คำพิพากษาฎีกาที่ 600/57
ไม่ปฏิบัติตามคำสั่งผู้บังคับบัญชาเลิกจ้างได้ ถือว่าเลิกจ้างเป็นธรรมและความผิดที่ลงโทษแล้วจะนำมาลงโทษอีกไม่ได้
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ 1 มีฐานะเป็นนิติบุคคลตามกฎหมาย จำเลยที่ 2 เป็นอธิการบดี มีอำนาจกระทำการแทนจำเลยที่ 1 เมื่อวันที่ 20 มิถุนายน 2533 จำเลยจ้างโจทก์เข้าทำงานเป็นลูกจ้างตำแหน่งอาจารย์ประจำคณะมนุษยศาสตร์ ต่อมาเปลี่ยนชื่อเป็นคณะศิลปศาสตร์และวิทยาศาสตร์ ได้รับค่าจ้างอัตราสุดท้ายเดือนละ 19,480 บาท (เป็นค่าจ้าง 17,980 บาท ค่าที่ปรึกษาชมรม 1,500 บาท) กำหนดจ่ายค่าจ้างทุกสิ้นเดือน ต่อมาวันที่ 15 พฤศจิกายน 2546 จำเลยบอกเลิกจ้างโจทก์เป็นหนังสือ อ้างว่าประพฤติตนไม่เป็นไปตามระเบียบวินัยตามข้อบังคับของจำเลยว่าด้วยการบริหารงานบุคคล พ.ศ. 2541 โดยโจทก์ไม่ได้กระทำความผิดและมิได้บอกกล่าวล่วงหน้า จำเลยจึงต้องจ่ายค่าจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้าเป็นเงิน 29,220 บาท แต่จำเลยให้โจทก์เพียง 17,980 บาท ยังขาดอยู่อีก 11,240 บาท โจทก์ทำงานติดต่อกันครบ 10 ปี จำเลยต้องจ่ายค่าชดเชยเท่ากับค่าจ้างอัตราสุดท้าย 300 วัน เป็นเงิน 194,800 บาท แต่จำเลยจ่ายให้แก่โจทก์เพียง 179,800 บาท ยังขาดอยู่อีก 15,000 บาท โจทก์ยังมีสิทธิได้รับเงินบำเหน็จตามข้อบังคับของจำเลยว่าด้วยการบริหารงานบุคคล พ.ศ. 2541 โดยคำนวณจากเงินเดือนสุดท้ายคูณด้วยจำนวนปี เศษของปีให้คำนวณตามส่วน โจทก์ทำงานมา 13 ปี 4 ดือน 25 วัน จึงมีสิทธิรับเงินบำเหน็จ 261,067.57 บาท แต่จำเลยจะจ่ายให้เพียง 61,164.83 บาท ยังขาดอยู่อีก 199,902.74 บาท โจทก์จึงยังไม่รับ และการเลิกจ้างโจทก์เป็นการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรม ทำให้โจทก์ได้รับความเสียหายเป็นเงิน 2,426,400 บาท โจทก์ทวงถามแล้วจำเลยไม่ชำระ ขอให้บังคับจำเลยชำระค่าจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้า 11,240 บาท เงินบำเหน็จ 199,902.74 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับตั้งแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ ค่าชดเชย 15,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 15 ต่อปี นับตั้งแต่วันเลิกจ้าง (วันที่ 15 พฤศจิกายน 2546) จนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ ค่าเสียหายกรณีเลิกจ้างไม่เป็นธรรม 2,426,400 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับตั้งแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยทั้งสองให้การว่า โจทก์ได้รับค่าจ้างอัตราสุดท้ายเดือนละ 17,980 บาท ส่วนค่าที่ปรึกษาชมรมรักบี้จำนวน 1,500 บาท จำเลยที่ 1 จ่ายให้เพื่อเป็นสวัสดิการและเป็นขวัญกำลังใจไม่ใช่ค่าจ้าง สาเหตุที่จำเลยเลิกจ้างโจทก์เมื่อวันที่ 15 พฤศจิกายน 2546 สืบเนื่องมาจากเมื่อประมาณกลางเดือนมิถุนายน 2546 จำเลยที่ 1 ได้รับคำร้องเรียนจากผู้ปกครองนักศึกษาว่าโจทก์เปิดสอนพิเศษวิชาคณิตศาสตร์และเรียกเก็บเงินจากนักศึกษา อันเป็นการขัดนโยบายของจำเลยที่ 1 ต่อมาวันที่ 26 มิถุนายน 2546 จำเลยที่ 1 แต่งตั้งคณะกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริงผลการสอบสวนคณะกรรมการมีความเห็นว่าเป็นที่น่าเชื่อได้ว่าโจทก์จัดเปิดสอนพิเศษวิชาคณิตศาสตร์และเรียกเก็บเงินจากนักศึกษาจริง การกระทำดังกล่าวเป็นการขัดจรรยาบรรณของการเป็นอาจารย์และเป็นการผิดวินัย จำเลยที่ 1 จึงมีคำสั่งลงโทษโดยลดเงินเดือนโจทก์ 1 ขั้น และสั่งห้ามโจทก์มิให้สอนนักศึกษากับมอบหมายให้โจทก์เขียนเอกสารทางวิชาการเกี่ยวกับความรู้พื้นฐานด้านคณิตศาสตร์ โดยให้โจทก์ไปนั่งประจำที่ห้องทำงานของหมวดวิชาวิทยาศาสตร์เชิงปริมาณ แต่โจทก์มิได้ปฏิบัติตามคำสั่งดังกล่าว ถือเป็นการฝ่าฝืนคำสั่งของผู้บังคับบัญชาอันชอบด้วยกฎหมายและเป็นธรรม ละทิ้งหน้าที่การงาน ในวันที่ 8 ตุลาคม 2546 จำเลยที่ 1 แต่งตั้งคณะกรรมการพิจารณาประสิทธิภาพในการทำงานและสภาพการเป็นพนักงานของโจทก์ ต่อมาวันที่ 13 พฤศจิกายน 2546 จำเลยที่ 1 มีมติโดยที่ประชุมคณะกรรมการบุคคลจำเลยที่ 1 ให้เลิกจ้างโจทก์ โดยจำเลยที่ 1 จ่ายเงินให้โจทก์เป็นค่าชดเชย 10 เดือน เป็นเงิน 179,800 บาท ค่าจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้า 17,980 บาท เงินบำเหน็จ 61,164.83 บาท เงินเดือนระหว่างวันที่ 1 – 15 พฤศจิกายน 2546 เป็นเงิน 8,990 บาท รวมเป็นเงินทั้งสิ้น 267,934.83 บาท ส่วนค่าจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้า โจทก์ไม่มีสิทธิได้รับเพราะโจทก์กระทำการอันไม่สมควรแก่การปฏิบัติหน้าที่ของตนให้ลุล่วงไปโดยถูกต้องและสุจริตตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 583 แต่จำเลยที่ 1 จ่ายให้เท่ากับเงินเดือนโจทก์ 1 เดือน จึงถือว่าโจทก์ได้รับประโยชน์ จำเลยที่ 2 ไม่ต้องรับผิดเป็นการส่วนตัวเพราะได้กระทำไปในฐานะตัวแทนจำเลยที่ 1 และการเลิกจ้างโจทก์เป็นการเลิกจ้างที่เป็นธรรม โจทก์ไม่เสียหายตามฟ้อง ขอให้ยกฟ้อง
ศาลแรงงานกลางพิจารณาแล้ว พิพากษาให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชำระค่าจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้า 11,239.85 บาท และค่าเสียหายเนื่องจากการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรม 253,240 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับตั้งแต่วันที่ 29 พฤศจิกายน 2546 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์แต่ทั้งนี้จำเลยที่ 2 ไม่ต้องรับผิดเป็นการส่วนตัว คำขออื่นให้ยก
จำเลยทั้งสองอุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีแรงงานตรวจสำนวนประชุมปรึกษาแล้ว ศาลแรงงานกลางฟังข้อเท็จจริงว่า โจทก์เป็นลูกจ้างจำเลยที่ 1 ตั้งแต่วันที่ 20 มิถุนายน 2533 ตำแหน่งอาจารย์สอนวิชาคณิตศาสตร์ และเป็นที่ปรึกษาชมรมรักบี้ให้แก่จำเลยที่ 1 หลังเวลาเลิกเรียน โจทก์ได้รับค่าจ้างอัตราสุดท้ายเดือนละ 17,980 บาท และได้รับเงินค่าที่ปรึกษาชมรมรักบี้เดือนละ 1,500 บาท กำหนดจ่ายค่าจ้างทุกวันสิ้นเดือน เมื่อวันที่ 15 พฤศจิกายน 2546 จำเลยทั้งสองบอกกล่าวเลิกจ้างโจทก์โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่ 16 พฤศจิกายน 2546 จำเลยที่ 1 