คำพิพากษาฎีกาที่ 1302 - 1303/57
บริษัทจำกัด จัดตั้งขึ้นตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์แม้จะมีรัฐถือหุ้นเกิน 50 % ก็ไม่ถือเป็นรัฐวิสาหกิจตามผลของกฎหมาย การกระทำละเมิดของพนักงานจึงบังคับตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ว่าด้วยการละเมิด (เรียกค่าเสียหาย)
โจทก์ทั้งสิบสำนวนฟ้องว่า โจทก์ทั้งสิบเป็นพนักงานของจำเลยสังกัดฝ่ายโรงงานไม้อัดไทย สระบุรี ตำแหน่งหน้าที่ วันเข้าทำงาน และอัตราจ้างปรากฏตามคำฟ้องของโจทก์แต่ละคน เมื่อวันที่ 13 กันยายน 2548 และวันที่ 20 ธันวาคม 2548 จำเลยแต่งตั้งคณะกรรมการสอบสวนหาข้อเท็จจริงและคณะกรรมการสอบสวนทางวินัยกรณีการรับซื้อไม้ทำเยื่อที่ฝ่ายโรงงานไม้อัดไทย สระบุรี ผลการสอบสวนสรุปว่าโจทก์ทั้งสิบและนายธรรมรัตน์ บุญเพ็ง มีความผิด เนื่องจากรับซื้อไม้ทำเยื่อขนาดเล็กแต่จ่ายแพงในราคาไม้ทำเยื่อขนาดใหญ่ ทำให้จำเลยได้รับความเสียหาย วันที่ 8 พฤษภาคม 2549 จำเลยมีคำสั่งที่ 49/2549 ลงโทษทางวินัยแก่โจทก์ทั้งสิบและนายธรรมรัตน์ กับให้ร่วมกันชดใช้ค่าเสียจำนวน 3,219,855 บาท แก่จำเลย โจทก์ทั้งสิบอุทธรณ์คำสั่งวันที่ 19 กรกฎาคม 2549 จำเลยมีคำสั่งที่ 90/2549 ลงโทษลดขั้นเงินเดือนค่าจ้างโจทก์ทั้งสิบและนายธรรมรัตน์คนละ 2 ขั้น กับให้ร่วมกันชดใช้ค่าเสียหายจำนวน 1,645,001.08 บาท แก่จำเลย โจทก์ทั้งสิบไม่เห็นด้วยกับคำสั่งดังกล่าว เพราะโจทก์ทั้งสิบไม่ได้กระทำความผิดตามที่จำเลยกล่าวหา การสอบสวนโจทก์ทั้งสิบไม่เป็นธรรมและไม่ถูกต้องตามข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงานของจำเลย ขอให้เพิกถอนคำสั่งที่ 49/2549 ลงวันที่ 8 พฤษภาคม 2549 และคำสั่งที่ 90/2549 ลงวันที่ 19 กรกฎาคม 2549 ของจำเลย กับให้บังคับจำเลยคืนเงินเดือนค่าจ้าง 2 ขั้น ที่ลดไปแล้วและจะถูกลดพร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันลดเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ทั้งสิบ
จำเลยทุกสำนวนให้การว่า จำเลยเป็นนิติบุคคลประเภทบริษัทจำกัด จดทะเบียนตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ เป็นรัฐวิสาหกิจเนื่องจากองค์การอุตสาหกรรมป่าไม้ถือหุ้นอยู่เกินร้อยละ 50 ตามพระราชบัญญัติวิธีการงบประมาณ พ.ศ. 2502 และตามพระราชบัญญัติแรงงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ พ.ศ. 2543 สังกัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมโรงงานไม้อัดไทย สระบุรี เป็นหน่วยงานในสังกัดจำเลย โจทก์ทั้งสิบเป็นพนักงานของจำเลย ประมาณเดือนสิงหาคม 2548 โจทก์ทั้งสิบรับซื้อไม้ทำเยื่อขนาดเล็กแต่จ่ายแพงในราคาไม้ทำเยื่อขนาดใหญ่ ซึ่งไม่ถูกต้องตามหลักเกณฑ์และวิธีการตรวจรับไม้ทำเยื่อของจำเลย ทำให้จำเลยได้รับความเสียหาย ขณะเกิดเหตุ โจทก์ที่ 1 ทำหน้าที่ผู้จัดการฝ่ายโรงงานไม้อัดไทย สระบุรี มีหน้าที่รับผิดชอบการบริหารงานของฝ่ายโรงงานไม้อัดไทย สระบุรี โจทก์ที่ 2 ทำหน้าที่หัวหน้ากองจัดการ มีหน้าที่ควบคุมดูแลการจัดซื้อและออกใบสั่งซื้อไม้ทำเยื่อ โจทก์ที่ 4 ทำหน้าที่หัวหน้ากองผลิต มีหน้าที่ควบคุมดูแลการตรวจรับไม้ทำเยื่อในกระบวนการผลิตให้ถูกต้องตามเงื่อนไขของจำเลย ส่วนโจทก์ที่ 3 และโจทก์ที่ 5 ถึงที่ 10 เป็นกรรมการตรวจรับไม้ มีหน้าที่ตรวจรับไม้ทำเยื่อที่มีผู้นำมาขายให้เป็นไปตามที่กำหนดในเงื่อนไขใบสั่งซื้อ การแต่งตั้งคณะกรรมการสอบสวนและการพิจารณาลงโทษทางวินัยแก่โจทก์ทั้งสิบเป็นไปตามขั้นตอนและถูกต้องตามข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงานแล้ว ขอให้ยกฟ้อง
