คำพิพากษาฎีกาที่ 1653/57
การเรียกค่าเสียหายจากการกระทำละเมิดต่อนายจ้าง ถือว่า ละเมิดสัญญาจ้างต่อนายจ้างด้วย นายจ้างมีสิทธิฟ้องเรียกร้องค่าเสียหายจากมูลละเมิดได้ ภายในอายุความ 10 ปี
โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ 3 ตุลาคม 2548 โจทก์ได้จ้างจำเลยที่ 1 เป็นลูกจ้างในตำแหน่งขายเครื่องเสียงติดรถยนต์มีจำเลยที่ 2 เป็นผู้ค้ำประกันการทำงานของจำเลยที่ 1 ในวงเงิน 150,000 บาท ในระหว่างเดือนมีนาคม 2549 ถึงเดือนมีนาคม 2550 จำเลยที่ 1 ได้กระทำละเมิดต่อโจทก์ด้วยการฉ้อโกงโดยหลอกลวงโจทก์ว่าลูกค้าของโจทก์หลายรายสั่งซื้อสินค้าเครื่องเสียงติดรถยนต์จากโจทก์แต่ความจริงไม่ได้สั่งซื้อสินค้าแต่อย่างใด ทำให้จำเลยที่ 1 ได้ทรัพย์สินจากโจทก์นำไปใช้เป็นประโยชน์ส่วนตัว เป็นเงิน 414,884.36 บาท และจำเลยที่ 1 ยังเอาสินค้าที่มีไว้ให้ลูกค้านำไปแสดงไปใช้เป็นการส่วนตัวและไม่สามารถคืนให้แก่โจทก์ คิดเป็นเงิน 139,156.71 บาท ต่อมาวันที่ 2 สิงหาคม 2550 จำเลยที่ 1 ยอมรับว่าได้กระทำความผิด โจทก์จึงเลิกจ้างจำเลยที่ 1 เมื่อวันที่ 13 กันยายน 2550 จำเลยที่ 1 เสนอขอผ่อนชำระคืนเงินแก่โจทก์เป็นระยะเวลา 72 เดือน โจทก์ไม่ตกลงด้วย ขอให้บังคับจำเลยที่ 1 ชำระเงิน 554,041.07 บาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 7.5 ต่อปี และให้จำเลยที่ 2 ชำระเงินให้แก่โจทก์ 150,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยทั้งสองให้การว่า จำเลยที่ 1 มิได้ฉ้อโกงโดยหลอกลวงโจทก์แต่อย่างใด จำเลยที่ 1 มีหน้าที่ติดต่อประสานงานระหว่างโจทก์กับร้านค้าที่เป็นตัวแทนจำหน่ายที่อยู่ต่างจังหวัด การสั่งซื้อสินค้าจากโจทก์โดยตัวแทนจำหน่ายของโจทก์จะโทรศัพท์สั่งซื้อสินค้ากับจำเลยที่ 1 หลังจากนั้นจำเลยที่ 1 จะสั่งซื้อสินค้าผ่านแผนกดีโอแล้วมีแผนกส่งสินค้าเป็นผู้นำส่งให้แก่ตัวแทนจำหน่าย เมื่อถึงกำหนดชำระค่าสินค้าตัวแทนจำหน่ายจะชำระด้วยเช็คสั่งจ่ายในนามของโจทก์ โดยจำเลยที่ 1 ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องแต่อย่างใด และมูลหนี้ที่โจทก์นำมาฟ้องไม่เป็นความจริง เนื่องจากตัวแทนจำหน่ายสั่งจ่ายเช็คค่าสินค้าให้แก่โจทก์โดยหักเงินค่าผลประโยชน์ตอบแทนที่จะได้รับออกจึงทำให้โจทก์ได้รับเช็คชำระค่าสินค้าจำนวนน้อยกว่าราคาสินค้าและที่โจทก์อ้างว่าเมื่อวันที่ 2 สิงหาคม 