ก.แรงงานเตรียมประสานเอกชนเปิดหลักสูตรดูแลผู้สูงอายุ
พลเอกศิริชัย ดิษฐกุล รัฐมนตรีว่าการ กระทรวงแรงงาน กล่าวว่า ตามที่นายกรัฐมนตรีได้มีข้อสั่งการให้ศึกษารายละเอียด ดำเนินการเกี่ยวกับพัฒนาการประกอบอาชีพ สาขาดูแลผู้สูงอายุ เพื่อพิจารณาส่งเสริม ให้มีการฝึกอบรม และพัฒนากำลังแรงงาน ในสาขานี้ทั้งในประเทศและต่างประเทศ ขอให้กรมพัฒนาฝีมือแรงงานเร่งดำเนินการ และเห็นผลโดยเร็ว โดยประสานกับ ภาคเอกชนเปิดหลักสูตรฝึกอบรม และขอให้กรมการจัดหางานสนับสนุนในเรื่องของข้อมูลความต้องการในสาขาอาชีพนี้ ทั้งในประเทศและต่างประเทศ รวมถึงสำนักประสานความร่วมมือระหว่างประเทศต้องสนับสนุนข้อมูลเพื่อที่จะนำเอามาวางแผนในการดำเนินการ และในขั้นตอนไปต้องมีการต่อยอดในสิ่งที่ได้ดำเนินการไปแล้ว การส่งต่อไปทำงานต่างประเทศต้องมีการฝึกภาษาเพิ่มเติม พร้อมทั้งวางแผนในการ ดำเนินการให้ครบวงจร
พร้อมทั้งให้นำเอากลไกประชารัฐ มาใช้ในการทำงานของกระทรวงแรงงาน โดยยึดถือการปฏิบัติอย่างเคร่งครัดตาม ข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรี ส่วนแนวทาง ในการปฏิบัติงานให้เร่งดำเนินการ และต้องมีการติดตามประเมินผล ทั้งนี้ในการปฏิบัติการของส่วนราชการขอให้ดำเนินการแก้ไข ปัญหาระดับพื้นที่ผ่านกลไกประชารัฐ มีการบูรณาการการทำงานทั้งในระดับนโยบาย และระดับพื้นที่ พร้อมประเมินผลสัมฤทธิ์ของการปฏิบัติงาน หัวหน้าส่วนราชการ ทุกระดับให้ทำงานด้วยความทุ่มเท มุ่งผล สัมฤทธิ์ให้เกิดแก่ประชาชน ให้มีการพบประชาชนในพื้นที่เพื่อให้ทราบข้อมูลปัญหาที่แท้จริง ต้องทำความเข้าใจ สร้างความ รับรู้ ประชาสัมพันธ์ เพื่อนำมาวางแผนแก้ไข ได้ตรงตามความต้องการของประชาชน อย่างแท้จริง
นอกจากนี้ ได้กล่าวถึงการจัดกิจกรรมส่งแรงงานกลับบ้านในช่วงเทศกาลปีใหม่ ที่ได้กำหนดไว้ 4 แห่ง ได้แก่ สถานีขนส่งหมอชิต สถานีรถไฟหัวลำโพง สถานี ขนส่งสายใต้ใหม่ และสถานีขนส่งเอกมัย ซึ่งเป็นกิจกรรมหนึ่งในหลายกิจกรรมที่กระทรวงแรงงานมอบเป็นของขวัญปีใหม่ 2559 ให้กับประชาชน ขอให้สำนักงานประกันสังคมได้ขยายกิจกรรมดังกล่าวลงสู่พื้นที่จังหวัดที่มีผู้ประกันตนมาก เพื่อให้การบริการเข้าถึงประชาชนอย่าง ทั่วถึง และพร้อมทั้งให้แจ้งเตือนไปยัง ผู้ประกอบการให้ระมัดระวังเรื่องของอัคคีภัย เนื่องจากเข้าสู่ฤดูหนาวที่มีสภาพอากาศแห้ง และได้แสดงความห่วงใยเรื่องความปลอดภัย ช่วงเทศกาลปีใหม่แก่ข้าราชการ เจ้าหน้าที่ กระทรวงแรงงานที่ต้องเดินทางกลับภูมิลำเนา และท่องเที่ยวด้วย
อีก16ปีมีคนแก่ครึ่งของวัยทำงาน