ศาลแรงงานกลางพิจารณาแล้ว พิพากษายกฟ้องโจทก์ทั้งสิบ
โจทก์ทั้งสิบอุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
ระหว่างการพิจารณาของศาลฎีกาโจทก์ที่ 2 – 4 และที่ 7 – 10 ขอถอนอุทธรณ์ ศาลฎีกาอนุญาต เหลือโจทก์รวม 2 คน
ศาลฎีกาแผนกคดีแรงงานตรวจสำนวนประชุมปรึกษาแล้ว ศาลแรงงานกลางฟังข้อเท็จจริงว่า โจทก์ทั้งสิบเป็นพนักงานของจำเลย สังกัดฝ่ายโรงงานไม้อัดไทย สระบุรี ตำแหน่งงานและอัตราค่าจ้างเป็นไปตามคำฟ้องของโจทก์แต่ละคน เมื่อเดือนสิงหาคม 2548 จำเลยตรวจสอบพบว่าฝ่ายโรงงานไม้อัดไทย สระบุรี รับซื้อไม้ทำเยื่อขนาดเล็กแต่จ่ายแพงในราคาไม้ทำเยื่อขนาดใหญ่ ซึ่งไม่ถูกต้องตามหลักเกณฑ์และวิธีการตรวจรับไม้ทำเยื่อของจำเลยทำให้จำเลยได้รับความเสียหาย จำเลยแต่งตั้งคณะกรรมการสอบสวนหาข้อเท็จจริงเกี่ยวกับกรณีดังกล่าวขึ้น ผลสรุปว่าโจทก์ทั้งสิบและนายธรรมรัตน์ บุญเพ็งมีความผิด วันที่ 8 พฤษภาคม 2549 จำเลยจึงมีคำสั่งที่ 49/2549 ลงโทษทางวินัยแก่โจทก์ทั้งสิบและนายธรรมรัตน์ กับให้ร่วมกันชดใช้ค่าเสียหายจำนวน 3,219,855 บาท แก่จำเลย โจทก์ทั้งสิบอุทธรณ์คำสั่ง ต่อมาวันที่ 19 กรกฎาคม 2549 จำเลยมีคำสั่งที่ 90/2549 ลงโทษลดขั้นเงินเดือนค่าจ้างโจทก์ทั้งสิบและนายธรรมรัตน์คนละ 2 ขั้น กับให้ร่วมกันชดใช้ค่าเสียหายจำนวน 1,645,001.08 บาท แก่จำเลย ขณะเกิดเหตุโจทก์ที่ 1 ทำหน้าที่ผู้จัดการฝ่ายโรงงานไม้อัดไทย สระบุรี มีหน้าที่รับผิดชอบการบริหารงานของฝ่ายโรงงานไม้อัดไทย โจทก์ที่ 2 ทำหน้าที่หัวหน้ากองจัดการ มีหน้าที่ควบคุมดูแลการจัดซื้อและออกใบสั่งซื้อไม้ทำเยื่อ โจทก์ที่ 4 ทำหน้าที่หัวหน้ากองผลิตมีหน้าที่ควบคุมดูแลการตรวจรับไม้ทำเยื่อในกระบวนการผลิตให้ถูกต้องตามเงื่อนไขของจำเลย โจทก์ที่ 3 และโจทก์ที่ 5 – 10 เป็นกรรมการตรวจรับไม้ มีหน้าที่ตรวจรับไม้ทำเยื่อที่มีผู้นำมาขายให้เป็นไปตามที่กำหนดในเงื่อนไขใบสั่งซื้อ แล้ววินิจฉัยว่า โจทก์ทั้งสิบกระทำความผิดและมีความผิดตามที่จำเลยกล่าวหา การแต่งตั้งคณะกรรมการสอบสวนและการพิจารณาลงโทษทางวินัยแก่โจทก์ทั้งสิบจำเลยได้กระทำไปภายในกรอบของข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงานของจำเลยโดยไม่ปรากฏว่าจำเลยใช้ดุล พินิจกลั่นแกล้งลงโทษโจทก์ทั้งสิบทั้งการพิจารณากำหนดค่าเสียหายโดยเปรียบเทียบจากปริมาณไม้ทำเยื่อ ณ วันที่ 11 สิงหาคม 2548 เป็นประโยชน์แก่โจทก์ทั้งสิบอยู่แล้ว ไม่มีเหตุที่จะสั่งตามขอ
ที่โจทก์ที่ 1 และที่ 6 อุทธรณ์ประการแรกตามข้อ 2.1 ว่าข้อเท็จจริงตามหนังสือร้องเรืยนของนายธวัสชัย พงษาปาน กรณีที่โจทก์ทั้งสิบถูกกล่าวหาว่ากระทำความผิดเป็นการเข้าใจผิดคลาดเคลื่อนจากข้อเท็จจริงนั้น อุทธรณ์ของโจทก์ที่ 1 และที่ 6 ดังกล่าวเพื่อให้เห็นว่าโจทก์ทั้งสิบมิได้กระทำความผิดตามที่ถูกกล่าวหา จึงเป็นอุทธรณ์โต้แย้งดุลพินิจในการรับฟังพยานหลักฐานของศาลแรงงานกลาง เป็นอุทธรณ์ในข้อเท็จจริงต้องห้ามมิให้อุทธรณ์ตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ.2522 มาตรา 54 วรรคหนึ่ง ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