2550 จำเลยที่ 1 ยอมรับว่าได้กระทำความผิดนั้น จำเลยที่ 1 เพียงทำบันทึกยอมรับผิดชอบเพราะโจทก์ตกลงจะช่วยเหลือแก้ไขปัญหาและให้จำเลยที่ 1 ผ่อนชำระแก่โจทก์เป็นระยะเวลา 72 เดือน จำเลยที่ 1 มิได้ทุจริตด้วยการแอบอ้างชื่อลูกค้าซื้อสินค้าจากโจทก์ ฟ้องของโจทก์ขาดอายุความเพราะเมื่อประมาณเดือนมิถุนายน 2549 โจทก์ทราบถึงการกระทำความผิดของจำเลยที่ 1 แต่โจทก์นำคดีมาฟ้องเมื่อวันที่ 31 ตุลาคม 2550 ซึ่งเกินกว่า 1 ปี นับแต่วันที่โจทก์รู้ถึงการทำละเมิด อีกทั้งคำฟ้องของโจทก์เคลือบคลุม เพราะโจทก์มิได้บรรยายโดยชัดแจ้งว่ามีการขายเครื่องเสียงติดรถยนต์ได้เงินจำนวนเท่าใด มีกำหนดจ่ายเมื่อใดและไม่ทราบว่าสินค้าอะไรบ้างและไม่มีหลักฐานที่อ้างว่าจำเลยที่ 1 เป็นผู้เบิกและลักสินค้าอะไรบ้าง จำนวนเท่าใด โจทก์มิได้บรรยายให้ชัดแจ้งถึงสภาพแห่งข้อหาทำให้จำเลยทั้งสองต่อสู้คดีไม่ถูกต้อง ขอยกฟ้อง
ศาลแรงงานกลางพิจารณาแล้ว พิพากษาให้จำเลยที่ 1 ชำระเงินให้แก่โจทก์ 554,041.07 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไป หากจำเลยที่ 1 ไม่ยอมชำระหนี้ดังกล่าวให้จำเลยที่ 2 ชำระเงินให้แก่โจทก์ 150,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไป
จำเลยทั้งสองอุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีแรงงานตรวจสำนวนประชุมปรึกษาแล้ว ศาลแรงงานกลางฟังข้อเท็จจริงและวินิจฉัยว่า จำเลยที่ 1 เคยเป็นลูกจ้างโจทก์โดยมีจำเลยที่ 2 เป็นผู้ค้ำประกันในการทำงานในวงเงิน 150,000 บาท ตามหนังสือสัญญาค้ำประกันหมาย จ.3 เมื่อจำเลยที่ 1 ได้ยอมรับว่าเขียนบันทึกยอมรับผิดด้วยลายมือของตนเองตามหนังสือรับสภาพหนี้เอกสารหมาย จ.4 และ จ.6 และได้ลงลายมือชื่อยอมรับชำระค่าสินค้าที่ไม่สามารถเรียกคืนตามเอกสารหมาย จ.8 โดยไม่ได้โต้แย้งคัดค้านแต่อย่างใดและภายหลังจากที่โจทก์ได้เลิกจ้างจำเลยที่ 1 ในวันที่ 13 กันยายน 2550 แล้ว จำเลยที่ 1 ยังได้ทำหนังสือเรื่องแผนและตารางการผ่อนชำระหนี้ฉบับลงวันที่ 25 กันยายน 2550 ยืนยันมายังโจทก์อีก 1 ฉบับ โดยไม่ได้มีบุคคลใดบังคับขู่เข็ญถือว่าเป็นการยอมรับถึงสภาพหนี้ที่มีต่อโจทก์ การที่จำเลยที่ 1 เป็นพนักงานขายเครื่องเสียงติดรถยนต์ให้กับบริษัทโจทก์มีหน้าที่ติดต่อประสานงานระหว่างโจทก์กับร้านค้าที่เป็นตัวแทนจำหน่ายอยู่ที่ต่างจังหวัด เมื่อเกิดความเสียหายขึ้นจำเลยที่ 