คำพิพากษาฎีกาที่ 4705/57
เลิกจ้างระหว่างทดลองงาน ต้องบอกกล่าวล่วงหน้า
โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ 11 กันยายน 2549 จำเลยจ้างโจทก์เข้าทำงานในตำแหน่งผู้จัดการแผนกการสื่อสารการตลาดแบบบูรณาการ ตกลงจ่ายค่าจ้างเดือนละ 51,000 บาท กำหนดจ่ายค่าจ้างทุกวันสุดท้ายของเดือน ต่อมาวันที่ 1 ธันวาคม 2549 จำเลยเลิกจ้างโจทก์โดยโจทก์มิได้กระทำความผิดและไปบอกกล่าวล่วงหน้า จำเลยจึงต้องจ่ายสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้าตั้งแต่วันที่ 1 ธันวาคม 2549 ถึงวันที่ 31 มกราคม 2550 รวม 60 วัน เป็นเงิน 102,000 บาท และจำเลยต้องรับผิดชดใช้ค่าเสียหายเนื่องจากเป็นการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรมจำนวน 612,000 บาท ขอให้บังคับจำเลยใช้เงิน 2 จำนวนดังกล่าวพร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปี นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยให้การว่า เมื่อวันที่ 17 สิงหาคม 2549 จำเลยตกลงรับโจทก์เข้าทำงานในตำแหน่ง IMC Division Manager สังกัดฝ่ายการตลาด มีระยะเวลาทดลองงาน 119 วัน เริ่มตั้งแต่วันที่ 11 กันยายน 2549 ถึงวันที่ 8 มกราคม 2550 ตามหนังสือแจ้งรับเข้าทำงานซึ่งในข้อ 9 ระบุว่าระหว่างทดลองงาน 119 วัน หากจำเลยเห็นว่าโจทก์ไม่สามารถทำงานได้ตามคุณสมบัติที่กล่าวอ้างหรือตามที่จำเลยมอบหมาย จำเลยทรงไว้ซึ่งสิทธิที่จะยกเลิกสัญญาจ้าง โดยไม่ต้องบอกกล่าวล่วงหน้า และในระหว่างทดลองงานโจทก์จะต้องผ่านการประเมินผลการทดลองงานด้วย เมื่อโจทก์ทำงานครบ 45 วัน จำเลยจัดให้มีการประเมินผลและแจ้งให้โจทก์ปรับปรุงการทำงาน หลังจากโจทก์ทำงานครบ 80 วัน มีการประเมินผลการทำงานของโจทก์อีกครั้งปรากฏว่าการทำงานของโจทก์ต่ำกว่ามาตรฐานมีพนักงานหลายคนเสนอให้เลิกจ้างโจทก์ มีการประท้วงว่าหากไม่เลิกจ้างโจทก์ พนักงานเหล่านั้นก็จะลาออก ต่อมาวันที่ 1 ธันวาคม 2549 จำเลยพิจารณาผลการประเมินและเหตุการณ์ความขัดแย้งที่เกิดขึ้นแล้วจึงแจ้งโจทก์ว่าโจทก์ไม่ผ่านการทดลองงานยังไม่ได้บอกเลิกจ้าง แต่หลังจากโจทก์ทราบผลการประเมินแล้วโจทก์ไม่ไปทำงานละทิ้งหน้าที่เป็นเวลา 3 วันทำงานติดต่อกันจำเลยจึงเลิกจ้างโจทก์ ไม่ใช่เป็นการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรม จำเลยไม่ต้องจ่ายสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้า ขอให้ยกฟ้อง
ศาลแรงงานกลางพิจารณาแล้ว พิพากษาให้จำเลยชำระเงิน 102,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปีนับแต่วันฟ้อง เป็นต้นไปจนกว่าชำระเสร็จแก่โจทก์ คำขอนอกจากนี้ให้ยก
จำเลยอุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีแรงงานตรวจสำนวนประชุมปรึกษาแล้ว ศาลแรงงานกลางฟังข้อเท็จจริงเป็นยุติว่า จำเลยว่าจ้างโจทก์เข้าทำงานในตำแหน่งผู้จัดการแผนกกิจกรรมส่งเสริมการตลาดตั้งแต่วันที่ 11 กันยายน 2549 มีกำหนดระยะเวลาทดลองงาน 119 วัน เริ่มตั้งแต่วันที่ 11 กันยายน 2549 ถึงวันที่ 8 มกราคม 2550 อัตราค่าจ้างเดือนละ 51,000 บาท กำหนดจ่ายค่าจ้างทุกวันสิ้นเดือน และมีข้อตกลงว่าในระหว่างทดลองงานหากจำเลยเห็นว่าโจทก์ไม่สามารถปฏิบัติงานได้ตามที่โจทก์กล่าวอ้างไว้หรือตามที่จำเลยมอบหมายจำเลยทรงไว้ซึ่งสิทธิที่จะยกเลิกสัญญาจ้างโดยไม่ต้องบอกกล่าวล่วงหน้า ตามสัญญาจ้างแรงงานเอกสารหมาย ล.1 แล้วินิจฉัยว่า ตามสัญญาจ้างแรงงานเอกสารหมาย ล.1 ระบุไว้ว่ามีระยะเวลาทดลองงาน 119 วัน เริ่มตั้งแต่วันที่ 11 กันยายน 2549 ถึงวันที่ 8 มกราคม 2550 หมายความว่า จำเลยซึ่งเป็นนายจ้างตกลงจ้างลูกจ้างคือโจทก์ให้ทำงานต่อไปหากไม่ผ่านการทดลองงานจำเลยมีสิทธิเลิกจ้างได้ ซึ่งไม่แน่นอนว่าสัญญาจ้างจะสิ้นสุดลงเมื่อใดสัญญาจ้างแรงงานเอกสารหมาย ล.1 จึงเป็นสัญญาจ้างที่ไม่กำหนดระยะเวลาตามพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ.2541 มาตรา 17 วรรคสอง จำเลยจะเลิกจ้างโจทก์ จำเลยก็ต้องบอกกล่าวล่วงหน้า โจทก์ตั้งใจทำงานให้แก่จำเลย เพื่อนร่วมงานและผู้ใต้บังคับบัญชาของโจทก์ส่วนใหญ่จะประเมินผลการทำงานของโจทก์ไปในทางที่ดี แต่บุคคลดังกล่าวมีอำนาจเพียงเป็นผู้ประเมินผลงานเท่านั้น ไม่มีอำนาจในการพิจารณาที่จะเลิกจ้างโจทก์หรือไม่ อำนาจในการที่จะเลิกจ้างหรือไม่อยู่ที่นายจ้างคือนายวิกรณ์ วิวิธคุณาภรณ์ กรรมการผู้จัดการจำเลย เมื่อนายวิกรณ์เห็นว่าโจทก์ทำงานได้ไม่เป็นที่น่าพอใจหากให้โจทก์ทำงานต่อไปอาจก่อให้เกิดปัญหาในการบริหารงานบุคคล ทำให้เกิดการแตกแยกความสามัคคีในบริษัทจำเลย อีกทั้งในสัญญาจ้างแรงงานเอกสารหมาย ล.1 ข้อ 9 ก็ระบุว่าหากบริษัทจำเลยเห็นว่าโจทก์ไม่สามารถปฏิบัติงานได้ตามคุณสมบัติที่โจทก์กล่าวอ้างไว้หรือตามที่บริษัทจำเลยมอบหมาย จำเลยทรงไว้ซึ่งสิทธิที่จะเลิกสัญญาจ้างได้ จำเลยจึงมีสิทธิที่จะประเมินผลการทำงานของโจทก์ได้ว่าโจทก์ไม่ผ่านการทดลองงานและมีสิทธิเลิกจ้างโจทก์ได้โดยชอบและถือว่าเป็นการเลิกจ้างโดยมีเหตุผลอันสมควร หาใช่เป็นการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรมไม่ เมื่อไม่ใช่เป็นกรณีที่เลิกจ้างไม่เป็นธรรมจำเลยจึงไม่ต้องรับผิดชดใช้ค่าเสียหายตามฟ้องแก่โจทก์ แม้ในสัญญาจ้างแรงงานเอกสารหมาย ล.1 ข้อ 9 จะระบุว่าจำเลยมีสิทธิที่จะยกเลิกสัญญาจ้างโดยไม่ต้องบอกกล่าวล่วงหน้าก็ตาม แต่การยกเลิกหรือการบอกเลิกสัญญาจ้างตามพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. 2541 มาตรา 17 เป็นกฎหมายเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของประชาชน คู่สัญญาคือนายจ้างและลูกจ้างไม่มีสิทธิที่จะตกลงเกี่ยวกับการเลิกสัญญาจ้างให้เป็นอย่างอื่นได้ เมื่อสัญญาจ้างแรงงานเอกสารหมาย ล.1 เป็นสัญญาจ้างที่ไม่มีกำหนดระยะเวลาจำเลยก็ต้องบอกเลิกสัญญาจ้างให้โจทก์ทราบในเมื่อถึงหรือก่อนจะถึงกำหนดจ่ายค่าจ้างคราวหนึ่งคราวใด เพื่อให้เป็นผลเลิกสัญญากันเมื่อถึงกำหนดจ่ายค่าจ้างคราวถัดไปข้างหน้า แต่จำเลยมาบอกเลิกสัญญาจ้างในวันที่ 1 ธันวาคม 2549 ให้มีผลทันที โจทก์ย่อมมีสิทธิได้สินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้าตั้งแต่วันที่ 1 ธันวาคม 2549 ถึงวันที่ 31 มกราคม 2550 เป็นเวลา 2 เดือน จำนวน 102,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 224 วรรคหนึ่ง หาใช่อัตราร้อยละ 15 ต่อปี ตามที่โจทก์ขอ
มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของจำเลยว่า จำเลยต้องจ่ายสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้าให้แก่โจทก์ถึงเมื่อใด เห็นว่า คดีนี้จำเลยจ้างโจทก์เข้าทำงานโดยไม่มีกำหนดระยะเวลา จำเลยกกำหนดจ่ายค่าจ้างทุกวันสิ้นเดือน จำเลยจะบอกเลิกสัญญาจ้างอาจบอกเลิกสัญญาจ้างเป็นหนังสือให้โจทก์ทราบในเมื่อถึงหรือก่อนจะถึงกำหนดจ่ายค่าจ้างคราวหนึ่งคราวใด เพื่อให้เป็นผลเลิกสัญญากันเมื่อถึงกำหนดจ่ายค่าจ้างคราวถัดไปข้างหน้า จำเลยบอกเลิกสัญญาจ้างในวันที่ 1 ธันวาคม 2549 ซึ่งเป็นการบอกกล่าวเลิกสัญญาจ้างก่อนถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2549 อันเป็นวันจ่ายค่าจ้าง จึงมีผลเป็นการเลิกสัญญาจ้างกันในวันที่ 31 มกราคม 2550 ซึ่งเป็นวันถึงกำหนดจ่ายค่าจ้างคราวถัดไปข้างหน้าที่ศาลแรงงานกลางพิพากษาให้จำเลยจ่ายสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้าแก่โจทก์จนถึงวันที่ 31 มกราคม 2550 ชอบแล้ว อุทธรณ์ของจำเลยฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน.
เรียบเรียงโดย บริษัท กฎหมายปาระมี จำกัด