คำพิพากษาฎีกาที่ 6098/56
จ่ายของสมนาคุณให้ลูกค้า โดยไม่ตรวจสอบบิลให้ถูกต้อง มิใช่ความผิดกรณีร้ายแรงไม่ใช่การทุจริตต่อหน้าที่ แต่ถือว่ากระทำการอันไม่สมแก่การปฏิบัติหน้าที่ของตนให้เสร็จลุล่วงไปโดยถูกต้อง และสุจริต เลิกจ้างได้โดยไม่ต้องบอกกล่าวล่วงหน้า
โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ 19 มีนาคม 2529 จำเลยจ้างโจทก์เข้าทำงานในตำแหน่งพนักงานขายเครื่องสำอางยี่ห้อคลาแร็งส์ ต่อมาโจทก์ได้ทำงานตำแหน่งพนักงานประจำหน้าเคาน์เตอร์แผนกเครื่องสำอางยี่ห้อคลาแร็งส์ ครั้งสุดท้ายประจำอยู่ที่ห้างสรรพสินค้าเซ็นทรัล สาขาปิ่นเกล้า ค่าจ้างอัตราสุดท้ายเดือนละ 16,250 บาท โจทก์ทำยอดขายสินค้าประเภทเครื่องสำอางให้แก่จำเลยจนทะลุยอดขาย ทำให้จำเลยได้ผลกำไรจากการขายของโจทก์จำนวนหลายสิบเปอร์เซ็นต์ต่อปีจำเลยพอใจให้ผลประโยชน์ตอบแทนจากการทำงานจนประสบความสำเร็จโดยการให้โจทก์เดินทางไปเที่ยวต่างประเทศและให้โจทก์เป็นพนักงานดีเด่น ต่อมาวันที่ 21 กรกฎาคม 2546 จำเลยกล่าวหาโจทก์ประพฤติผิดระเบียบข้อบังคับของจำเลยเช่น การที่ลูกค้าของจำเลยมอบหมายให้บุคคลอื่นมารับสินค้าที่เป็นของแถมแต่มิได้ทำหลักฐานการมอบหมายการมารับแทน หรือมอบสินค้าของแถมให้แก่บุคคลอื่นที่มารับแทนแต่ไม่มีหลักฐานการมอบหมาย หรือมอบสินค้าของแถมไว้แล้วก็มิได้ลงชื่อในเอกสาร และนำถุงของบริษัทอื่นมาใส่สินค้าของแถมให้แก่ผู้รับสินค้าแทนลูกค้า ซึ่งถือว่าเป็นการฝ่าฝืนกฎระเบียบข้อบังคับของจำเลยอย่างร้ายแรงและถือว่าโจทก์จงใจกระทำโดยประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรง และจำเลยนำความผิดเก่าๆ ที่ระงับโทษไปนานแล้วมาเป็นเหตุแห่งการเลิกจ้างโดยกล่าวหาว่าโจทก์ฝ่าฝืนกฎระเบียบข้อบังคับของจำเลยอย่างร้ายแรงซึ่งไม่เป็นความจริง ความจริงแล้วโจทก์มิได้กระทำความผิด อันเป็นการฝ่าฝืนกฎระเบียบข้อบังคับของจำเลยอย่างร้ายแรง หรือกระทำการโดยจงใจประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรง หรือกระทำการใดๆ จนเป็นเหตุให้จำเลยซึ่งเป็นนายจ้างได้รับความเสียหาย จำเลยมีคำสั่งเลิกจ้างโจทก์ตั้งแต่วันที่ 13 สิงหาคม 2546 การกระทำของจำเลยดังกล่าวจึงเป็นการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรม จำเลยต้องจ่ายค่าชดเชยจำนวน 300 วัน ของอัตราค่าจ้างเดือนสุดท้ายเป็นเงิน 162,500 บาท สินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้าเป็นเงิน 