คำพิพากษาฎีกาที่ 1662/57
มีหน้าที่ตรวจสอบและนับเงิน เอาเงินส่วนต่างกลับบ้าน โดยไม่แจ้งให้คนอื่นทราบ ถือว่า ฝ่าฝืนข้อบังคับฯ กรณีร้ายแรง และทุจริตต่อหน้าที่
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เคยเป็นพนักงานของจำเลยตำแหน่งสุดท้ายเป็นผู้จัดการได้รับมอบหมายให้ดูแลการเงินและแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศที่หน่วยแลกเปลี่ยนสนามบินสุวรรณภูมิ ในหน้าที่ผู้รักษาเงิน เมื่อวันที่ 8 พฤศจิกายน 2549 ในผลัดเวลา 21 น. – 9 น. ของวันถัดไป โจทก์รับและตรวจนับเงินจากพนักงานฝ่ายเทรลเลอร์พบว่ามีเงินเกินมาเป็นจำนวน 800 บาท โดยไม่ทราบสาเหตุ ระหว่างนั้นโจทก์มีอาการปวดท้องกระทันหันจึงเก็บเงินไว้เพื่อทำกิจส่วนตัว เมื่อกลับมาได้ตรวจนับเงินใหม่พบว่ามียอดเงินเกินมาอีกจำนวน 5,000 บาท และโจทก์มีอาการปวดท้องขึ้นมาอีก จึงรีบร้อนเก็บเงินและได้นำเงินส่วนที่เกินเป็นเงินจำนวน 5,000 บาท เก็บไว้ในเสื้อคลุม เมื่อทำการปิดยอดบัญชีโดยพลั้งเผลอและลืมไปว่ามียอดเงินเกินในเสื้อคลุมอีกจึงไม่ได้แจ้งยอดเงินดังกล่าวให้พนักงานผลัดต่อไปทราบตามระเบียบ เมื่อพนักงานผลัดต่อไปสอบถามโจทก์จึงนึกขึ้นได้ว่ามีเงินอยู่ในเสื้อคลุมจำนวน 5,000 บาท โจทก์จึงได้แจ้งให้พนักงานผู้นั้นทราบพร้อมกับรีบโอนเงินเข้าบัญชีให้ทันที จำเลยได้ตั้งกรรมการสอบสวนกล่าวหาว่าโจทก์กระทำการทุจริตต่อหน้าที่อย่างร้ายแรงทำให้จำเลยได้รับความเสียหาย และมีคำสั่งที่ 949/2550 (ที่ถูก 494/2550) ว่าโจทก์กระทำความผิดทุจริตต่อหน้าที่ ซึ่งเป็นการฝ่าฝืนข้อบังคับและคำสั่งของธนาคารเป็นกรณีร้ายแรงลงโทษโดยให้ออกจากการเป็นพนักงาน โจทก์เห็นว่าการสอบสวนและคำสั่งลงโทษไม่ได้พิจารณาถึงข้อเท็จจริงและเหตุผลแห่งการกระทำผิดโดยละเอียดรอบคอบ และเป็นการกลั่นแกล้งโจทก์เนื่องจากพฤติการณ์และการกระทำของโจทก์มิได้มีเจตนาหรือจงใจกระทำการทุจริตเป็นเพียงการกระทำผิดระเบียบในการทำงานแต่จำเลยตั้งข้อหาเกินความจริงและสอบสวนให้ได้ความผิดตามข้อกล่าวหาเพื่อเป็นข้ออ้างในการเลิกจ้าง โดยไม่ต้องจ่ายเงินที่โจทก์ควรได้รับตามกฎหมาย การกระทำของจำเลยจึงไม่สุจริตไม่ชอบด้วยกฎหมาย และเป็นการเลิกจ้างโจทก์โดยไม่เป็นธรรม ทำให้โจทก์ได้รับความเสียหายจากการขาดรายได้ที่เป็นเงินเดือนในอัตราสุดท้ายเดือนละ 44,840 บาท และจะได้รับการปรับขึ้นทุกปี ปีละ 5% นับแต่วันถูกให้ออกจนถึงวันเกษียณอายุทำงานเป็นเงินจำนวน 4,044,732 บาท เงินค่าครองชีพเดือนละ 800 บาท นับจากวันที่ 16 สิงหาคม 2550 – 31 ธันวาคม 2556 เป็นเงิน 61,200 บาท เงินโบนัสประจำปีๆละ 2 