1 จึงต้องรับผิดตามสัญญาจ้างต่อโจทก์ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 575 ประกอบมาตรา 420 ส่วนจำเลยที่ 2 ในฐานะผู้ค้ำประกันการทำงานของจำเลยที่ 1 จะต้องรับผิดชำระเงินให้แก่โจทก์จำนวน 150,000 บาท ตามหนังสือสัญญาค้ำประกันเอกสารหมาย จ.3 ฟ้องโจทก์ไม่เคลือบคลุมและไม่ขาดอายุความ
คดีมีปัญหาวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของจำเลยทั้งสองประการแรกว่า คำฟ้องโจทก์เป็นฟ้องเคลือบคลุมหรือไม่ เห็นว่า คำฟ้องโจทก์บรรยายฟ้องว่า ระหว่างเดือนมีนาคม 2549 ถึงเดือนมีนาคม 2550 จำเลยที่ 1 เป็นลูกจ้างโจทก์ในตำแหน่งขายเครื่องเสียงติดรถยนต์กระทำละเมิดโจทก์โดยการเบิกและรับสินค้าเครื่องเสียงติดรถยนต์จากโจทก์ โดยอ้างว่าจะนำไปส่งให้แก่ลูกค้าแต่นำไปเป็นประโยชน์ส่วนตัวคิดเป็นมูลค่าสินค้า 414,884,36 บาท และจำเลยที่ 1 เอาทรัพย์สินที่มีไว้ให้ลูกค้านำไปแสดงไปเป็นส่วนตัวและไม่คืนแก่โจทก์คิดเป็นมูลค่าสินค้า 139,156,71 บาท คำฟ้องของโจทก์เป็นการแสดงให้เห็นว่าในช่วงระยะเวลาดังกล่าวจำเลยที่ 1 กระทำละเมิดโจทก์โดยการเอาทรัพย์สินที่เป็นสินค้าของโจทก์ไปด้วยการเบิกสินค้าโดยอ้างว่าจะนำไปส่งให้ลูกค้า และเอาทรัพย์สินที่มีไว้ให้ลูกค้านำไปแสดงไปเป็นของตน จึงเป็นคำฟ้องที่ได้แสดงโดยชัดแจ้งซึ่งสภาพแห่งข้อหาและคำขอบังคับทั้งข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาเช่นว่านั้นแล้ว ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 172 วรรคสอง ประกอบกับพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ.2522 มาตรา 31 ส่วนชนิดของสินค้า วันเดือนปีที่เบิกรับสินค้าย่อมเป็นเพียงรายละเอียดที่โจทก์สามารถนำสืบได้ในชั้นพิจารณา คำฟ้องของโจทก์จึงหาเคลือบคลุมไม่ อุทธรณ์ของจำเลยทั้งสองฟังไม่ขึ้น
คดีมีปัญหาวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของจำเลยทั้งสองประการต่อไปว่า ฟ้องโจทก์ขาดอายุความหรือไม่ โดยจำเลยทั้งสองอุทธรณ์ว่า ลูกค้าของโจทก์ครบกำหนดชำระหนี้ในวันที่ 30 มิถุนายน 2549 โจทก์จึงรู้ถึงการกระทำผิดของจำเลยที่ 1 ตั้งแต่เดือนมิถุนายน 2549 แต่โจทก์นำคดีมาฟ้องในวันที่ 31 ตุลาคม 2550 เกินกว่า 1 ปี นับแต่วันที่โจทก์รู้ถึงการทำละเมิดนั้น เห็นว่า การที่ลูกจ้างกระทำละเมิต่อนายจ้างในระหว่างการทำงานให้แก่นายจ้างนั้น