กรุงเทพฯ * เปิดรายงานสถานการณ์ผู้สูงอายุไทยประจำปี ระบุในอีก 20 ปีข้างหน้าไทยจะมีประชากรวัยแรงงาน 2 คนต่อผู้สูงอายุ 1 คนเท่านั้น ชี้ที่อยู่อาศัยและสุขภาพเป็นปัญหาสำคัญที่ต้องเร่งแก้ไขด่วน พบผู้สูงอายุอยู่คนเดียวมากขึ้นและป่วยด้วยสารพัดโรค
มูลนิธิสถาบันวิจัยและพัฒนาผู้สูงอายุไทย ภายใต้การสนับสนุนจากกองทุนผู้สูงอายุ กรมกิจการผู้สูงอายุ ได้มอบหมายให้สถาบันวิจัยประชากรและสังคม มหาวิทยาลัยมหิดล จัดทำรายงานสถานการณ์ผู้สูงอายุไทยประจำปี พ.ศ.2557 เพื่อรวบรวมและนำเสนอสถิติข้อมูลและสถานการณ์การสูงวัยของประชากรไทยในปัจจุบัน และสถานการณ์ของผู้สูงอายุไทยที่คาดว่าจะเกิดขึ้นในอนาคต พร้อมทั้งข้อเสนอแนะถึงแนวทางในการดูแลผู้สูงอายุอย่างเป็นรูปธรรมให้กับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
นายอนุสันต์ เทียนทอง อธิบดีกรมกิจการผู้สูงอายุ กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ กล่าวว่า รายงานฉบับนี้ได้เสนอประเด็นหลักใหญ่ๆ ที่เกิดขึ้นกับผู้สูงอายุในประเทศไทยในปี พ.ศ.2557 ทั้งนี้ ในปี พ.ศ.2557 มีประชากรสูงวัยที่มีอายุ 60 ปีขึ้นไปจำนวนมากถึง 10 ล้านคน หรือคิดเป็นร้อยละ 15 ของประชากรทั้งหมด การสูงวัยของประชากรจึงเป็นประเด็นท้าทายต่อการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมของประเทศไทยมาก เนื่องจากในปี พ.ศ.2557 มีคนวัยแรงงานอายุ 15-59 ปี 4.3 คนต่อผู้สูงอายุ 60 ปี ขึ้นไป 1 คน และในอนาคตในปี พ.ศ.2573 หรืออีกเพียงแค่ 16 ปีข้างหน้าเราจะมีคนในวัยแรงงานเพียง 2 คนต่อผู้สูงอายุ 1 คนเท่านั้น
นอกจากนี้ รายงานยังได้ระบุข้อมูลที่น่าสนใจด้วยว่า ลักษณะการอยู่อาศัยของผู้สูงอายุนั้นจะอยู่อาศัยในครอบครัวที่เล็กลง และผู้สูงอายุจะอยู่ตามลำพังคนเดียวเพิ่มมากขึ้น ซึ่งสาเหตุก็มาจากขนาดของครัวเรือนไทยได้เล็กลงจากเฉลี่ยประมาณ 5 คนต่อครัวเรือนเมื่อ 30 ปีก่อน เหลือเพียงครัวเรือนละ 3 คนในปัจจุบัน สิ่งที่น่าเป็นห่วงคือ จะมีผู้สูงอายุที่อยู่ตามลำพังมากขึ้น โดยในปี พ.ศ.2545 มีผู้สูงอายุที่อยู่ตามลำพังคนเดียวร้อยละ 6 และอยู่ตามลำพังกับคู่สมรสร้อยละ 16
สำหรับปัญหาสุขภาพซึ่งเป็นเรื่องที่มีความสำคัญยิ่งกับผู้สูงอายุ พบว่า ผู้สูงอายุร้อยละ 2 อยู่ในสภาวะติดเตียง ไม่สามารถช่วยเหลือตนเองได้มากถึงร้อยละ 19 โดยปัญหาสุขภาพหลักของผู้สูงอายุคือการมีข้อจำกัดหรือมีความยากลำบากในการเคลื่อนไหวร่างกายร้อยละ 58 รองลงมาคือเรื่องของการได้ยินหรือสื่อความหมายร้อยละ 24 ด้านการมองเห็นร้อยละ 19 ด้านการเรียนรู้ร้อยละ 4 ด้านจิตใจร้อยละ 3 และด้านสติปัญญาอีกร้อยละ 2 