คำพิพากษาฎีกาที่ 1508/57
เลิกจ้างเพราะเหตุขาดทุน ปรับโครงสร้างองค์กร ลดอัตรากำลังคนลง ถือเป็นการเลิกจ้างที่เป็นธรรม
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยจดทะเบียนเป็นนิติบุคคลประเภทบริษัทมหาชนจำกัด โจทก์เข้าทำงานเป็นลูกจ้างจำเลยวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2548 ในตำแหน่งผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ อัตราเงินเดือน 180,000 บาท กำหนดจ่ายเงินเดือนทุกก่อนวันสิ้นเดือนหนึ่งวัน ต่อมาเมื่อวันที่ 30 พฤศจิกายน 2549 จำเลยได้มีหนังสือเลิกจ้างโจทก์ โดยอ้างว่าจำเลยได้มีการปรับเปลี่ยนโครงสร้างองค์กรและอัตรากำลัง โดยให้โจทก์ทำงานวันสุดท้ายถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2549 การกระทำของจำเลยดังกล่าวเป็นการเลิกจ้างโจทก์โดยไม่มีความผิด จำเลยยังไม่ขาดทุนถึงขนาดต้องเลิกจ้างโจทก์ การที่จำเลยเลิกจ้างโจทก์จึงเป็นการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรมทำให้โจทก์ได้รับความเสียหาย จำเลยต้องรับผิดชดใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์ เนื่องจากการทำงานไม่ครบกำหนดเวลา 5 ปี ตามที่นายสุริยา ลาภวิสุทธิสินในฐานะผู้กระทำการแทนจำเลยได้ตกลงไว้กับโจทก์ คิดเป็นค่าเสียหายในส่วนนี้เป็นเงิน 6,660,000 บาท เงินโบนัสจำนวน 180,000 บาท ค่าเสียหายจากการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรมจำนวน 4,140,000 บาท รวมเป็นเงินที่จำเลยจะต้องชดใช้ให้แก่โจทก์ 10,980,000 บาท ขอให้บังคับจำเลยจ่ายเงินจำนวน 10,980,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันถัดจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยให้การว่า จำเลยมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนโครงสร้างองค์กรและอัตรากำลัง จึงเลิกจ้างโจทก์โดยจ่ายค่าชดเชยให้ตามกฎหมายจำนวน 540,000 บาท และโจทก์ได้รับเงินครบถ้วนแล้ว นายสุริยามิได้เป็นกรรมการผู้มีอำนาจใดในบริษัทจำเลยข้อตกลงระหว่างโจทก์กับนายสุริยาถ้าหากมีก็ไม่ผูกพันจำเลย ระยะเวลา 5 ปี ตามที่โจทก์กล่าวอ้างนั้นเป็นเพียงความคาดหวังของโจทก์เท่านั้น การเลิกจ้างโจทก์ชอบด้วยกฎหมายแล้ว จำเลยไม่ต้องรับผิดชำระค่าเสียหายแก่โจทก์ ขอให้ยกฟ้อง
ศาลแรงงานกลางพิจารณาแล้ว พิพากษาให้จำเลยจ่ายค่าเสียหายจากการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรมจำนวน 360,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับถัดจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยอุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีแรงงานตรวจสำนวนประชุมปรึกษาแล้ว ศาลแรงงานกลางฟังข้อเท็จจริงเป็นยุติและวินิจฉัยว่า จำเลยเป็นนิติบุคคลประเภทบริษัทมหาชนจำกัด โจทก์เจ้าทำงานเป็นลูกจ้างจำเลยเมื่อวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2548 