ส่วนที่โจทก์ที่ 1 และที่ 6 อุทธรณ์ประการต่อไปตามข้อ 2.2.1- 2.2.3 โดยอ้างว่าจำเลยแต่งตั้งคณะกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริงหลายคณะทำให้สับสนไม่รู้ว่าการลงโทษตามความเห็นขอของคณะไหนถูกต้องตามข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงานของจำเลยและเป็นธรรมแก่โจทก์ทั้งสิบ และโทษที่ลงแก่โจทก์ที่ 2- 10 เป็นอำนาจของผู้อำนวยการ เมื่อผู้อำนวยลงนามเห็นด้วยตามความเห็นของคณะกรรมการชุดที่ 2 จะยุติในชั้นใดระหว่างผู้อำนวยการกับคณะกรรมการบริหารของจำเลยนั้นอุทธรณ์โจทก์ที่ 1 และที่ 6 ประการนี้มิได้โต้แย้งคำวินิจฉัยของศาลแรงงานกลางว่าไม่ถูกต้องอย่างไร และที่ถูกต้องควรเป็นอย่างไร จึงเป็นอุทธรณ์ที่ไม่ชัดแจ้ง ไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 225 วรรคหนึ่ง ประกอบพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. 2522 มาตรา 31 ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยเช่นกัน
สำหรับอุทธรณ์โจทก์ที่ 1 และที่ 6 ประการสุดท้ายตามข้อ 2.2.4 ซึ่งโจทก์ที่ 1 และที่ 6 อุทธรณ์ว่า จำเลยเป็นรัฐวิสาหกิจ ซึ่งตามพระราชบัญญัติความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่ พ.ศ. 2539 มาตรา 8 และมาตรา 10 มิให้นำหลักลูกหนี้ร่วมมาใช้บังคับ การที่จำเลยลงโทษโจทก์ทั้งสิบให้รับผิดในฐานะลูกหนี้ร่วมกันจึงไม่ชอบนั้น เห็นว่า ปัญหาดังกล่าวตามอุทธรณ์แม้จะเป็นข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในชั้นพิจารณาของศาลแรงงานกลาง แต่เป็นปัญหาข้อกฏหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน ศาลฎีกาเห็นสมควรวินิจฉัยให้ ซึ่งข้อเท็จจริงที่ยุติในชั้นพิจารณาของศาลแรงงานกลางปรากฏตามหนังสือรับรองของสำนักงานทะเบียนหุ้นส่วนบริษัทกรุงเทพมหานคร กรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์ ว่าจำเลยเป็นนิติบุคคลประเภทบริษัทจำกัด จดทะเบียนตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ดังนั้นแม้จำเลยจะเป็นรัฐวิสาหกิจตามพระราชบัญญัติวิธีการงบประมาณ พ.ศ. 2502 และตามพระราชบัญญัติแรงงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ พ.ศ. 2543 เนื่องจากองค์การอุตสาหกรรมป่าไม้ถือหุ้นอยู่เกินกว่าร้อยละ 50 แต่จำเลยมิได้เป็นรัฐวิสาหกิจที่ตั้งขึ้นโดยพระราชบัญญัติหรือพระราชกฤษฎีกา จึงมิได้เป็นหน่วยงานของรัฐ และโจทก์ทั้งสิบก็มิใช่เจ้าหน้าที่ตามความหมายของพระราชบัญญัติความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่ พ.ศ. 2539 มาตรา 4 จึงไม่นำบทบัญญัติตามมาตรา 8 และมาตรา 10 ของพระราชบัญญัตินี้มาใช้แก่โจทก์ทั้งสิบ ดังนั้นเมื่อศาลแรงงานกลางฟังข้อเท็จจริงแล้วว่า โจทก์ทั้งสิบกระทำการดังที่ถูกกล่าวหาแล้ววินิจฉัยให้โจทก์ทั้งสิบร่วมกันชดใช้ค่าเสียหายแก่จำเลยตามบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ จึงชอบแล้ว อุทธรณ์โจทก์ที่ 1 และที่ 6 ข้อนี้ฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน.
เรียบเรียงโดย บริษัท กฎหมายปาระมี จำกัด