นอกจากจะเป็นการกระทำละเมิดต่ดนายจ้างแล้วยังเป็นการกระทำที่ผิดสัญญาจ้างแรงงานอีกด้วย เมื่อโจทก์ซึ่งเป็นายจ้างฟ้องเรียกให้จำเลยที่ 1 ลูกจ้างชดใช้ค่าเสียหายจากการผิดสัญญาจ้างแรงงานและให้จำเลยที่ 2 ในฐานะผู้ค้ำประกันรับผิดนั้นไม่มีกฎหมายบัญญัติกำหนดอายุความไว้โดยเฉพาะจึงมีอายุความ 10 ปี ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 193/30 ดังนั้น ตามเวลาที่จำเลยทั้งสองอุทธรณ์เมื่อนับถึงวันฟ้องยังไม่เกิน 10 ปี ฟ้องโจทก์จึงไม่ขาดอายุความ อุทธรณ์ของจำเลยทั้งสองในข้อนี้ฟังไม่ขึ้นเช่นกัน
ส่วนที่จำเลยทั้งสองอุทธรณ์ประการสุดท้ายสรุปความได้ว่า ในการรับซื้อสินค้าจากโจทก์ ตัวแทนจำหน่ายของโจทก์จะติดต่อทางโทรศัพท์ สั่งซื้อสินค้าจากจำเลยที่ 1 โดยจำเลยที่ 1 จะรับซื้อสินค้าผ่านแผนกดีโอซึ่งจะจัดทำใบสั่งซื้อสินค้าและแผนกส่งสินค้าจะเป็นผู้นำสินค้าไปส่งแก่ตัวแทนจำหน่ายของโจทก์ เมื่อคดีนี้ไม่ปรากฏหลักฐานว่าจำเลยที่ 1 เป็นผู้เบิกและรับสินค้าและการชำระเงินค่าสินค้าจะเป็นการชำระด้วยเช็คสั่งจ่ายในนามโจทก์จำเลย ที่ 1 จึงไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการสั่งซื้อและการจำหน่ายสินค้า การที่เงินค่าสินค้าโจทก์ขาดหายไปเกิดจากการที่ตัวแทนจำหน่ายของโจทก์ไม่ทราบว่าโจทก์ยกเลิกผลประโยชน์ตอบแทนจากการขาย จึงนำส่งสินค้าโดยหักผลประโยชน์ตอบแทนจากการขายไว้ จำเลยที่ 1 มิได้ทุจริตแอบอ้างชื่อลูกค้าซื้อสินค้าจากโจทก์ จำเลยที่ 1 จึงไม่ต้องรับผิดต่อโจทก์นั้น เมื่อศาลแรงงานกลางฟังข้อเท็จจริงเป็นยุติว่า จำเลยที่ 1 ทำบันทึกยอมรับผิดและยอมชำระค่าสินค้าที่ไม่สามารถเรียกคืนด้วยลายมือของตนเองโดยไม่ได้โต้แย้งคัดค้าน ทั้งยังทำแผนและตารางการผ่อนชำระมายังโจทก์โดยไม่มีผู้ใดขู่เข็ญบังคับ จำเลยที่ 1 เป็นพนักงานขายเครื่องเสียงติดรถยนตืให้กับบริษัทโจทก์ มีหน้าที่ติดต่อประสานงานกับตัวแทนจำหน่ายของโจทก์ เมื่อเกิดความเสียหายขึ้นจำเลยที่ 1 ต้องรับผิดต่อโจทก์ อุทธรณ์ของจำเลยทั้งสองดังกล่างจึงเป็นอุทธรณ์โต้แย้งดุลพินิจในการรับฟังพยานหลักฐานของศาลแรงงานกลางอันเป็นอุทธรณ์ในข้อเท็จจริงต้องห้ามตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. 2522 มาตรา 54 วรรคหนึ่ง ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
พิพากษายืน.
เรียบเรียงโดย บริษัท กฎหมายปาระมี จำกัด