ครั้ง จะได้รับครั้งละเป็นจำนวนเงินเดือน 1 เดือน นับแต่วันที่ 16 สิงหาคม 2550 - 30 ธันวาคม 2556 เป็นเงินจำนวน 685,332 บาท ค่าล่วงเวลาแบบเหมาจ่ายเดือนละ 10,000 บาท นับแต่วันที่ 16 สิงหาคม 2550 - 31 ธันวาคม 2556 เป็นเงินจำนวน 765,000 บาท เงินเพิ่มพิเศษเมื่อทำงานจนถึงเกษียณอายุจำนวน 10 เดือน ของเงินเดือนอัตราสุดท้ายขณะเกษียณในอัตราเดือนละ 60,089 บาท เป็นเงินจำนวน 600,890 บาท และเงินสมทบจากกองทุนสำรองเลี้ยงชีพซึ่งขอคิดถึงวันที่ 16 สิงหาคม 2550 เป็นเงินจำนวน 1,056,162 บาท รวมเป็นเงินทั้งสิ้น 7,213,316 บาท ขอให้พิพากษาคำสั่งของจำเลยที่ 949/2550 (ที่ถูก 494/2550) ลงวันที่ 16 สิงหาคม 2550 ไม่ชอบด้วยกฎระเบียบหรือกฎหมายและให้เพิกถอนคำสั่งดังกล่าว กับให้บังคับจำเลยชำระเงินจำนวน 7,213,316 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 15 ต่อปี นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยให้การว่า จำเลยให้โจทก์ออกจากงานตั้งแต่วันที่ 16 สิงหาคม 2550 และโจทก์รับทราบคำสั่งตั้งแต่วันดังกล่าวแล้ว เมื่อมาฟ้องคดีวันที่ 25 กันยายน 2551 เกินกว่า 1 ปี คดีจึงขาดอายุความ โจทก์เคยเป็นลูกจ้างของจำเลย จำเลยได้มีคำสั่งที่ 494/2550 ลงวันที่ 16 สิงหาคม 2550 ให้โจทก์ออกจากการเป็นพนักงานเพราะระหว่างโจทก์เป็นพนักงานของจำเลย ได้รับมอบหมายให้ปฏิบัติหน้าที่ผู้รักษาและดูแลตรวจนับเงินบาท กลุ่มแลกเปลี่ยนเงินสนามบินสุวรรณภูมิ สำนักปริวรรต โจทก์ได้กระทำการทุจริตต่อหน้าที่โดยไม่นำส่งเงินในความครอบครองให้แก่จำเลยให้ครบจำนวนและไม่แจ้งเหตุว่าพบเงินเกินจากบัญชีให้แก่พนักงานผลัดต่อไปทราบ จำเลยได้ตั้งคณะทำงานสอบสวนและคณะทำงานพิจารณากำหนดโทษทางวินัยพนักงานแล้วเห็นว่าโจทก์ไม่ปฏิบัติตามขั้นตอนการปฏิบัติงานในกรณีที่มีเงินเกินบัญชีแล้วไม่รายงานให้ผู้บังคับบัญชาทราบและได้นำเงินที่เกินบัญชีจำนวน 5,000 บาท กลับบ้าน ถือว่าเป็นการทุจริต ซึ่งเป็นความผิดวินัยร้ายแรง และมีการเปรียบเทียบโทษกับการกระทำการทุจริตของพนักงานอื่นด้วย มิได้กลั่นแกล้งโจทก์ มิได้เลือกปฏิบัติ จำเลยเป็นสถาบันการเงินที่ได้รับความไว้วางใจจากประชาชน การทำงานเกี่ยวกับเงินสดจะต้องโปร่งใสและเป็นไปตามระเบียบแบบแผนที่กำหนดอย่างเคร่งครัด จึงเป็นการใช้สิทธิโดยสุจริตตามสัญญาจ้างแรงงาน โจทก์มิได้รับความเสียหายหรือขาดประโยชน์ตามที่อ้างเพราะโจทก์ยังไม่ได้ทำงานเพียงแต่คาดหวังว่าจะได้รับเงินจากจำเลย ส่วนเงินสมทบกองทุนสำรองเลี้ยงชีพจะจ่ายให้พนักงานที่เกษียณอายุหรือออกโดยมิได้มีคำสั่งลงโทษเท่านั้น จำเลยจึงไม่มีหน้าที่ตามกฎหมายหรือตามสัญญาจ้างแรงงานที่จะต้องจ่ายเงินตามฟ้องให้โจทก์ ขอให้ยกฟ้อง