16,250 บาท ค่าจ้างของเดือนกรกฎาคม 2546 เป็นเงิน 16,250 บาท ค่าจ้างเดือนสิงหาคม 2546 (12 วัน) เป็นเงิน 6,499 บาท ค่านายหน้าในการขายเครื่องสำอางให้แก่จำเลยที่ยังคงค้าง เป็นเงิน 5,367 บาท และเงินประกันความเสียหายที่จะต้องคืนโจทก์เมื่อเลิกจ้างเป็นเงิน 1,000 บาท รวมเป็นเงินที่จำเลยจะต้องชำระให้แก่โจทก์ทั้งสิ้น 207,866 บาท โจทก์ทวงถามให้จำเลยชำระหนี้จำนวนดังกล่าวแล้ว จำเลยคงชำระเพียงเงินเดือนๆกรกฎาคม 2546 จำนวน 16,250 บาท จึงยังคงเหลือเงินที่จำเลยจะต้องชำระให้แก่โจทก์อีกจำนวน 191,616 บาท ขอให้บังคับจำเลยจ่ายชดเชยและสิทธิประโยชน์ตามกฎหมายคุ้มครองแรงงานให้แก่โจทก์เป็นเงินทั้งสิ้น 191,616 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปี นับตั้งแต่หนี้จำนวนดังกล่าวครบกำหนดชำระตามหนังสือทวงถามคือตั้งแต่วันที่ 26 สิงหาคม 2546 จนถึงวันฟ้องเป็นเวลา 21 วัน เป็นเงินจำนวน 1,653 บาท เมื่อรวมกับต้นเงินจำนวน 191,616 บาท จำเลยจะต้องชำระเงินให้แก่โจทก์ทั้งสิ้น193,269 บาท
จำเลยให้การและแก้ไขคำให้การว่า โจทก์เคยเป็นลูกจ้างของจำเลยจริงและจำเลยได้ให้โจทก์พ้นจากการเป็นลูกจ้างของจำเลยเพราะโจทก์กระทำผิดกกฎระเบียบข้อบังคับและกฎหมายแรงงานต่อจำเลย กล่าวคือขณะโจทก์เป็นหัวหน้าพนักงานขายเครื่องสำอางยี่ห้อคลาแร็งส์ ประจำห้างสรรพสินค้าเซ็นทรัล สาขาลาดพร้าว ได้นำสินค้าประเภทเครื่องสำอางจำนวนหนึ่งออกไปใช้นอกสถานที่โดยพลการซึ่งการกระทำของโจทก์ดังกล่าวถือว่าเป็นการกระทำผิดกฎระเบียบข้อบังคับของจำเลยอย่างร้ายแรงมีโทษถึงให้พ้นจากการเป็นลูกจ้าง โจทก์ยอมรับว่าได้กระทำการดังกล่าวด้วยการทำหนังสือรับสารภาพและขอโอกาสแก้ไขปรับปรุงตังเอง ต่อมาจำเลยย้ายโจทก์ไปอยู่ที่ห้างสรรพสินค้าเซ็นทรัล สาขาปิ่นเกล้า โดยทำงานในหน้าที่และตำแหน่งเดิม ประมาณกลางปี 2545 โจทก์กระทำการที่ฝ่าฝืนกฎระเบียบข้อบังคับของจำเลยด้วยการนำยอดซื้อสินค้าของลูกค้าจรมาบันทึกในใบสะสมแต้มหรือสะสมคะแนนให้แก่ลูกค้าที่โจทก์สนิทสนมเพื่อให้ยอดซื้อของลูกค้าอยู่ในเกณฑ์ที่จะได้รับสินค้าของสมนา คุณ หรือได้รับสินค้าของสมนาคุณที่มีราคาสูงขึ้น และต่อมาในปี 2546 จนกระทั่งเมื่อวันที่ 21 กรกฎาคม 2546 เวลา 20.15 น. โจทก์ฝ่าฝืนกฎระเบียบของจำเลยด้วยการนำสินค้าของสมนาคุณมอบให้แก่บุคคลอื่นที่ไม่ใช่ลูกค้าโดยไม่มีหลักฐานการมอบหมายให้มารับแทนเมื่อมอบสินค้าของสมนาคุณให้ไปแล้วโจทก์ก็ไม่ทำหลักฐานการส่งมอบ หรือรับหลักฐานของบุคคลผู้มารับแทนไว้เป็นหลักฐานเพื่ออแสดงต่อจำเลย และในการมอบสินค้าของสมนาคุณของโจทก์ดังกล่าวโจทก์ได้ฝ่าฝืนกฎระเบียบของจำเลยด้วยการนำถุงใส่สินค้าของบุคคลอื่นมาใส่สินค้าแทนถุงของจำเลยซึ่งถือว่าเป็นการประพฤติปฏิบัติที่มีเจตนาหรือจงใจกระทำผิดต่อจำเลยอย่างร้ายแรง และการกระทำของโจทก์ในครั้งนี้มีพิรุธโดยพนักงานรักษาความปลอดภัยของห้างสรรพสินค้าเซ็นทรัล สาขาปิ่นเกล้า เฝ้าสังเกตการกระทำของโจทก์จากจอโทรทัศน์วงจรปิดจนกระทั่งจับผิดได้ โจทก์ทำบันทึกคำให้การไว้เมื่อวันที่ 25 กรกฎาคม 2546 จากกรณีดังกล่าว ผู้บังคับบัญชาสูงสุดของโจทก์ทำหนังสือแจ้งผู้จัดการฝ่ายบริหารงานบุคคลว่าที่โจทก์ทำบันทึกคำให้การแก้ข้อกล่าวหานั้นไม่ถูกต้องและไม่มีธรรมเนียมที่จำเลยปฏิบัติ หรือยินยอมให้ลูกจ้างปฏิบัติเพราะเป็นช่องทางที่จะทำให้เกิดการทุจริตต่อหน้าที่ เมื่อจำเลยได้ตรวจสอบเอกสารที่เกี่ยวข้องกับหน้าที่การงานของโจทก์และที่โจทก์ได้จัดทำไว้ในการปฏิบัติหน้าที่ผ่านมาประกอบกับสอบข้อเท็จจริงจากพยานบุคคลที่ร่วมงานกับโจทก์แล้ว จำเลยจึงได้ทราบว่าโจทก์กระทำหน้าที่ด้วยความบกพร่อง ละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ ปกปิดข้อเท็จจริงต่อผู้บังคับบัญชา กระทำการฝ่าฝืนกฎระเบียบข้อบังคับของจำเลยโดยเจตนาและจงใจทำให้จำเลยได้รับความเสียหาย จึงเป็นการกระทำที่ผิดระเบียบ ข้อบังคับ ข้อกำหนดของจำเลยอย่างร้ายแรง และผิดต่อพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. 2541 จำเลยจึงมีสิทธิเลิกจ้างโจทก์ได้โดยไม่ต้องจ่ายสินค้าแทนการบอกกล่าวล่วงหน้า ค่าชดเชย หรือค่าตอบแทนตามกฎหมายคุ้มครองแรงงานใดๆ ทั้งสิ้น ต่อมาวันที่ 13 สิงหาคม 2546 จำเลยจึงได้ทำหนังสือบอกเลิกจ้างแก่โจทก์และให้โจทก์มารับทราบด้วยตนเอง ซึ่งโจทก์ได้อ่านและเข้าใจข้อความในหนังสือเลิกจ้างแล้ว แต่ไม่ยอมลงชื่อรับทราบ จำเลยจึงได้อ่านหนังสือบอกเลิกจ้างให้โจทก์ฟังต่อหน้าโจทก์และพยานจำเลย 2 คน และให้พยานลงชื่อไว้เป็นหลักฐาน การที่จำเลยบอกเลิกจ้างโจทก์จึงเป็นไปโดยชอบธรรมและถูกต้องตามกฎหมาย จำเลยจึงไม่ต้องรับผิดต่อโจทก์ ขอให้ยกฟ้อง
