คำพิพากษาฎีกาที่ 599/57
การกระทำที่กระทบต่อเกียรติ ชื่อเสียงของนายจ้าง และเป็นการกระทำที่ผิดกฎหมาย แม้กระทำนอกสถานที่ทำงานและนอกเวลางาน ก็ถือว่า ฝ่าฝืนข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงานกรณีร้ายแรง
โจทก์ฟ้องและแก้ไขคำฟ้องว่า เมื่อวันที่ 1 เมษายน 2537 จำเลยจ้างโจทก์เข้าทำงานเป็นลูกจ้างในตำแหน่งช่างซ่อมเครื่องบิน ได้รับค่าจ้างอัตราสุดท้ายเดือนละ 14,220 บาท วันที่ 8 ธันวาคม 2543 จำเลยสั่งพักงานโจทก์ในระหว่างสอบสวนความผิดโดยกล่าวหาว่าโจทกถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจจับดำเนินคดีอาญาหลายข้อหา โดยไม่ได้รับอนุญาตให้ประกันตัวจนถึงวันที่ 13 ธันวาคม 2543 จึงได้รับอนุญาตให้ประกัน ต่อมาวันที่ 10 พฤศจิกายน 2546 จำเลยมีหนังสือเลิกจ้างโจทก์อ้างว่าโจทก์ถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจจับดำเนินคดีหลายข้อหาทำให้จำเลยเสียชื่อเสียง เป็นการกระทำผิดวินัยตามระเบียบข้อบังคับของจำเลยโดยให้มีผลนับแต่วันที่โจทก์ถูกสั่งพักงาน โจทก์ไม่ได้กระทำผิดตามที่กล่าวหา เป็นการพักงานเกินระยะเวลาที่กฎหมายกำหนดและเป็นการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรม ทำให้โจทก์ได้รับความเสียหายขาดประโยชน์ที่ควรได้รับจากจำเลย ขอให้บังคับจำเลยรับโจทก์กลับเข้าทำงานในตำแหน่งหน้าที่ อัตราค่าจ้าง และสวัสดิการต่างๆ เช่นเดิม หากไม่สามารถรับกลับเข้าทำงานได้ ให้จำเลยชดใช้ค่าเสียหายในการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรมเท่ากับจำนวนค่าชดเชย 113,760 บาท และจ่ายค่าจ้าง ค่าครองชีพ ค่าวิชาชีพ นับแต่วันสั่งพักงานจนถึงวันเลิกจ้างเป็นเงิน 526,140 บาท 75,480 บาท และ 74,000 บาท ตามลำดับ กับจ่ายเงินโบนัสประจำปี 2544 และ 2545 ในอัตราปีละ 54,780 บาท ประจำปี 2546 เป็นเงิน 73,000 บาท ค่าชดเชยในวันหยุดนักขัตฤกษ์ในระหว่างพักงานเป็นเงิน 150,536 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 15 ต่อปี ของต้นเงิน 1,122,516 บาท นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยให้การว่า คำสั่งเลิกจ้างโจทก์โดยการไล่ออกตั้งแต่วันที่ 18 กันยายน 2543 อันเป็นวันที่มีคำสั่งพักงานเป็นต้นไปเป็นคำสั่งที่ชอบด้วยระเบียบบริหารงานบุคคลของจำเลย พ.ศ.2537 แล้ว และไม่เป็นการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรม เพราะโจทก์ถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจกองปราบปรามจับเมื่อวันที่ 18 กันยายน 2543 เนื่องจากนางสาวพรวิไล ชีระพุทธ หรือนางสาวศิโรรัตน์ ชีระพุทธ ร้องทุกข์กล่าวหาโจทก์ว่ากระทำผิดอาญาหลายข้อหาและโจทก์ถูกคุมขังเป็นเวลาติดต่อกันเกิน 15 วัน จำเลยจึงอาศัยระเบียบบริหารงานบุคคลของจำเลย พ.