ศาลแรงงานกลางพิจารณาแล้ว พิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีแรงงานตรวจสำนวนประชุมปรึกษาแล้ว ศาลแรงงานกลางฟังข้อเท็จจริงว่า ขณะโจทก์เป็นลูกจ้างของจำเลยเมื่อวันที่ 8 พฤศจิกายน 2549 ได้ปฏิบัติงานในตำแหน่งผู้รักษาเงินและดูแลการตรวจนับเงิน กลุ่มแลกเปลี่ยนเงินที่สนามบินสุวรรณภูมิ ผลัดที่ 1 ระหว่างเวลา 21 น. – 9 น. ขณะวันที่ 9 พฤศจิกายน 2549 โจทก์ตรวจนับเงินและกระทบยอดเงินแล้วมีเงินสดเกินอยู่จำนวน 5,000 บาท โจทก์ได้นำเอาเงินส่วนหนึ่งจำนวน 5,000 บาท ติดตัวกลับบ้าน ทั้งไม่ได้แจ้งให้พนักงานผลัดต่อไปหรือผู้บังคับทราบ อันเป็นการฝ่าฝืนระเบียบข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงาน ต่อมาเมื่อวันที่ 16 สิงหาคม 2550 จำเลยมีคำสั่งที่ 494/2550 ลงโทษโจทก์โดยให้ออกจากการเป็นพนักงาน ปัญหาจะต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของโจทก์ว่า กรณีเป็นการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรมหรือไม่ โดยโจทก์อ้างเหตุในอุทธรณ์ว่าการกระทำของโจทก์ไม่เป็นการทุจริตนั้น เห็นว่า พฤติการณ์ของโจทก์ที่ตรวจนับเงินและกระทบยอดเงินแล้วพบว่ามีเงินสดเกินอยู่จำนวน 5,882 บาท แต่นอกจากโจทก์ไม่ได้แจ้งให้พนักงานในผลัดต่อไปหรือแจ้งให้ผู้บังคับบัญชาทราบแล้ว โจทก์ยังได้นำเอาเงินบางส่วนจำนวน 5,000 บาท ติดตัวกลับบ้านอีกด้วย แสดงให้เห็นว่าโจทก์ในฐานะพนักงานที่มีตำแหน่งสูงระดับผู้จัดการสำนักปริวรรต แต่กลับไม่ใส่ใจที่จะเคร่งครัดระเบียบข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงาน ในส่วนที่เกี่ยวข้องกับหน้าที่ที่สำคัญซึ่งได้รับมอบหมายและรับความไว้เนื้อเชื่อใจจากจำเลยซึ่งเป็นสถาบันการเงินที่ได้รับการยอมรับและไว้วางใจจากประชาชนทั่วไป ให้รับผิดชอบเป็นผู้รักษาเงินและดูแลการตรวจนับเงินในการแลกเปลี่ยนเงินตรา แต่โจทก์กลับทำผิดระเบียบข้อบังคับเกี่ยวกับการเก็บรักษาเงินเสียเอง นอกจากจะเป็นการฝ่าฝืนระเบียบข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงานที่เป็นกรณีร้ายแรงแล้ว แม้เงินจะไม่มากมีเพียงจำนวน 5,000 บาท ก็ตาม การกระทำของโจทก์ยังถือว่าเป็นการทุจริตอีกด้วย จำเลยในฐานะนายจ้างจึงมีสิทธิเลิกจ้างโจทก์ได้ไม่เป็นการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรม ที่ศาลแรงงานกลางพิพากษามานั้น ชอบแล้ว อุทธรณ์ของโจทก์ฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน.
เรียบเรียงโดย บริษัท กฎหมายปาระมี จำกัด