คำพิพากษาฎีกาที่ 1374/57
ประพฤติชั่วอย่างร้ายแรง มิได้หมายถึง เฉพาะขณะปฏิบัติหน้าที่เท่านั้น แต่หมายถึงความประพฤติที่ต้องปฏิบัติโดยทั่วไปด้วย
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นลูกจ้างจำเลยตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ 2549 ตำแหน่งสุดท้ายเป็นผู้จัดการฝ่ายขายและเร่งรัดหนี้สิน ค่าจ้างอัตราสุดท้ายเดือนละ 49,500 บาท กำหนดจ่ายทุกวันที่ 25 ของเดือน ต่อมาวันที่ 20 กรกฎาคม 2550 จำเลยเลิกจ้างโจทก์โดยไม่มีความผิด มิได้บอกกล่าวล่วงหน้าและไม่เป็นธรรม ทำให้โจทก์ได้รับความเสียหายจำเลยต้องรับผิดจ่ายค่าชดเชยไม่น้อยกว่าค่าจ้างอัตราสุดท้าย 90 วัน สินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้า และค่าเสียหายที่โจทก์มีภาระต้องผ่อนชำระค่าบ้าน ค่าอุปการะเลี้ยงดูครอบครัว ค่าใช้จ่ายในการดำรงชีพ ประกอบกับโจทก์มีอายุมากโอกาสหางานใหม่ได้ยากขอให้บังคับจำเลยค่ายค่าชดเชยจำนวน 148,500 บาท สินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้าจำนวน 49,500 บาท และค่าเสียหายจากการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรมจำนวน 594,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยให้การว่า จำเลยประกอบกิจการให้เช่าซื้อสินค้าอันมีลักษณะเป็นธุรกิจให้สินเชื่อที่ต้องมีความซื่อสัตย์สุจริตต่อลูกค้า ซึ่งพนักงานทุกคนต้องปฏิบัติด้วย แต่เมื่อวันที่ 12 มิถุนายน 2550 โจทก์ได้หยิบโทรศัพท์เคลื่อนที่ของบุคคลอื่นที่อื่นไว้ในธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) สาขาย่อยอาคารคิวเฮ้าส์ลุมพินี ไปโดยไม่แจ้งให้เจ้าหน้าที่ธนาคารพื้นที่ทราบ และปิดโทรศัพท์เคลื่อนที่ดังกล่าวเพื่อมิให้เจ้าของทรัพย์สินติดตามเอาคืน แล้วนำไปเสนอขายให้แก่พนักงานของจำเลย อันเป็นการทุจริต ลักทรัพย์ของผู้อื่นและฝ่าฝืนระเบียบข้อบังคับเกี่ยวกับการว่าจ้างและการทำงานของจำเลยโดยจงใจทำให้นายจ้างได้รับความเสียต่อเกียรติยศชื่อเสียงและเป็นปฏิปักษ์ต่อความซื่อสัตย์สุจริต ดังนั้นการที่จำเลยเลิกจ้างโจทก์ย่อมเป็นธรรมแล้ว และไม่ต้องจ่ายเงินตามฟ้องแต่อย่างใด ขอให้ยกฟ้อง
ศาลแรงงานกลางพิจารณาแล้ว พิพากษายกฟ้องโจทก์
โจทก์อุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีแรงงานตรวจสำนวนประชุมปรึกษาแล้ว ศาลแรงงานกลางรับฟังข้อเท็จจริงว่า จำเลยประกอบธุรกิจให้เช่าซื้อสินค้า โดยสถานที่ทำงานตั่งอยู่ที่ชั้น 18 ของอาคารคิวเฮ้าส์ลุมพินี โจทก์เป็นลูกจ้างของจำเลยตั้งแต่วันที่ 16 กุมภาพันธ์ 2549 ตำแหน่งสุดท้ายเป็นผู้จัดการฝ่ายขายและเร่งรัดหนี้สิน ค่าจ้างอัตราสุดท้ายเดือนละ 49,500 บาท กำหนดจ่ายทุกวันที่ 25 ของเดือน เมื่อวันที่ 12 มิถุนายน 2550 โจทก์เก็บเอาโทรศัพท์เคลื่อนที่ของผู้อื่นที่ลืมวางไว้ที่ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) สาขาย่อยอาคารคิวเฮ้าส์ลุมพินี ซึ่งตั้งอยู่ที่ชั้นล่างของอาคาร นำกลับไปที่ห้องทำงานของโจทก์ ภายหลังเจ้าของโทรศัพท์ดังกล่าวติดตามเอาคืนได้จากโจทก์ ต่อมาวันที่ 20 กรกฎาคม 2550 จำเลยจึงเลิกจ้างโจทก์โดยไม่จ่ายสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้าและค่าชดเชย