ตำแหน่งผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการอัตราค่าจ้างเดือนละ 180,000 บาท กำหนดจ่ายค่าจ้างทุกก่อนวันสิ้นเดือนหนึ่งวัน โดยโจทก์และจำเลยไม่ได้ทำสัญญาจ้างแรงงานเป็นหนังสือ มีแต่หลักฐานใบสมัครงานของโจทก์เอกสารหมาย ล.10 ต่อมาวันที่ 30 พฤศจิกายน 2549 จำเลยได้มีหนังสือเลิกจ้างโจทก์ระบุสาเหตุว่าเนื่องจากจำเลยได้มีการปรับเปลี่ยนโครงสร้างองค์กรและอัตรากำลัง โดยให้โจทก์ทำงานวันสุดท้ายถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2549 และจ่ายค่าชดเชยจำนวน 540,000 บาท โจทก์ได้รับเงินค่าชดเชยไปจากจำเลยครบถ้วนแล้ว ในตอนแรกที่จะเข้าทำงานกับบริษัทจำเลย นายสุริยา ลาภวิสุทธิสิน มีห้องทำงานอยู่ที่ตึกของจำเลยชั้นที่ 21 เป็นผู้สัมภาษณ์โจทก์และตกลงเรื่องเงินเดือนด้วย นายสุริยากับพี่ๆ น้องๆ ได้ร่วมกันก่อตั้งบริษัทจำเลย พฤติการณ์ดังกล่าวจึงถือได้ว่าจำเลยได้เชิดให้นายสุริยาเป็นตัวแทนของจำเลย หรือนายสุริยาเชิดตัวเองเป็นตัวแทนของจำเลย ดังนั้น นายสุริยาจึงมีอำนาจตัดสินใจรับโจทก์เข้าทำงานแทนจำเลยได้ จำเลยจ่ายค่าจ้างให้โจทก์มากกว่าที่โจทก์ได้รับจากบริษัทเดิมถึง 60,000 บาท ข้อเท็จจริงยังรับฟังไม่ได้ว่าจำเลยได้ตกลงจ้างโจทก์เข้าทำงานเป็นลูกจ้างจำเลยเป็นเวลา 5 ปี จึงถือได้ว่าจำเลยจ้างโจทก์เป็นลูกจ้างโดยไม่มีกำหนดระยะเวลา ดังนั้น จำเลยซึ่งเป็นนายจ้างมีสิทธิตามกฎหมายที่จะบอกเลิกจ้างโจทก์เมื่อใดก็ได้ ไม่ถือว่าจำเลยปฏิบัติผิดสัญญาจ้างแรงงานต่อโจทก์ และโจทก์ไม่เสียหายจึงไม่มีสิทธิเรียกร้องค่าเสียหายจากจำเลยในกรณีจำเลยผิดสัญญาจ้างแรงงานได้ สำหรับสิทธิเรียกร้องเงินโบนัสของโจทก์นั้น ตามข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงานของจำเลยตามเอกสารหมาย ล.3 หน้า 32 หมวด 12 สวัสดิการ ข้อ 1.4 เงินโปบัส ระบุว่าการจ่ายเงินโบนัสถือเป็นประเพณีอย่างหนึ่งของบริษัท ซึ่งขึ้นอยู่กับผลการปฏิบัติและผลตอบแทนจากพนักงานในการปฏิบัติหน้าที่ ซึ่งจำนวนเงินโบนัสจะแตกต่างกันไปในแต่ละปีสำหรับพนักงาน ดังนี้ เห็นว่า ตามข้อตกลงให้ถือว่าการจ่ายเงินโบนัสถือเป็นประเพณีอย่างหนึ่งของบริษัท ซึ่งหมายถึงว่าทุกปีบริษัทจะต้องจ่ายเงินโบนัสให้แก่ลูกจ้างทุกปีเป็นประเพณี แต่อยู่ในเงื่อนไขขึ้นอยู่กับผลการปฏิบัติและผลตอบแทนจากพนักงานในการปฏิบัติหน้าที่ ซึ่งข้อเท็จจริงฟังได้ต่อไปว่าในปี 2549 ทางจำเลยยังไม่มีการพิจารณาผลการปฏิบัติและผลตอบแทนจากพนักงานในการปฏิบัติหน้าที่และไม่มีการกำหนดจำนวนเงินโบนัสประจำปี 2549 ว่าจะให้เท่าไร และในปี 2549 จำเลยก็ไม่มีการจ่ายเงินโบนัสให้แก่พนักงานลูกจ้างทั้งหมดของจำเลย ดังนั้น โจทก์จึงไม่มีสิทธิเรียกร้องเงินโบนัสในปี 2549 จากจำเลย เหตุผลที่จำเลยเลิกจ้างโจทก์เนื่องจากได้มีการปรับเปลี่ยนโครงสร้างและอัตรากำลัง เพราะจำเลยมีปัญหาในเรื่องการขาดสภาพคล่องต้องลดค่าใช้จ่ายต่างๆ และให้มีการลดพนักงาน โดยในปี 2549 จำเลยขาดทุน 