นอกจากนี้ ผู้สูงอายุร้อยละ 41 เป็นโรคความดันโลหิต ร้อยละ 18 เป็นโรคบาหวาน และร้อยละ 9 เป็นโรคข้อเข่าเสื่อม นอกจากนี้เมื่อมีปัญหาภัยพิบัติเกิดขึ้นผู้สูงอายุเป็นกลุ่มเสี่ยงที่จะมีโอกาสจะได้รับอันตรายสูงมากขึ้น เพราะอยู่คนเดียวหรืออยู่ตามลำพังกับผู้สูงอายุการดูแลตนเองจะทำได้ยากขึ้น เพราะสภาพร่างกายที่มีโรคประจำตัวและข้อจำกัดในการเคลื่อนไหวด้วย
นายอนุสันต์กล่าวในตอนท้ายว่า สำหรับข้อเสนอแนะเชิงนโยบาย ได้เสนอให้รัฐบาลเร่งวางนโยบายและหามาตรการต่างๆ เพื่อรองรับสังคมสูงอายุดังนี้ 1.สนับสนุนให้ผู้สูงอายุดำรงชีวิตอยู่อย่างมั่น คงและมีศักดิ์ศรี อาทิ สร้างภูมิคุ้มกันให้ผู้สูงอายุในการปกป้องตนเองจากภัยรอบด้าน ด้วยการให้ข่าวสารความรู้ รวมทั้งพัฒนาเครื่องมือกลไกเทคโนโลยีที่เหมาะสมกับการดำรงชีวิตอย่างปลอดภัยและมีศักดิ์ศรี พร้อมทั้งส่งเสริมให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นและชุมชนเข้ามามีบทบาทในการดูแลผู้สูงอายุเพื่อแบ่งเบาภาระของครอบครัว และควรออกแบบ สร้าง และปรับปรุงสิ่งแวดล้อมทั้งอาคารบ้านเรือน ที่อยู่อาศัย ยานพาหนะ รวมทั้งระบบสาธารณูปโภคขั้นพื้นฐานต่างๆ ให้เอื้อต่อการใช้ชีวิตของผู้สูงอายุ
2.เสริมสร้างสุขภาพอนามัยของผู้สูงอายุ โดยการจัดระบบสาธารณสุขให้เอื้อต่อการให้บริการแก่ผู้สูงอายุ และสร้างระบบอาสาสมัครที่ได้รับการฝึกอบรมเกี่ยวกับการดูแลผู้สูงอายุ เพื่อทำหน้าที่เฝ้าระวังและดูแลผู้สูงอายุในชุมชน
3.ส่งเสริมให้ผู้สูงอายุมีหลักประกันรายได้ที่มั่นคงและยั่งยืนด้วยการส่งเสริมให้มีการจ้างงานผู้สูงอายุ ปรับแก้ระเบียบกฎเกณฑ์ กฎหมายที่เป็นอุปสรรคต่อการจ้างงานผู้สูงอายุ รวมทั้งการขยายอายุเกษียณของข้าราชการและรัฐวิสาหกิจด้วย นอกจากนี้แล้วควรสนับสนุนให้กองทุนการออมแห่งชาติมีความเข้มแข็งและมีการบริหารจัดการที่ดีด้วย และควรมุ่งพัฒนาระบบบำนาญให้ครอบคลุมผู้สูงอายุอย่างถ้วนหน้า รวมทั้งปรับปรุงระบบเบี้ยยังชีพให้เหมาะสมกับค่าครองชีพและภาวะเงินเฟ้อที่สูงขึ้นด้วย
4.จัดทำแผนช่วยเหลือผู้สูงอายุเมื่อเกิดภัยพิบัติโดย อปท. ทุกระดับจะต้องรวมผู้สูงอายุไว้เป็น กลุ่มเป้าหมายในแผนการป้องกันรับมือภัยพิบัติ และควรจัดทำคู่มือรับภัยพิบัติที่ให้ความสำคัญกับการช่วยเหลือผู้สูงอายุเป็นพิเศษเมื่อเกิดภัยพิบัติ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องต้องมีการซักซ้อมแผนปฏิบัติการช่วยเหลือผู้สูงอายุตามกำหนดเวลาที่เหมาะสม และให้ข้อมูลความรู้แก่ผู้สูงอายุในการเตรียมความพร้อม การดูแลตนเอง และการฟื้นฟูหากเกิดภัยพิบัติด้วย.