ศ. 2537 ตอนที่ 2 ข้อ 18 สั่งพักงานโจทก์และแต่งตั้งคณะกรรมการสอบสวนความผิดทางวินัยของโจทก์ ผลการสอบสวนได้ความว่าโจทก์ถูกฟ้องที่ศาลอาญา และศาลพิพากษาว่าโจทก์มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 138 วรรคสอง และมาตรา 391 ลงโทษจำคุก 2 เดือน และปรับ 7,000 บาท โทษจำคุกให้รอการลงโทษไว้มีกำหนด 2 ปี นอกจากนั้นนางสาวพรวิไลได้ร้องทุกข์กล่าวหาโจทก์ที่สถานีตำรวจภูธรตำบลแม่ปิงและสถานีตำรวจภูธรอำเภอสันกำแพง จังหวัดเชียงใหม่ รวม 2 คดี เกี่ยวกับกรณีที่โจทก์นำภาพถ่ายเปลือยกายของนางสาวพรวิไลที่โจทก์ถ่ายไว้ในขณะที่โจทก์ร่วมประเวณีกับนางสาวพรวิไลไปเผยแพร่โดยนำไปติดไว้เสาไฟฟ้า กำแพง ที่หมู่บ้านฮิลไซด์โฮม 2 ซึ่งโจทก์ยอมรับว่าเป็นผู้ว่าจ้างคนขับรถสองแถ ว 2 คน ไปดำเนินการ คณะกรรมการสอบสวนทางวินัยของจำเลยเห็นว่าการกระทำของโจทก์ปรากฏเป็นข่าวทางหนังสือพิมพ์รายวัน โดยในข่าวระบุว่าโจทก์เป็นพนักงานของจำเลย จึงกระทบต่อชื่อเสียงของจำเลย ทำให้จำเลยได้รับความเสียหาย จำเลยเป็นรัฐวิสาหกิจมีพนักงานสังกัดจำนวนมาก การบริหารงานมีกฎระเบียบข้อบังคับ การกระทำใดๆ ของพนักงานที่กระทบต่อชื่อเสียงของจำเลย และพนักงานผู้นั้นมีความประพฤติชั่วถึงขนาดถูกดำเนินคดี จำเลยจึงต้องดำเนินการตามระเบียบโดยเคร่งครัดผลการสอบสวนฟังได้ว่าพฤติกรรมของโจทก์แม้ไม่เกี่ยวกับหน้าที่การงาน แต่เป็นการประพฤติชั่วอย่างร้ายแรง ทำให้จำเลยเสื่อมเสียชื่อเสียงอย่างมาก คำสั่งเลิกจ้างโจทก์โดยการไล่ออกถือว่าชอบแล้ว ซึ่งตามระเบียบบริหารงานบุคคลของจำเลย พ.ศ.2537 ตอนที่ 2 ข้อ 18 และข้อ 19 กำหนดให้ผู้บังคับบัญชาหรือคณะกรรมการสอบสวนทำเรื่องเสนอให้ผู้มีอำนาจสั่งพักงานพนักงานได้ระหว่างการสอบสวนหรือรอฟังผลคดี และให้งดจ่ายเงินเดือนค่าจ้างแก่พนักงานนับแต่วันถูกสั่งพักงานเป็นต้นไปจนกว่าการสอบสวนหรือการพิจารณาความผิดจะแล้วเสร็จ และหากผลการสอบสวนปรากฏว่าพนักงานผู้นั้นกระทำผิดจริง มีโทษถูกไล่ออก ไม่ต้องจ่ายเงินเดือนค่าจ้างระหว่างถูกสั่งพักงาน ตามระเบียบข้อ 13.2 วรรค 2 กำหนดว่าผู้ถูกลงโทษไล่ออกไม่มีสิทธิได้รับเงินบำเหน็จหรือเงินกองทุนสำรองเลี้ยงชีพในส่วนที่จำเลยออกสมทบให้ ผลประโยชน์ที่เกิดจากเงินสมทบดังกล่าว เงินประเภทต่างๆ ตามคำฟ้อง รวมทั้งอัตราดอกเบี้ย โจทก์จึงไม่มีสิทธิเรียกร้องเอาจากจำเลยได้ ขอให้ยกฟ้อง
ศาลแรงงานกลางพิจารณาแล้วพิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
ระหว่างพิจารณาโจทก์ถึงแก่กรรม นางบุญแต่ง บุปผาถา ทายาทยื่นคำร้องขอเข้าเป็นคู่ความแทน ศาลฎีกาอนุญาต
ศาลฎีกาแผนกคดีแรงงานตรวจสำนวนประชุมปรึกษาแล้ว ศาลแรงงานกลางฟังข้อเท็จจริงว่า จำเลยมีฐานะเป็นรัฐวิสาหกิจ สังกัดกระทรวงคมนาคม โจทก์เป็นลูกจ้างของจำเลยในตำแหน่งช่างซ่อมเครื่องบิน ได้รับเงินเดือน 14,220 บาท เมื่อวันที่ 18 กันยายน 2543 โจทก์ว่าจ้างบุคคลอื่นให้นำภาพถ่ายเปลือยกายของนางสาวพรวิไล ชีระพุทธ ซึ่งบางภาพเป็นภาพโจทก์ร่วมประเวณีกับนางสาวพรวิไลไปติดไว้ตามสถานที่ต่างๆ ในหมู่บ้านและสถานที่ที่นางสาวพรวิไลมีความเกี่ยวข้อง