ศาลแรงงานกลางพิจารณาแล้ว พิพากษาให้จำเลยชำระเงิน 191,616 บาท แก่โจทก์พร้อมทั้งดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปี จากต้นเงิน 175,366 บาท และดอกเบี้ยร้อยละ 7.5 ต่อปี คิดจากต้นเงิน 16,250 บาท นับแต่วันที่ 27 สิงหาคม 2546 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระหนี้ให้โจทก์เสร็จสิ้น แต่ดอกเบี้ยถึงวันฟ้องต้องไม่เกิน 1,653 บาท
จำเลยอุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีแรงงานตรวจสำนวนประชุมปรึกษาแล้ว มีคำสั่งในรายงานกระบวนพิจารณาลงวันที่ 20 กรกฎาคม 2549 ว่า ในปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของจำเลยว่าโจทก์ฝ่าฝืนระเบียบข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงานของจำเลยเป็นกรณีร้ายแรงโดยจำเลยอ้างว่าดจทก์นำสินค้าของสมนาคุณมอบให้แก่บุคคลอื่นที่ไม่ใช่ลูกค้าโดยไม่มีหลักฐานการมอบหมายให้มารับแทน และเมื่อโจทก์มอบสินค้าของสมนาคุณให้ไปแล้วก็ไม่ทำหลักฐานการส่งมอบและหรือรับหลักฐานของบุคคลมารับแทนไว้เป็นหลักฐานเพื่อแสดงต่อจำเลย จำเลยจึงไม่ต้องจ่ายค่าชดเชยและสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้าแก่โจทก์นั้น ในการวินิจฉันข้อกฎหมายดังกล่าวศาลแรงงานกลางฟังข้อเท็จจริงเพียงว่าเมื่อวันที่ 21 กรกฎาคม 2546 เวลาประมาณ 20.15 น. โจทก์ได้มอบสินค้าสมนาคุณเป็นเครื่องสำอางชนิดพกพาจำนวน 8 ชิ้น และกระเป๋า 2 ใบ ให้นางสาววันทนา หิรัญวาทิตย์ ซึ่งมารับสินค้าของสมนาคุณแทนนางสาวจิตรา หิรัญวาทิตย์น้องสาวนั้น โดยที่ศาลแรงงานกลางยังมิได้ฟังข้อเท็จริงและวินิจฉัยว่าจำเลยมีระเบียบข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงานและโจทก์มีการกระทำอันเป็นการฝ่าฝืนระเบียบข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงานตามที่จำเลยอ้างดังกล่าวข้างต้นหรือไม่ อย่างไร ข้อเท็จจริงที่ศาลแรงงานกลางฟังมายังไม่พอแก่การวินิจฉัยข้อกฎหมายตามอุทธรณ์ของจำเลยได้อาศัยอำนาจตามความในมาตรา 56 วรรคสอง แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. 2522 จึงให้ศาลแรงงานกลางฟังข้อเท็จจริงเพิ่มเติมและวินิจฉัยในประเด็นดังกล่าว เสร็จแล้วให้ดำเนินการตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. 2522 มาตรา 56 วรรคสองหรือวรรคสาม ต่อไป
ศาลแรงงานกลางฟังข้อเท็จจริงเพิ่มเติมแล้วพิพากษาให้จำเลยชำระเงิน 191,616 บาท แก่โจทก์พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 15 ต่อปี จากต้นเงิน 175,366 บาท และดอกเบี้ยร้อยละ 7.5 ต่อปี จากต้นเงิน 16,250 บาท นับแต่วันที่ 27 สิงหาคม 2546 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระหนี้ให้โจทก์เสร็จสิ้นแต่ดอกเบี้ยคิดถึงวันฟ้องไม่เกิน 1,653 บาท
จำเลยอุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีแรงงานตรวจสำนวนประชุมปรึกษาแล้ว ศาลแรงงานกลางฟังข้อเท็จริงเป็นยุติว่า เมื่อวันที่ 2 ตุลาคม 2544 เวลาประมาณ 21.15 น. โจทก์นำสินค้าของสมนาคุณ คือยาทาเล็บ 7 ชิ้น และผลิตภัณฑ์ขนาดเดินทาง 4 ชิ้น ออกนอกบริเวณห้างสรรพสินค้าเซ็นทรัล สาขาลาดพร้าว โดยไม่ได้ทำใบออกตามระเบียบอย่างถูกต้อง แต่จำเลยไม่ได้ลงโทษโจทก์ในเรื่องนี้ ต่อมาเมื่อวันที่ 21 กรกฎาคม 2546 เวลาประมาณ 20.15 น. โจทก์ได้มอบสินค้าของสมนาคุณเป็นเครื่องสำอางชนิดพกพาจำนวน 8 ชิ้น และกระเป๋า 2 ใบ ให้นางสาววันทนา หิรัญวาทิตย์ ซึ่งมารับสินค้าของสมนาคุณแทนนางสาวจิตรา หิรัญวาทิตย์ น้องสาว โดยโจทก์นำสินค้าของสมนาคุณดังกล่าวใส่ถุงของห้างท้อปซุปเปอร์มาร์เกต ซึ่งมีสีเหลืองโดยไม่ได้ใส่ในถุงเครืองสำอางยี่ห้อคลาแร็งส์ โจทก์ทำงานกับจำเลยมานานประมาณ 17 ปี การปฏิบัติหน้าที่ได้ผลดีและประสบความสำเร็จมาโดยตลอดจนจำเลยให้รางวัลโจทก์ไปท่องเที่ยวยังต่างประเทศแล้ววินิจฉัยว่า การมอบสินค้าของสมนาคุณให้แก่ลูกค้าซึ่งมาซื้อเครื่องสำอางยี่ห้อคลาแร็งส์ก็เพื่อเป็นการจูงใจให้ลูกค้ากลับมาซื้อเครื่องสำอางยี่ห้อนี้อีกอันเป็นการเพิ่มยอดขายและเพิ่มผลกำไรให้แก่จำเลยมากขึ้น ส่วนบุคคลทั่วไปซึ่งใช้เครื่องสำอางชนิดอื่นอยู่ ถ้าหากมีท่าทีสนใจและมีโอกาสที่จะมาใช้เครื่องสำอางยี่ห้อคลาแร็งส์ผู้ขายก็อาจะมอบเครื่องสำอางของแถมให้บุคคลดังกล่าวไปทดลองใช้เพื่อจะได้เปลี่ยนมาใช้เครื่องสำอางยี่ห้อคลาแร็งส์ได้เช่นเดียวกัน ซึ่งผลประโยชน์ที่ได้รับก็คือยอดขายที่เพิ่มขึ้นทำให้ผู้ขายได้รับส่วนแบ่งเป็นเปอร์เซ็นต์มากขึ้นและจำเลยก็จะได้ผลกำไรเป็นเงาตามตัวเช่นเดียวกันอันถือได้ว่าเป็นผลประโยชน์ร่วมกัน เดิมห้างสรรพสินค้าเซ็นทรัล สาขาปิ่นเกล้า ของจำเลยมียอดขายเครื่องสำอางยี่ห้อคลาแร็งส์ประมาณเดือนละ 600,000 บาท แต่เมื่อโจทก์มาอยู่ประจำที่สาขาปิ่นเกล้าแล้วปรากฏว่ายอดขายเครื่องสำอางยี่ห้อคลาแร็งส์มียอดขายเพิ่มขึ้นมาโดยตลอดจนก่อนที่โจทก์จะถูกเลิกจ้างยอดขายได้เพิ่มขึ้นสูงกว่า 1,200,000 บาท เมื่อเทียบเปอร์เซ็นต์แล้วโจทก์ทำยอดขายได้เพิ่มขึ้นมากกว่า 