บ้านใคร...ใครก็รัก: แรงงานต่างด้าวแอบแฝง: ปัญหาที่ควรรีบหาทางแก้ไข
บริเวณที่ผู้เขียนพักอาศัยอยู่ในปัจจุบันเป็นที่ดินจัดสรร ผู้ที่ซื้อที่ดินปลูกบ้านได้ตามอัธยาศัย ดังนั้น บ้านแต่ละหลังจึงมีลักษณะไม่เหมือนกันแบบเดียวกับบ้านจัดสรรส่วนใหญ่เป็นบ้านพักอาศัย
และเนื่องจากเป็นซอยตัน การจราจรจึงไม่พลุกพล่าน ผู้คนที่อาศัยอยู่ในซอยจึงอยู่กันด้วยความสงบ
สี่สิบกว่าปีผ่านไป ทุกสิ่งย่อมเปลี่ยนแปลงไปตามยุคสมัยและกาลเวลา มีคอนโดมิเนียมเกิดขึ้นในซอยมากขึ้น นั่นเป็นเรื่องปกติ แต่ที่ไม่ปกติก็คือผู้คนที่พักอาศัย
บริเวณปากซอยและริมถนนหน้าปากซอย เปลี่ยนแปลงไปแบบผิดหูผิดตา จากห้องแถวธรรมดาปรับปรุงเป็นร้านใหม่อย่างสวยงามและมีจำนวนเพิ่มมากขึ้น ของที่ขายก็เป็นของแบบจีนๆชาวบ้านแถวนี้จึงเรียกบริเวณนี้ว่า เยาวราช 2
ในซอยก็มีชาวต่างชาติอาศัยอยู่ในคอนโดมิเนียมและบ้านเช่าต่างๆ เป็นจำนวนมาก หลายชาติหลายภาษา บางคนก็อายุมากแล้ว มาอยู่เฉยๆ โดยไม่ทำงาน คงใช้ประเทศไทยเป็นเรือนตาย
อย่างไรก็ตาม ชาวต่างชาติส่วนใหญ่เป็นคนที่อยู่ในวัยทำงาน ที่มากเป็นพิเศษจนสังเกตได้อย่างชัดเจน คือชาวจีนและชาวพม่า
จากข้อมูลของกรมการจัดหางาน จำนวนคนต่างด้าวที่ได้รับอนุญาตทำงานในประเทศไทย ในปี พ.ศ.2557 ข้อมูล ณ เดือนธันวาคม 2557มีจำนวนรวมทั้งสิ้น 1,339,834 คน
ที่น่าสนใจเป็นพิเศษ ก็คือการเพิ่มจำนวนของคนต่างด้าวที่ได้รับอนุญาตให้ทำงานซึ่งสูงขึ้นมาก โดยเพิ่มขึ้นจากปีก่อนถึง 155,999 คน คิดเป็นร้อยละ 13.18
กรมการจัดหางาน ได้แบ่งคนต่างด้าวที่ได้รับอนุญาตให้ทำงาน ออกเป็น กลุ่มต่างๆ ถึง 5 กลุ่ม ได้แก่
คนต่างด้าวตลอดชีพ คนต่างด้าวมาตรา 9 ประเภททั่วไป ได้แก่ นักลงทุน ช่างฝีมือ ผู้ชำนาญการช่างเทคนิค ฯลฯ และมาตรา 9 พิสูจน์สัญชาติ คนต่างด้าวมาตรา 12ประเภทส่งเสริมการลงทุน ได้แก่ นักลงทุน ช่างฝีมือ ผู้ชำนาญการช่างเทคนิค ฯลฯ และคนต่างด้าวมาตรา 13 ประเภทชนกลุ่มน้อย ได้แก่กลุ่มชนเผ่าต่างๆ ที่อยู่ในประเทศไทย
ที่จำนวนมากที่สุดคือคนต่างด้าว 3 สัญชาติ (เมียนมา ลาวและกัมพูชา) เป็นแรงงานที่เข้ามาทำงานในประเทศไทยในตำแหน่งกรรมกรหรือคนรับใช้ในบ้านซึ่งมีจำนวนถึง 206,168 คน
เปรียบเทียบจำนวนประชากรของคนไทยทั่วราชอาณาจักรซึ่งจากการสำรวจประชากรตามทะเบียนราษฎร ทั้ง 77 จังหวัด ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2557 ปรากฏว่ามีประชากรรวมทั่วประเทศ 65,124,716 คน แยกเป็นชาย 31,999.008 คน เป็นหญิง 33,125,708 คน