โดยมีเจตนาให้บุคคลทั่วไปได้พบเห็นภาพดังกล่าวมีหนังสือพิมพ์ลงข่าวว่าเป็นการกระทำของโจทก์ซึ่งเป็นพนักงานของจำเลย แล้ววินิจฉัยว่าโจทก์กระทำผิดต่อศีลธรรมอันดีงาม เป็นการไม่รักษาเกียรติและชื่อเสียงของจำเลย และเป็นการประพฤติชั่ว ซึ่งอาจก่อให้เกิดความเสียหายต่อชื่อเสียงของจำเลย แม้โจทก์กระทำนอกเวลาทำงานและนอกเหนือจากการที่จ้างของจำเลย จำเลยก็มีอำนาจลงโทษตามระเบียบข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงานได้ การกระทำของโจทก์เป็นความผิดอย่างร้ายแรง จำเลยเลิกจ้างโจทก์ไม่เป็นการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรม
มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของโจทก์ว่าโจทก์กระทำการฝ่าฝืนระเบียบข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงานของจำเลยในกรณีร้ายแรงหรือไม่ โดยโจทก์อุทธรณ์ว่าการกระทำของโจทก์เป็นการกระทำนอกสถานที่ทำงาน นอกเวลาทำงาน โจทก์ไม่เคยกระทำผิดเกี่ยวกับสัญญาจ้างแรงงานต่อจำเลย การกระทำของโจทก์ไม่เป็นการฝ่าฝืนระเบียบข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงานของจำเลย และไม่เป็นความผิดร้ายแรง เห็นว่า ระเบียบของจำเลยว่าด้วยการบริหารงานบุคคล ตอนที่ 2 ว่าด้วยวินัย การลงโทษ การอุทธรณ์ และการร้องทุกข์ พ.ศ. 2537 เอกสารหมาย จ.5 หรือ ล.10 ข้อ 5.12 ระบุว่า “พนักงานต้องรักษาวินัยที่กำหนดไว้ต่อไปนี้โดยเคร่งครัดคือรักษาเกียรติชื่อเสียงของบริษัท ไม่ประพฤติชั่ว ไม่ประพฤติตนเป็นอันธพาล ไม่กระทำผิดกฎหมายหรือศีลธรรมอันดี รวมทั้งไม่ประพฤติตนอันเป็นภัยต่อสังคมหรือบริษัท” การที่โจทก์นำภาพถ่ายเปลือยของหญิงและภาพถ่ายการร่วมประเวณีระหว่างหญิงดังกล่าวกับโจทก์ที่โจทก์บันทึกไว้ออกเผยแพร่เพื่อประจานฝ่ายหญิงนั้น เป็นการกระทำของผู้ที่มีจิตใจผิดปกติที่คนธรรมดาจะพึงกระทำ และการกระทำของโจทก์ปรากฏเป็นข่าวทางหนังสือพิมพ์รายวัน โดยในข่าวระบุว่าโจทก์เป็นพนักงานของฝ่ายช่างของจำเลย จึงย่อมกระทบต่อเกียรติและชื่อเสียงของจำเลย ถือว่าโจทก์ไม่รักษาเกียรติและชื่อเสียงของจำเลยและยังเป็นการประพฤติชั่ว รวมทั้งเป็นการกระทำที่ผิดกฎหมายและศีลธรรมอันดีอีกด้วย แม้โจทก์จะกระทำนอกสถานที่ทำงานและนอกเวลาทำงานก็เป็นการกระทำที่ฝ่าฝืนระเบียบข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงานของจำเลยกรณีร้ายแรง การที่จำเลยเลิกจ้างโจทก์จึงไม่เป็นการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรมอุทธรณ์ของโจทก์ข้อนี้ฟังไม่ขึ้น
ส่วนที่โจทก์อุทธรณ์ว่าจำเลยไม่มีสิทธิสั่งพักงาน โจทก์เพราะโจทก์ไม่ได้กระทำผิดและการสั่งพักงานโจทก์ไม่ชอบด้วยกฎหมายคุ้มครองแรงงานเพราะจำเลยไม่มีอำนาจสั่งพักงานระหว่างการสอบสวนเกิน 90 วัน นั้น เป็นอุทธรณ์ที่ไม่ทำให้ผลแห่งคำพิพากษาเปลี่ยนแปลงจึงไม่จำต้องวินิจฉัย
พิพากษายืน.
เรียบเรียงโดย บริษัท กฎหมายปาระมี จำกัด