โดยอ้างว่าโจทก์กระทำการทุจริตทำให้จำเลยได้รับความเสื่อมเสียต่อเกียรติยศและชื่อเสียงอันเป็นการฝ่าฝืนระเบียบข้อบังคับเกี่ยวกับการว่าจ้างและการทำงานของจำเลยอย่างร้ายแรงตามสำเนาหนังสือบอกเลิกการว่าจ้างเอกสารหมาย ล.2 แล้ววินิจฉัยว่า โจทก์มีเจตนาเอาทรัพย์ของผู้อื่นไปโดยทุจริตอันเป็นความผิดฐานลักทรัพย์ตามประมวลกฎหมายอาญา แม้จะมิใช่เป็นการทุจริตต่อหน้าที่หรือกระทำความผิดอาญาโดยเจตนาแก่นายจ้างก็ตาม แต่การที่จำเลยประกอบธุริจเกี่ยวกับการให้สินเชื่อด้านการเงินโดยมีหลายสาขาทั่วประเทศ จำเป็นต้องได้รับความเชื่อถือไว้วางใจจากลูกค้าในการบริหารงานด้วยความซื่อสัตย์สุจริต การกระทำของโจทก์ซึ่งมีตำแหน่งเป็นถึงผู้จัดการย่อยมีผลกระทบต่อเกียรติยศและชื่อเสียงของจำเลยโดยตรง ถือเป็นการประพฤติชั่วฝ่าฝืนระเบียบข้อบังคับเกี่ยวกับการว่าจ้างและการทำงานของจำเลยอย่างร้ายแรงตามเอกสารหมาย ล.3 บทที่ 6 ข้อ 9 การที่จำเลยเลิกจ้างโจทก์จึงชอบด้วยกฎหมายและเป็นธรรมแล้ว
มีปัญหาตามอุทธรณ์ของโจทก์ว่า จำเลยต้องรับผิดต่อโจทก์หรือไม่ โดยโจทก์อุทธรณ์ว่าการลักทรัพย์ผู้อื่นเป็นเหตุส่วนตัวไม่เกี่ยวกับการทำงาน มิได้เกิดขึ้นในสถานที่ทำงานของจำเลย โจทก์ไม่ได้กระทำผิดหน้าที่ จึงไม่ใช่ผลโดยตรงที่จะทำให้จำเลยเสียชื่อเสียงแต่อย่างใด ถือไม่ได้ว่าเป็นการฝ่าฝืนข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงานในกรณีที่ร้ายแรง เห็นว่าตามหนังสือเลิกจ้างเอกสารหมาย ล.2 เหตุที่จำเลยเลิกจ้างโจทก์ก็สืบเนื่องมาจากโจทก์หยิบโทรศัพท์เคลื่อนที่ของลูกค้าที่ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) สาขาย่อยอาคารคิวเฮ้าส์ลุมพินี ไปโดยไม่ได้แจ้งให้ธนาคารดังกล่าวทราบและปิดโทรศัพท์เคลื่อนที่เพื่อป้องกันการติดตามของเจ้าของ รวมทั้งพยายามบอกขายโทรศัพท์เคลื่อนที่แก่ผู้อื่น เช่นนี้ ถือว่าโจทก์มีเจตนาเอาทรัพย์ของผู้อื่นไปโดยทุจริตอันเป็นความผิดฐานลักทรัพย์ตามประมวลกฎหมายอาญา เป็นการประพฤติชั่วอย่างร้ายแรง แม้ว่าเป็นการกระทำต่อผู้อื่นที่มิใช่ลูกค้าหรือผู้มาติดต่องานกับจำเลยและมิได้เกิดในสถานที่ทำงาน แต่ก็ยังคงเป็นความผิดอาญา หาเป็นเหตุให้โจทก์หลุดพ้นจากการประพฤติชั่วอย่างร้ายแรงแต่อย่างใดไม่ อีกทั้งการประพฤติชั่วนั้นมิได้หมายถึงเฉพาะความประพฤติในขณะปฏิบัติหน้าที่เท่านั้น ย่อมหมายความรวมถึงความประพฤติที่พึงต้องปฏิบัตโดยทั่วไปด้วย เมื่อพิเคราะห์ถึงพฤติการณ์แห่งคดีประกอบกับพฤติกรรมของโจทก์ การกระทำของโจทก์จึงเป็นการไม่รักษาเกียรติยศชื่อเสียงของจำเลยตามระเบียบข้อบังคับเกี่ยวกับการว่าจ้างและการทำงาน บทที่ 6 วินัยและการลงโทษทางวินัย ข้อ 5 เอกสารหมาย ล.3 เป็นการฝ่าฝืนข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงานอย่างร้ายแรงที่ศาลแรงงานกลางวินิจฉัยว่าการเลิกจ้างโจทก์ชอบด้วยกฎหมายและเป็นธรรมแล้ว จำเลยจึงไม่ต้องรับผิดต่อโจทก์ตามฟ้อง ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย อุทธรณ์ของโจทก์ฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน.
เรียบเรียงโดย บริษัท กฎหมายปาระมี จำกัด