แม้ว่าจำนวนคนต่างด้าวที่ได้รับอนุญาตทำงานในประเทศไทย คิดเป็นเพียงร้อยละ 2.06 ของจำนวนประชากรของไทยทั้งประเทศ ซึ่งนับว่ามีจำนวนไม่สูงนักก็ตาม
แต่นั่นคือจำนวนคนต่างด้าวที่ได้รับอนุญาตทำงานในประเทศไทยอย่างถูกต้องตามกฎหมายเท่านั้น
คนต่างด้าวที่เข้ามาทำงานในประเทศไทยอย่างไม่ถูกต้องตามกฎหมายเช่น การแอบเข้าเมืองโดยผิดกฎหมายนั้น มีจำนวนเท่าใด คงไม่มีใครตอบได้
ประเภทนี้ก็ไม่น่าห่วงนักเพราะส่วนใหญ่เป็นกลุ่มคนต่างด้าว 3 สัญชาติ ที่อยู่ติดกับประเทศไทย คือแรงงานจากเมียนมา ลาวและกัมพูชา และแรงงานเหล่านี้เป็นแรงงานที่เข้ามาทำงานในตำแหน่งกรรมกรหรือคนรับใช้ในบ้าน
แต่ที่น่าเป็นห่วงที่สุดก็คือบุคคลที่เข้าประเทศไทยอย่างถูกต้องตามกฎหมาย แล้วมาทำงานโดยไม่ได้ขออนุญาตตามกฎหมาย แรงงานประเภทนี้เข้ามาทำงานโดยใช้ความรู้ความสามารถและเป็นการแย่งอาชีพของคนไทย
ตัวอย่างที่ผู้เขียนได้พบเห็นก็คือสาวจีนคนหนึ่งมาจากมณฑลกวางสี ประเทศจีน ซึ่งอยู่ใกล้กับประเทศเวียดนามได้ศึกษาในระดับปริญญาตรีที่ประเทศจีน 2 ปี แล้วเดินทางมาศึกษาต่อในเมืองไทยอีก 2 ปี จนสำเร็จการศึกษาปริญญาตรีในประเทศไทย
สาวจีนเหล่านี้เดินทางเข้าประเทศไทยโดยได้วีซ่าเข้าประเทศไทยในฐานะนักท่องเที่ยว เป็นเวลา 3 เดือน และเมื่อวีซ่าใกล้หมดอายุก็เดินทางออกนอกประเทศที่ชายแดนแล้วขอวีซ่ากลับมาในฐานะนักท่องเที่ยวอีกครั้งหนึ่ง และได้ดำเนินการในลักษณะนี้อย่างต่อเนื่อง
เมื่อเข้ามาอยู่ในกรุงเทพมหานคร ก็รวมตัวกันเช่าที่พักอาศัยเป็นกลุ่มๆ ละ 4-5 คน เป็นการประหยัดค่าใช้จ่ายไปในตัว
โดยเหตุที่สามารถพูดและเข้าใจภาษาไทยพื้นฐานเป็นอย่างดี จึงเข้าทำงานในสถานที่คนจีนเป็นเจ้าของกิจการรวมทั้งทำงานเป็นล่ามหรือเป็นไกด์ท่องเที่ยวให้กับคนจีนที่เดินทางเข้ามาทำธุรกิจหรือท่องเที่ยวในประเทศไทย
ทราบว่ารายได้จากการเป็นล่ามหรือเป็นไกด์นำเที่ยวได้รับถึงวันละ 2,000 บาท บางครั้งได้กินข้าวฟรี 2 มือ (มื้อกลางวันและมื้อเย็น) กับผู้ว่าจ้างอีกต่างหาก
ประเภทที่ขอวีซ่าเข้าเมืองในฐานะนักท่องเที่ยวเป็นเวลา 3 เดือน แล้วออกไปขอวีซ่าเข้ามาใหม่นี้ ไม่ใช่เฉพาะคนจีนที่กล่าวข้างต้นหรอกครับ มีทุกชาติทุกภาษาและทราบว่ามีอยู่เป็นจำนวนมาก
เสียค่าใช้จ่ายเพียงเฉพาะค่าทำวีซ่าเท่านั้น เมื่อทำงานได้เงินก็ไม่ต้องเสียภาษี ดังนั้น นอกจากรัฐจะสูญเสียค่าภาษีเงินได้แล้ว คนต่างด้าวเหล่านี้ยังแย่งอาชีพคนไทยเป็นจำนวนมากอีกด้วย