3,059,506,835 บาท ปี 2549 จำเลยขาดทุน 2,003,479,021 บาท อย่างไรก็ตาม แม้จำเลยจะประสบกับการขาดทุนในปี 2548 และปี 2549 เป็นจำนวนมาก แต่ยังไม่ถึงขนาดที่จำเลยต้องเลิกกิจการ การเลิกจ้างพนักงานลูกจ้างรวมทั้งโจทก์ประมาณ 20 คน โดยไม่ปรากฏข้อเท็จจริงว่าจำเลยได้ปรับปรุงโครงสร้างองค์กรและอัตรากำลังโดยจำเลยได้จัดหางานให้ในตำแหน่งอื่นหรือขอลดค่าจ้างกับโจทก์แต่อย่างใด จึงถือว่าการเลิกจ้างของจำเลยไม่มีเหตุอันสมควร การเลิกจ้างของจำเลยจึงเป็นการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรม โจทก์จึงมีสิทธิเรียกร้องค่าเสียหายจากจำเลยแต่ที่โจทก์ขอคิดค่าเสียหายจากการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรมเป็นเงินจำนวน 4,140,000 บาท นั้น สูงเกินไป เห็นสมควรลดลง เมื่อคำนึงถึงอายุโจทก์ขณะถูกเลิกจ้างอายุ 52 ปี ระยะเวลาการทำงานของโจทก์เป็นเวลา 1 ปี 11 เดือน ความเดือดร้อนของโจทก์เมื่อถูกเลิกจ้าง มูลเหตุแห่งการเลิกจ้างและเงินค่าชดเชยที่โจทก์ได้รับไปจากจำเลยแล้ว เห็นสมควรกำหนดค่าเสียหายเป็นเงินจำนวน 360,000 บาท ให้จำเลยชดใช้ให้แก่โจทก์ ส่วนเรื่องดอกเบี้ยของค่าเสียหายจากการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรมเป็นหนี้เงิน จำเลยจึงต้องเสียดอกเบี้ยให้โจทก์ระหว่างผิดนัดร้อยละ 7.5 ต่อปี ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 224 วรรคหนึ่ง แต่โจทก์ฟ้องขอมานับถัดจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ จึงคิดให้ตามที่โจทก์ขอมา
คดีมีปัญหาอุทธรณ์ของจำเลยว่า การที่จำเลยเลิกจ้างโจทก์เป็นการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรมหรือไม่ โดยจำเลยอุทธรณ์ในทำนองว่า จำเลยประสบภาวะขาดทุนในปี 2548 – 2549 มีความจำเป็นต้องลดค่าใช้จ่ายจึงต้องเลิกจ้างโจทก์นั้น เห็นว่าในการพิจารณาว่าการเลิกจ้างใดเป็นการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรมนั้น จะต้องพิจารณาถึงสาเหตุในการเลิกจ้างว่านายจ้างมีเหตุอันสมควรที่จะเลิกจ้างหรือไม่ ซึ่งจะต้องพิจารณาถึงเหตุทั้งจากนายจ้างและลูกจ้างด้วย คดีนี้จำเลยมีปัญหาเรื่องของการขาดสภาพคล่องโดยขาดทุนในปี 2548 จำนวน 3,059,506,835 บาท และขาดทุนในปี 2549 จำนวน 2,003,479,021 บาท รวมขาดทุนสะสม 5,062,985,856 บาท แต่จำเลยมีทุนจดทะเบียนดำเนินการเพียง 4,453,349,970 บาท ปรากฏตามหนังสือรับรองของกรมพัฒนาธุรกิจการค้าเอกสารหมาย ล.4 การที่จำเลยเลิกจ้างโจทก์ด้วยเหตุผลในการปรับโครงสร้างในการบริหารกิจการของจำเลยเพื่อลดการขาดทุนดังกล่าว จึงเป็นการกระทำที่จำเป็นในภาวะการณ์ที่จำเลยขาดทุนจำนวนมาก การที่จำเลยเลิกจ้างโจทก์เพราะเหตุดังกล่าว จึงเป็นการเลิกจ้างที่มีเหตุอันสมควรแล้ว ไม่เป็นการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรมอุทธรณ์ของจำเลยฟังขึ้น
พิพากษากลับ ให้ยกฟ้องโจทก์
เรียบเรียงโดย บริษัท กฎหมายปาระมี จำกัด