จ่ายค่าจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้า 17,980 บาท แล้ววินิจฉัยว่า โจทก์ไม่ไปนั่งประจำหมวดวิชาวิทยาศาสตร์เชิงปริมาณที่จัดไว้ให้ แต่กลับทิ้งหน้าที่ไปทำงานให้กับชมรมรักบี้ในเวลาทำงานปกติที่โจทก์เป็นที่ปรึกษาซึ่งต้องทำหน้าที่หลังเลิกงานแล้วและไม่ทำเอกสารทางวิชาการให้สำเร็จลุล่วงไปตามคำสั่งในเวลาอันสมควร ถือได้ว่าโจทก์ได้กระทำผิดฐานฝ่าฝืนคำสั่งผู้บังคับบัญชา การที่จำเลยทั้งสองนำเหตุที่โจทก์กระทำผิดวินัยกรณีเปิดสอนพิเศษแล้วเรียกเงินจากนักศึกษา ซึ่งโจทก์เคยถูกลงโทษลดขั้นเงินเดือนไปแล้วมาเป็นเหตุเลิกจ้างโจทก์ ทั้งที่คณะกรรมการของจำเลยทั้งสองเห็นว่าความผิดที่เกิดขึ้นใหม่เป็นความผิดที่ไม่ร้ายแรง จำเลยทั้งสองอาจลงโทษโจทก์ฐานอื่นได้แต่จำเลยทั้งสองเลือกที่จะลงโทษเลิกจ้างโจทก์ จึงเป็นการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรม
คดีมีปัญหาวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของจำเลยทั้งสองว่าจำเลยทั้งสองเลิกจ้างโจทก์โดยไม่เป็นธรรมหรือไม่ ศาลแรงงานกลางฟังข้อเท็จจริงว่า โจทก์เคยถูกสอบสวนทางวินัยโดยคณะกรรมการสอบสวนมีความเห็นว่าโจทก์เปิดสอนพิเศษให้แก่นักศึกษาและรับเงินค่าสอนจากนักศึกษา เป็นการขัดจรรยาบรรณของการเป็นอาจารย์ ตามเอกสารหมาย ล.8 ต่อมาโจทก์กระทำผิดฐานฝ่าฝืนคำสั่งผู้บังคับบัญชาที่ไม่ไปนั่งประจำหมวดวิชาวิทยาศาสตร์เชิงปริมาณ แต่กลับทิ้งหน้าที่ไปทำงานให้แก่ชมรมรักบี้ในเวลาทำงานปกติซึ่งโจทก์ต้องทำหน้าที่ดังกล่าวหลังเลิกงานแล้ว และโจทก์ไม่จัดทำเอกสารทางวิชาการให้สำเร็จลุล่วงตามคำสั่งภายในเวลาอันควร ความผิดฐานฝ่าฝืนคำสั่งผู้บังคับบัญชาดังกล่าวเป็นความผิดที่โจทก์กระทำขึ้นใหม่ จำเลยทั้งสองเลิกจ้างโจทก์โดยอ้างเหตุว่าแม้การกระทำผิดวินัยฐานไม่ปฏิบัติตามคำสั่งผู้บังคับบัญชาของโจทก์จะไม่ใช่ความผิดร้ายแรง แต่ได้พิจารณาการกระทำที่โจทก์เรียกเงินพิเศษจากนักศึกษาซึ่งถูกลงโทษไปแล้วจึงสมควรเลิกจ้างโจทก์ เห็นว่า ความผิดของโจทก์ฐานเปิดสอนพิเศษให้แก่นักศึกษาและรับเงินค่าสอนจากนักศึกษานั้น จำเลยทั้งสองลงโทษโจทก์ในความผิดดังกล่าวด้วยการลดขั้นเงินเดือน 1 ขั้น จำเลยทั้งสองย่อมไม่อาจนำความผิดนั้นมาเป็นเหตุเลิกจ้างได้อีก ส่วนความผิดวินัยฐานไม่ปฏิบัติตามคำสั่งผู้บังคับบัญชาของโจทก์ แม้ไม่ใช่ความผิดร้ายแรง แต่โจทก์เป็นถึงอาจารย์ในมหาวิทยาลัย แต่กลับมีพฤติกรรมไม่ทำตามคำสั่งของจำเลยทั้งสองหลายประการ กรณีจึงมีเหตุสมควรเพียงพอที่จำเลยทั้งสองจะเลิกจ้างโจทก์ได้การที่จำเลยทั้งสองเลิกจ้างโจทก์จึงเป็นการเลิกจ้างที่เป็นธรรม ทั้งการกระทำของโจทก์ดังกล่าวยังเป็นการกระทำอันไม่สมแก่การปฏิบัติหน้าที่ของตนให้ลุล่วงไปโดยถูกต้องและสุจริตจำเลยทั้งสองจึงมีสิทธิเลิกจ้างโจทก์ได้โดยไม่ต้องบอกกล่าวล่วงหน้า ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 483 ส่วนอุทธรณ์ข้ออื่นของจำเลยทั้งสองไม่จำต้องวินิจฉัยเพราะไม่ทำให้ผลคดีเปลี่ยนแปลง
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ยกฟ้องโจทก์เสียทั้งหมด.
เรียบเรียงโดย บริษัท กฎหมายปาระมี จำกัด