คำพิพากษาฎีกาที่ 2819/57
ตกลงรับเงิน ไม่ติดใจฟ้องร้องอีกถือเป็นการตกลงประนีประนอมกันบังคับได้ ไม่ขัดต่อกฎหมาย
โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ 19 กุมภาพันธ์ 2550 จำเลยจ้างโจทก์เข้าทำงานเป็นลูกจ้างตำแหน่งเจ้าหน้าที่พัฒนาธุรกิจ ต่อมาเมื่อวันที่ 4 กันยายน 2551 จำเลยมีหนังสือเลิกจ้างโจทก์อ้างว่าการปฎิบัติหน้าที่ของโจทก์ไม่เป็นที่พอใจแก่จำเลย โดยโจทก์ไม่ได้กระทำความผิด ไม่มีเหตุอันสมควรในการเลิกจ้างและเป็นการกลั่นแกล้งโจทก์ เป็นการเลิกจ้างไม่เป็นธรรม ทำให้โจทก์ได้รับความเสียหาย โจทก์ไม่ประสงค์ขอกลับเข้าทำงานกับจำเลยขอคิดค่าเสียหายจากการเลิกจ้างไม่เป็นธรรมเป็นเงิน 13,393,920 บาท ขอให้บังคับจำเลยจ่ายค่าเสียหายเป็นเงิน 13,939,920 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยให้การว่า โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องเนื่องจากโจทก์ได้ทำข้อตกลงกับจำเลยว่าโจทก์ได้รับเงินค่าจ้าง ค่าชดเชยและเงินอื่นจากจำเลยแล้ว ไม่ติดใจเรียกร้องอื่นใดจากจำเลยอีก โจทก์มีตำแหน่งเป็นเจ้าหน้าที่พัฒนาธุรกิจ มีหน้าที่ติดต่อลูกค้าเพื่อให้มาใช้บริการขจองจำเลยตรวจสอบรายชื่อและที่อยู่ของลูกค้าจากฐานข้อมูลของบริษัท ส่งรายการส่งเสริมการขายให้แก่ลูกค้า วิเคราะห์รายงานการขายถึงสาเหตุที่ลูกค้าไม่ใช้บริการเพื่อเสนอรายการส่งเสริมการขายให้แก่ลูกค้าให้เหมาะสมและกลับมาใช้บริการอีก แต่ปรากฏว่าโจทก์ทำงานบกพร่องและผิดพลาดในเรื่องการส่งจดหมายให้แก่ลูกค้าจนทำให้จดหมายถูกส่งคืนจำนวนมาก ทำงานไม่ทันเวลาที่กำหนดเป็นเหตุให้ลูกค้าปฏิเสธงานทำให้จำเลยเสียหายอย่างมาก จำเลยตักเตือนให้โจทก์ปรับปรุงการทำงานหลายครั้ง แต่โจทก์ไม่ปรับปรุง จึงถือเป็นเหตุอันสมควรและเป็นการเลิกจ้างที่เป็นธรรมแล้ว จำเลยไม่ต้องชดใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์ ขอให้ยกฟ้อง
ศาลแรงงานกลางพิจารณาแล้ว พิพากษาให้จำเลยจ่ายเงินจำนวน 52,320 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันที่ 20 พฤศจิกายน 2551 เป็นต้นไป จนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยอุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีแรงงานตรวจสำนวนประชุมปรึกษาแล้ว ศาลแรงงานกลางฟังข้อเท็จจริงว่า จำเลยเลิกจ้างโจทก์เมื่อวันที่ 4 กันยายน 2551 โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่ 5 กันยายน 2551 ตามหนังสือแจ้งให้ออกจากงานและข้อตกลงเอกสารหมาย จล.1 โจทก์ไม่ได้ทำงานบกพร่องและผิดพลาด ดังนั้น เหตุผลที่จำเลยยกขึ้นอ้างเพื่อเลิกจ้างโจทก์ จึงเป็นเหตุผลที่ยังไม่สมควรและไม่เพียงพอ จำเลยตกลงจ่ายเงินค่าจ้าง ค่าล่วงเวลา ค่าทำงานในวันหยุด ค่าจ้างสำหรับวันหยุดพักผ่อนประจำปี ค่าล่วงเวลาในวันหยุด ค่าชดเชย เงินทดแทนเป็นเงิน 143,937.67 บาท ให้แก่โจทก์ไปแล้ว ตามหนังสือแจ้งให้ออกจากงานและข้อตกลงเอกสารหมาย จล.1 แล้ววินิจฉัยว่า ข้อตกลงตามเอกสารหมาย จล.1 นี้เป็นข้อสัญญาที่ผิดแผกแตกต่างไปจากพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. 2541 และขัดต่อพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. 2522 มาตรา 49 ตกเป็นโมฆะ โจทก์จึงมีอำนาจฟ้องและกำหนดให้จำเลยชดใช้ค่าเสียหายเป็นเงิน 52,320 บาท แก่โจทก์
คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของจำเลยว่า โจทก์มีอำนาจฟ้องหรือไม่ จำเลยอุทธรณ์อ้างว่า หนังสือแจ้งให้ออกจากงานและข้อตกลงเอกสารหมาย จล.1 เป็นข้อสัญญาที่ไม่ขัดต่อพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. 2541 และไม่ขัดต่อพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. 2522 จึงไม่ตกเป็นโมฆะ โจทก์ยอมสละสิทธิไม่เรียกร้องเงินตามข้อตกลงดังกล่าวแล้วจึงผลผูกพัน โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องนั้น ข้อเท็จจริงที่ปรากฏตามหนังสือแจ้งให้ออกจากงานและข้อตกลงเอกสารหมาย จล.1 มีข้อความในส่วนแรกเป็นเรื่องแจ้งให้ออกจากงาน โดยระบุว่าการปฏิบัติงานของโจทก์ที่ผ่านมาไม่เป้นที่พอใจแก่ทางจำเลย จึงไม่ประสงค์ที่จะให้โจทก์ร่วมทำงานกับจำเลยอีกต่อไป จำเลยขอแจ้งให้โจทก์ออกจากการทำงานกับจำเลยตั้งแต่วันที่ 5 กันยายน 2551 เป็นต้นไป และจำเลยตกลงจ่ายเงินค่าจ้าง ค่าล่วงเวลา ค่าทำงานในวันหยุด ค่าจ้างสำหรับวันหยุดพักผ่อนประจำปี ค่าล่วงเวลาในวันหยุด ค่าชดเชย เงินทดแทน ให้เป็นเงิน 143,937.67 บาท ในส่วนที่สองซึ่งเป็นส่วนข้อตกลงมีข้อความระบุไว้ว่า โจทก์ได้รับทราบข้อความดังกล่าวข้างต้นแล้ว และยินยอมตามที่จำเลยได้แจ้งทุกประการ โดยโจทก์ตกลงพอใจรับเงินค่าจ้าง ค่าล่วงเวลา ค่าทำงานในวันหยุด ค่าจ้างสำหรับวันหยุดพักผ่อนประจำปี ค่าล่วงเวลาในวันหยุด ค่าชดเชย เงินทดแทนหรือเงินอื่นใดเป็นจำนวน 143,937.67 บาท จากจำเลย ซึ่งโจทก์ได้รับเงินจำนวนดังกล่าวนี้จากจำเลยเป็นที่เรียบร้อยแล้วในวันนี้ และโจทก์ขอยืนยันว่าโจทก์ไม่ติดใจที่จะเรียกร้องเงินค่าจ้าง ค่าล่วงเวลา ค่าทำงานในวันหยุด ค่าจ้างสำหรับวันหยุดพักผ่อนประจำปี ค่าล่วงเวลาในวันหยุด ค่าชดเชย เงินทดแทน หรือเงินอื่นใดจากจำเลยอีกต่อไป จึงได้ลงลายมือชื่อไว้เป็นหลักฐาน ดังนี้ ข้อความตามเอกสารหมาย จล.1 แสดงให้เห็นว่าโจทก์ได้รับทราบการเลิกจ้างเป็นหนังสือจากจำเลยแล้ว และยังรับทราบว่าจำเลยตกลงจ่ายเงินที่โจทก์มีสิทธิได้รับตามกฎหมายต่างๆ ให้แก่โจทก์เป็นเงินรวม 143,937.67 บาท แม้ในขณะนั้นโจทก์ยังคงเป็นลูกจ้างของจำเลยอยู่ก็ตาม แต่โจทก์ก็มีอิสระที่จะตัดสินใจได้โดยไม่อยู่ในภาวะที่จะต้องเกรงกลัวจำเลย หรือถูกบังคับให้รับเงินต่างๆ ตามที่จำเลยเสนอให้โดยโจทก์สามารถเลือกได้อย่างอิสระว่าจะตกลงยอมรับเงินจำนวนดังกล่าว หรือไม่ตกลงยอมรับแล้วไปใช้สิทธิฟ้องร้องเรียกเงินค่าจ้างและเงินอื่นๆ ที่โจทก์มีสิทธิจะได้รับตามกฎหมายจากจำเลยในภายหลัง ดังนั้นข้อตกลงที่โจทก์ยอมรับดังกล่าวตามเอกสารหมาย จล.1 จึงไม่ขัดต่อพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. 2541 และไม่ขัดต่อพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. 2522 มาตรา 49 ทั้งไม่ต้องห้ามโดยกฎหมายหรือขัดต่อความสงบเรียบร้อยของประชาชน แต่มีลักษณะเป็นสัญญาประนีประนอมยอมความ ข้อตกลงดังกล่าวนี้จึงมีผลบังคับและผูกพันโจทก์ โจทก์จึงไม่มีสิทธิเรียกร้องค่าเสียหายตามฟ้องจากจำเลยอีก ที่ศาลแรงงานกลางพิจารณามานั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย อุทธรณ์ของจำเลยฟังขึ้น
พิพากษากลับ ให้ยกฟ้อง.
เรียบเรียงโดย บริษัท กฎหมายปาระมี จำกัด