100 เปอร์เซ็นต์ อันแสดงความตั้งใจในการทำงานจนประสบความสำเร็จในการทำยอดขายให้สูงขึ้น การที่โจทก์มอบสินค้าของสมนาคุณให้นางสาววันทนา หิรัญวาทิตย์ ซึ่งมารับสินค้าของสมนาคุณแทนนางสาวจิตรา หิรัญวาทิตย์ น้องสาวนั้น เมื่อนางสาวจิตรามีสิทธิได้รับสินค้าของสมนาคุณการมอบอำนาจให้มากระทำการแทนกันดังกล่าวย่อมสามารถกระทำได้โดยชอบด้วยกฎหมายส่วนการที่โจทก์นำยอดซื้อของลูกค้าทั่วไปจำนวนเงิน 800 บาทเศษมาใส่ในยอดซื้อของนางสาวจิตราเพราะเห็นว่ายอดซื้อของนางสาวจิตราขาดอยู่เพียงเล็กน้อยนั้น โจทก์ได้แจ้งให้เพื่อนร่วมงานและผู้บังคับบัญชาทราบแล้ว ทั้งจากการตรวจสอบแล้วไม่ปรากฏว่ายอดซื้อของนางสาวจิตราขาดไปแต่อย่างใด ดังนั้นไม่ว่าจะมีการนำยอดซื้อของลูกค้าทั่วไปเข้ามาเพิ่มหรือไม่นางสาวจิตราก็ยังคงมีสิทธิได้รับสินค้าของสมนาคุณอยู่นั่นเอง การกระทำของโจทก์ดังกล่าวจึงเป็นการกระทำโดยมีวัตถุประสงค์จะผูกใจลูกค้าให้ติดใจในบริการที่ได้รับเพื่อจะได้เป็นลูกค้าเครื่องสำอางยี่ห้อคลาแร็งส์ตลอดไป ถือไม่ได้ว่าโจทก์ได้กระทำการดังกล่าวไปโดยทุจริต ไม่ปรากฏว่าจำเลยมีระเบียบข้อบังคับเป็นหนังสือให้ผู้รับสินค้าของสมนาคุณจะต้องมารับด้วยตนเอง ดังนั้นการที่โจทก์มอบของสมนาคุณให้บุคคลซึ่งรับมอบอำนาจจากลูกค้าที่แท้จริงทั้งมีหนังสือมอบอำนาจตามเอกสารหมาย จ.13 มาแสดงจึงสามารถกระทำได้ ทั้งปรากฏว่าเมื่อโจทก์มอบสินค้าของสมนาคุณให้ผู้รับมอบอำนาจจากลูกค้าไปแล้ว โจทก์ได้ให้บุคคลดังกล่าวลงลายมือชื่อรับสินค้าของสมนาคุณไว้ในเอกสารหมาย ล.16 แผนที่ 16/3 ของคุณจิตรา หิรัญวาทิตย์ ไว้ด้วย ถือได้ว่าโจทก์ได้ทำหลักฐานการส่งมอบไว้ครบถ้วนถูกต้องแล้ว ทั้งการปฏิบัติดังกล่าวก็ไม่ปรากฏว่ามีพนักงานอื่นปฏิบัติผิดแผกแตกต่างเป็นอย่างอื่น จึงถือได้ว่าโจทก์ได้ปฏิบัติตามประเพณีที่เคยปฏิบัติมาจึงสามารถกระทำได้และไม่ขัดต่อระเบียบของจำเลย ส่วนการที่โจทก์นำสินค้าของสมนาคุณใส่ถุงอื่นซึ่งไม่ใช่ถุงของเครื่องสำอางยี่ห้อคลาแร็งส์นั้น เมื่อในวันดังกล่าวผู้รับมอบอำนาจจากลูกค้ามิได้การซื้อเครื่องสำอางยี่ห้อคลาแร็งส์ ซึ่งในกรณีเช่นนี้แคชเชียร์จะไม่ให้ถุงของเครื่องสำอางยี่ห้อคลาแร็งส์ โจทก์จึงได้ขออนุญาตเอาถุงอื่นใส่สินค้าของสมนาคุณแทนซึ่งผู้รับมอบอำนาจจากลูกค้าก็ไม่ขัดข้อง ทั้งไม่ปรากฏว่าจำเลยมีระเบียบห้ามการใช้ถุงของผู้อื่นใส่สินค้าของสมนาคุณ จึงถือไม่ได้ว่าการกระทำของโจทก์เป็นการฝ่าฝืนระเบียบในเรื่องวินัยของพนักงานตามข้อ 8.5.1.2 เรื่องต้องปฏิบัติตามระเบียบข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงานของจำเลย และข้อ 8.5.1.4 เรื่องต้องปฏิบัติหน้าที่การงานด้วยความซื่อสัตย์สุจริตเพราะไม่ปรากฏว่าโจทก์ทำหน้าที่โดยทุจริต เมื่อการกระทำของโจทก์ทั้งหมดไม่ขัดต่อระเบียบข้อบังคับของจำเลยที่วางเอาไว้และโจทก์มิได้ทำหน้าที่โดยทุจริต การกระทำของโจทก์จึงไม่เป็นความผิดฐานทุจริตต่อหน้าที่ หรือกระทำความผิดอาญาโดยเจตนาแก่นายจ้างตามข้อ 10.4.3.2 และไม่เป็นการจงใจทำให้จำเลยได้รับความเสียหายตามข้อ 10.4.3.3 และไม่เป็นการทำงานที่ฝ่าฝืนระเบียบข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงานหรือระเบียบ หรือประกาศ หรือคำสั่งของจำเลยอันชอบด้วยกฎหมายและเป็นธรรมตามข้อ 10.4.3.4 ตามเอกสารหมาย ล.25 การที่จำเลยเลิกจ้างโจทก์โดยอาศัยระเบียบข้อ 10.4.3 โดยไม่จ่ายค่าชดเชยตามเอกสารหมาย ล.23 จึงไม่ชอบ
คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของจำเลยว่าโจทก์ฝ่าฝืนระเบียบข้อบังคับในการทำงานของจำเลยเป็นกรณีร้ายแรงหรือไม่ โดยจำเลยอุทธรณ์ในข้อ 2.1 และ 2.2 ว่า การที่โจทก์มอบสินค้าของสมนาคุณจำนวน 8 ชิ้น และกระเป๋า 2 ใบ ให้นางสาววันทนา หิรัญวาทิตย์ ซึ่งมารับแทนนางสาวจิตรา หิรัญวาทิตย์ โดยไม่มีใบเสร็จการชำระค่าสินค้ามาแสดง การที่โจทก์นำยอดซื้อสินค้าของลูกค้าทั่วไปที่ไม่ได้เป็นสมาชิกมารวมยอดให้แก่นางสาวจิตราเป็นการทุจริตต่อหน้าที่ เป็นการกระทำผิดอาญาโดยเจตนาต่อนายจ้างจงใจทำให้นายจ้างได้รับความเสียหาย ฝ่าฝืนระเบียบและข้อบังคับในการทำงานของจำเลยเป็นกรณีร้ายแรงนั้น เห็นว่า การกระทำของลูกจ้างจะเป็นกรณีร้ายแรงหรือไม่นั้นต้องวิเคราะห์ถึงปัจจัยต่างๆ ประกอบกันหลายประการ อาทิ ตำแหน่งหน้าที่การงานของลูกจ้าง ลักษณะ และพฤติการณ์การกระทำความผิดของลูกจ้าง ตลอดจนผลเสียหายที่เกิดขึ้นจากการกระทำความผิดว่ามีมากน้อยเพียงใด แม้คดีนี้โจทก์มอบสินค้าของสมนาคุณให้แก่นางสาววันทนาซึ่งมารับแทนนางสาวจิตรา โดยไม่มีใบเสร็จการชำระค่าสินค้ามาแสดงและนำยอดซื้อสินค้าของลูกค้าทั่วไปมารวมยอดซื้อสินค้าของนางสาวจิตรา แต่ศาลแรงงานกลางฟังข้อเท็จจริงว่ายอดซื้อของนางสาวจิตรามิได้ขาดไปแต่อย่างไร ไม่ว่าจะมีการนำยอดซื้อของลูกค้าทั่วไปมาเพิ่มหรือไม่นางสาวจิตราก็ยังคงมีสิทธิได้รับสินค้าของสมนาคุณอยู่นั่นเอง