ตอนนี้ฝ่ายเอกชนได้เริ่มรณรงค์แล้ว โดยสมาคมอุตสาหกรรมถ่ายแบบและผู้ประกอบการไทยได้เริ่มโครงการ "หยุดนายแบบนางแบบและเด็กต่างชาติที่ผิดกฎหมายในประเทศไทยต่อต้านการค้ามนุษย์"
โดยรณรงค์ให้ผู้ประกอบการและเจ้าของสินค้าในประเทศยุติการจ้างนายแบบนางแบบชาวต่างชาติที่ลักลอบทำงานในประเทศโดยไม่เสียภาษีเงินได้ทั้งนี้ ศาลอาญาได้ออกหมายจับชาวต่างชาติดังกล่าวแล้ว
เอกชนได้เริ่มทำแล้ว ไม่ทราบว่าทางราชการได้ริเริ่มหรือดำเนินการในเรื่องนี้ไปมากน้อยเพียงใด
ที่จริงข้อมูลเหล่านี้ หากทางราชการดำเนินการและตรวจสอบในเรื่องนี้อย่างจริงจัง ก็ไม่ใช่เรื่องที่ยากมากมายนัก
ทำอย่างที่หลายๆ ประเทศเขาทำกันก็ได้ เพราะการจะได้วีซ่าไปประเทศของเขานั้น คนไทยต้องดำเนินการหลายๆ ประการนอกเหนือจากการมีหนังสือเดินทางและภาพถ่าย
เช่น ถ้าเดินทางไปประเทศอื่นนอกจากมีตั๋วเครื่องบินไป-กลับ และมีที่พักอย่างเป็นหลักแหล่งแล้ว ต้องมีหลักฐานการเงิน เช่น จดหมายรับรองจากธนาคาร (Bank Guarantee) หรือสำเนาสมุดธนาคารย้อนหลังเป็นเวลา 6 เดือน อีกด้วย
ก็ไม่ทราบว่าทางการไทยใช้หลักฐานใดบ้างในการขอวีซ่าเข้าประเทศไทยในฐานะนักท่องเที่ยว
เพื่อไม่ให้กระทบกระเทือนต่อการท่องเที่ยว ผู้เขียนเห็นว่า ในการขอวีซ่าเข้าประเทศในฐานะนักท่องเที่ยว 3 เดือนแรกนั้น อาจไม่จำเป็นต้องมีหลักฐานมากมายนัก
แต่การขอวีซ่าหลังจากนั้นอีก น่าจะต้องเข้มงวดเป็นพิเศษ ไม่ใช่แค่มีเงินเสียค่าธรรมเนียมในการขอวีซ่าใหม่เท่านั้น
ควรจะมีหลักฐานอย่างอื่นที่แสดงให้เห็นว่าเขาตั้งใจมาท่องเที่ยวอย่างแท้จริงไม่ใช่ใช้วีซ่าที่ได้เข้ามาขุดทองในประเทศไทย
โดยเฉพาะคนวัยทำงานที่ขอต่อวีซ่าครั้งละ 3 เดือน ต่อหลายๆ ครั้งแล้วได้อยู่เป็นปีๆ นั้น หากเป็นลูกเศรษฐีของคนต่างชาติ เขาคงไม่อนุญาตให้ลูกหลานของเขามาเที่ยวเตร่เป็นเวลานานเช่นนี้หรอกครับ
ก็ขอฝากผู้ที่เกี่ยวข้องในเรื่องนี้ช่วยพิจารณาหาทางที่ดีที่สุดสำหรับประเทศไทยด้วย
โดยการกลั่นกรองให้มีนักท่องเที่ยวที่เข้ามาท่องเที่ยวอย่างแท้จริง ไม่ปล่อยให้นักขุดทองที่เข้ามาแย่งงานของคนไทยได้อีกต่อไป
( น่าเป็นห่วงคนไทยในอนาคต ที่จะมาถึงในไม่ช้า ที่จะไม่มีอาชีพให้ทำกิน ที่อยู่อาศัย คนไทยทุกคน ควรช่วยกัน รัก และหวงแหนทรัพยากร ที่อยู่อาศัย ของแผ่นดินไทย ที่มีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขของประเทศชาติให้ยั่งยืนสืบไป )