตันติวรวงศ์ รมว.การคลัง พิจารณาภายในเดือน ส.ค.นี้ โดยรูปแบบจะออกมาหลายมาตร การร่วมกับหลายหน่วยงาน
โดยจะมีการตั้งคณะกรรม การชุดใหม่ขึ้นมาบริหารจัดการกองทุนเกี่ยวกับคนชราภาพทั้ง หมด เพื่อควบคุมไม่ให้เกิดการขัดแย้งและซ้ำซ้อนกันของแต่ ละกองทุน เพื่อให้การทำงานเป็นไปอย่างเต็มประสิทธิภาพ ขณะเดียวกัน ยังรวมไปถึงร่าง พ.ร.บ.กองทุนบำนาญแห่งชาติ (กบช.) ที่กำลังพิจารณาเสนอใน มาตรการนี้ด้วย โดยหลักการเบื้องต้นของ กบช. จะเก็บเงินสมทบจากลูกจ้างและนายจ้าง ต่ำกว่ากองทุนสำรองเลี้ยงชีพ เพื่อไม่ให้เป็นภาระกับผู้ประกอบ การ ส่วนผู้ประกอบการที่มีกอง ทุนสำรองเลี้ยงชีพอยู่แล้ว สามารถเข้ามาเป็นสมาชิก กบช. ได้ทันที
นอกจากนี้ กระทรวงการคลังจะเสนอมาตรการจูงใจให้ผู้ประกอบการเอกชนจ้างคนที่เกษียณอายุทำงาน โดยสามารถนำรายจ่ายค่าจ้างมาหักลดหย่อนภาษีได้ 2 เท่า ซึ่งบางส่วนจะเกี่ยวข้องกับกฎหมายของกระทรวงแรงงานที่จะต้อง แก้ไข ผ่านการลงทะเบียนจัด หางานให้กับผู้สูงอายุ และอยู่ระหว่างพิจารณาเพิ่มเงินเบี้ยคนชราให้กับผู้มีรายได้น้อยที่มาลงทะเบียนรับสวัสดิการของรัฐ จากปัจจุบันได้ 600 บาทต่อเดือน
ก่อนหน้านี้ นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมน ตรี ระบุว่า รัฐบาลจะทยอยออกมาตรการดูแลคนชราออกมาเป็นกลุ่มๆ เช่น มาตรการภาษี มาตรการที่อยู่อาศัย มาตรการแรงงาน เรื่องไหนเสร็จให้ดำเนินการได้เลย และต้องหาทางกระ ตุ้นให้เอกชนเข้ามาร่วมในการดูแลคนชรา รวมทั้งการจัดตั้งกองทุน กบช.
นายสุวิทย์ เมษินทรีย์ รมช.พาณิชย์ กล่าวว่า ภายในสัปดาห์นี้ จะนัดประชุมเชิงปฏิบัติ การ (เวิร์กช็อป) ร่วมกับหน่วย งานที่เกี่ยวข้องทั้งภาครัฐ และเอกชน เพื่อทำแผนรับมือการผลักดันนโยบายประเทศไทย 4.0 ในส่วนของผู้ประกอบการขนาด กลางและเล็ก (SMEs) ผู้ประ กอบการภาคอุตสาหกรรม และ ภาคแรงงาน เพราะเป็นภาคส่วนที่จะได้รับผลกระทบ เนื่อง จากในอนาคตมีแนวโน้มที่จะมีการนำเครื่องจักรมาใช้ทดแทนเพิ่มมากขึ้น
สำหรับการประเมินปัญหาในส่วนของ SMEs จะดูว่ามีการใช้แรงงานมากน้อยแค่ไหน มี การใช้เครื่องจักรทดแทนแรงงานหรือไม่ เพราะมีแนวโน้มว่าค่าแรงในอนาคตจะสูงขึ้น จะมีแผนในการแก้ไขปัญหาในเรื่องนี้อย่างไร จะใช้แรงงานต่างด้าวเพื่อเป็นทางเลือกได้อีกหรือไม่ เนื่องจากแรงงานต่างด้าว อาจจะมีการกลับไปยังประเทศตัวเอง หากเศรษฐกิจประเทศตัวเองดีขึ้น
ส่วนภาคอุตสาหกรรม มีผลกระทบมากน้อยแตกต่างกันหากอุตสาหกรรมไหนมีการนำเครื่องจักรมาใช้มากขึ้น จะกระทบต่อการจ้างแรงงานอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ขณะที่ภาคแรงงาน ต้องดูว่าแรงงานเก่า จะเข้าไปช่วยพัฒนาหรือเพิ่มทักษะได้ยังไง หรือจะย้ายแรงงานไปทำอะไร รวมทั้งต้องประเมินและปรับแผนการเรียนการสอน ในภาคอาชีวะว่าจะทำหลักสูตรแบบไหน โดยประเมินให้สอดคล้องกับการใช้แรงงานของภาคอุตสาหกรรมในอนาคต
นายสุวิทย์กล่าวว่า เมื่อได้ข้อสรุป จะนำไปหารือกับรัฐบาล เพื่อกำหนดนโยบายรับมือ โดยประเมินว่าการแก้ไขปัญหาจะต้องใช้เวลาเตรียมการไม่น้อยกว่า 3-5 ปีถึงจะทำสำเร็จ แต่รัฐบาลมีเวลาอีกแค่ 1 ปี จึงต้องเริ่มไว้ก่อน.