คำพิพากษาฎีกาที่ 1375/57
นิติบุคคลที่จัดตั้งขึ้นโดยมิได้มีวัตถุประสงค์ในการแสวงหาผลกำไร มิต้องรับผิดค่าชดเชยตาม มาตรา 118 ถึง มาตรา 122
โจทก์ฟ้องและแก้ไขคำฟ้องว่า จำเลยเป็นนิติบุคคลตามกฎหมายของสหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนีที่เป็นหน่วยงานหรือตัวแทนกระทรวงความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการพัฒนาของสหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนี โจทก์เคยเป็นลูกจ้างของจำเลยตั้งแต่ปี 2536 ได้รับค่าจ้างอัตราสุดท้ายเดือนละ 80,000 บาท วันที่ 1 มกราคม 2547 จำเลยออกข้อบังคับหรือคู่มือการจ้างให้มีผลบังคับในวันดังกล่าวเมื่อวันที่ 30 กันยายน 2549 จำเลยเลิกจ้างโจทก์โดยโจทก์มิได้กระทำความผิดจำเลยทำบันทึกข้อตกลงกับโจทก์ โดยจำเลยจ่ายค่าแยกจากกันจำนวน 180,000 บาท และเงินเดือนๆ ที่ 13 จำนวน 60,000 บาท โดยท้ายบันทึกดังกล่าวจำเลยจัดทำข้อความให้โจทก์สละสิทธิในการเรียกร้องเงินใดๆ ซึ่งโจทก์ถือว่าเป็นค่าเสียหายจากการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรม ส่วนข้อตกลงสละสิทธิเรียกร้องใดจากจำเลย ถือว่าเป็นข้อตกลงที่ขัดต่อกฎหมายและความสงบเรียบร้อยและศีลธรรมอันดีของประชาชน โจทก์ทำงานกับจำเลยมาตั้งแต่ปี 2536 จนถึงวันเลิกจ้างเป็นเวลามากกว่า 10 ปี จึงมีสิทธิได้รับค่าชดเชย 800,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปี นับแต่วันเลิกจ้างคิดถึงวันฟ้องดอกเบี้ยเป็นเงิน 81,534.25 บาท รวมเป็นเงิน 881,534.25 บาท ขอให้บังคับจำเลยจ่ายค่าชดเชย 881,534.25 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปี ของต้นเงิน 800,000 บาท นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยให้การว่า จำเลยไม่มีฐานะเป็นนิติบุคคลตามกฎหมาย แต่เป็นหน่วยงานตัวแทนของรัฐบาลแห่งสหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนี จัดตั้งขึ้นตามข้อตกลงระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยกับรัฐบาลแห่งสหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนี ว่าด้วยความร่วมมือทางวิชาการ โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้อง จำเลยมิได้มีวัตถุประสงค์เพื่อมุ่งแสวงหากำไรทางเศรษฐกิจ แต่เป็นการช่วยเหลือทางด้านวิชาการให้แก่ประเทศไทยโดยไม่มีค่าตอบแทน ไม่อยู่ภายใต้พระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. 2541 สัญญาจ้างระหว่างโจทก์และจำเลยมีกำหนดระยะเวลาแน่นอน เมื่อสิ้นสุดระยะเวลาจ้างงานตามสัญญา โจทก์รับเงินและลงลายมือชื่อว่าไม่ติดใจเรียกร้องอื่นใดกับจำเลยอีก จำเลยจึงไม่ได้เลิกจ้างโจทก์ จำเลยไม่จำต้องจ่ายค่าชดเชยแก่โจทก์ ฟ้องโจทก์เคลือบคลุม ขอให้ยกฟ้อง