ดังนั้นการที่โจทก์มอบสินค้าของสมนาคุณให้แก่นางสาวจิตราจึงเป็นไปตามสิทธิที่นางสาวจิตราได้รับอยู่แล้ว จำเลยจึงมิได้รับความเสียหายจากการกระทำของโจทก์ การกระทำของโจทก์จึงมิได้เป็นการทุจริตต่อหน้าที่ หรือกระทำความผิดอาญาโดยเจตนาต่อนายจ้าง หรือจงใจทำให้นายจ้างได้รับความเสียหาย หรือประมาทเลินเล่อเป็นเหตุให้นายจ้างได้รับความเสียหายอย่างร้ายแรงหรือฝ่าฝืนข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงานหรือระเบียบเป็นกรณีร้ายแรงที่นายจ้างเลิกจ้างได้โดยไม่จำต้องตักเตือนเป็นหนังสือ ตามพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. 2541 มาตรา 119 ( 4 ) การที่จำเลยเลิกจ้างโจทก์จึงต้องจ่ายค่าชดเชย แต่สำหรับสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้านั้น การที่โจทก์นำยอดซื้อสินค้าของลูกค้าทั่วไปมารวมยอดให้แก่นางสาวจิตรา เป็นการทำให้ยอดซื้อสินค้าสะสมของนางสาวจิตราเพิ่มขึ้นโดยจำเลยมิได้ขายสินค้าเพิ่มขึ้น การกระทำของโจทก์จึงเป็นการกระทำประการอื่นอันไม่สมแก่การปฏิบัติหน้าที่ของตนให้ลุล่วงไปโดยถูกต้องและสุจริต จำเลยจึงเลิกจ้างโจทก์ได้โดยไม่ต้องบอกกล่าวล่วงหน้า อุทธรณ์ของจำเลยดังกล่าวฟังขึ้นบางส่วน
ส่วนที่จำเลยอุทธรณ์ในข้อ 2.3 ว่า ในช่วงที่โจทก์ปฏิบัติหน้าที่อยู่สินค้าของสมนาคุณคุณลูกค้าได้สูญหายไป 1 กล่อง การกระทำของโจทก์จึงเป็นการกระทำโดยเจตนาเพื่อให้จำเลยได้รับความเสียหาย เป็นการประมาทเลินเล่อเป็นเหตุให้จำเลยได้รับความเสียหายอย่างร้ายแรง เป็นการฝ่าฝืนข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงานเป็นกรณีร้ายแรงนั้นอุทธรณ์ดังกล่าวจำเลยหาได้ยกขึ้นเป็นข้อต่อสู้ไว้ในคำให้การ แม้ศาลแรงงานกลางจะหยิบยกปัญหาดังกล่างขึ้นวินิจฉัยก็ไม่ชอบด้วยกฎหมาย อุทธรณ์ของจำเลยข้อนี้จึงเป็นข้อเท็จจริงที่ยกขึ้นใหม่ในชั้นอุทธรณ์ว่ามีสินค้าของสมนาคุณสูญหายในช่วงที่โจทก์ปฏิบัติหน้าที่อันเป็นอุทธรณ์ในข้อเท็จจริง ต้องห้ามตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. 2522 มาตรา 54 วรรคหนึ่ง ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ยกคำขอในส่วนสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้าพร้อมดอกเบี้ย นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลแรงงานกลาง.
เรียบเรียงโดย บริษัท กฎหมายปาระมี จำกัด