ศาลแรงงานกลางพิจารณาแล้ว พิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีแรงงานตรวจสำนวนประชุมปรึกษาแล้ว ศาลแรงงานกลางฟังข้อเท็จจริงว่า จำเลยมีฐานะเป็นนิติบุคคลตามกฎหมายและเป็นตัวแทนของรัฐบาลแห่งสหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนี จัดตั้งขึ้นเพื่อทำหน้าที่บริหารความร่วมมือทางวิชาการให้แก่ประเทศไทย ซึ่งเป็นการให้ความช่วยเหลือแบบให้เปล่าโดยไม่มีค่าตอบแทนใดๆ จึงไม่มีวัตถุประสงค์ในการรับจ้างทำงานใดๆ เพื่อมุ่งแสวงหากำไรทางเศรษฐกิจโจทก์เป็นลูกจ้างจำเลยตั้งแต่วันที่ 10 พฤษภาคม 2536 ทำสัญญาจ้างต่อเนื่องมาจนถึงฉบับสุดท้ายสิ้นสุดวันที่ 30 กันยายน 2549 ตำแหน่งพนักงานโครงการ ได้รับค่าจ้างอัตราสุดท้ายเดือนละ 80,000 บาท วันที่ 29 กันยายน 2549 โจทก์กับจำเลยทำบันทึกข้อตกลงหรือการสละสิทธิที่จะเรียกร้องเกี่ยวกับสัญญาจ้างงานที่จะสิ้นสุดลงโดยจำเลยยอมจ่ายเงิน 211,500 บาท แก่โจทก์ เพราะเป็นการสิ้นสุดสัญญาจ้างตามสัญญา ไม่ใช่กรณีที่โครงการความร่วมมือได้สิ้นสุดไปก่อนกำหนด แล้ววินิจฉัยว่ากฎกระทรวง (พ.ศ.2541) ออกตามความในพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ.2541 (3) ห้ามมิให้นำบทบัญญัติหมวด 11 ค่าชดเชยตั้งแต่มาตรา 118 – มาตรา 122 มาใช้บังคับแก่กรณีดังกล่าว และคู่มือการว่าจ้างพร้อมคำแปลเอกสารหมาย จ.1 และ จ.2 ข้อ 8.6.1 กำหนดให้จ่ายค่าชดเชยกรณีที่โครงการความร่วมมือได้สิ้นสุดไปก่อนกำหนดเท่านั้น แต่กรณีของโจทก์เป็นการสิ้นสุดการจ้างตามสัญญาที่โจทก์ทำไว้กับจำเลย โจทก์ไม่มีสิทธิได้รับค่าชดเชยตามข้อ 8.6.2
ที่โจทก์อุทธรณ์ว่า คู่มือการว่าจ้างพร้อมคำแปลเอกสารหมาย จ.1 และ จ.2 เป็นข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้าง จึงไม่ต้องวินิจฉัยว่าจำเลยมีวัตถุประสงค์เพื่อแสวงหากำไรทางเศรษฐกิจหรือไม่ คำว่า “โครงการ” ในข้อ 8.6 หมายถึงวัตถุประสงค์ของจำเลยที่ดำรงอยู่ในประเทศไทยถ้าการบริหารงานความร่วมมือทางวิชาการที่สหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนีให้แก่ ประเทศ ไทยสิ้นสุด ก็หมายถึงโครงการตามคู่มือดังกล่าวสิ้นสุด เมื่อวัตถุประสงค์ของจำเลยยังไม่สิ้นสุด จำเลยเลิกจ้างโจทก์โดยไม่มีความผิด โจทก์จึงมีสิทธิได้รับค่าชดเชยตามฟ้องนั้น เป็นการโต้แย้งข้อเท็จจริงที่ศาลแรงงานกลางรับฟังมาว่าจำเลยไม่มีวัตถุประสงค์ในการรับจ้างทำงานใดๆ เพื่อมุ่งแสวงหากำไรทางเศรษฐกิจ และจำเลยเลิกจ้างโจทก์เพราะสิ้นสุดสัญญาจ้างตามสัญญาไม่ใช่กรณีที่โครงการความร่วมมือได้สิ้นสุดไปก่อนกำหนด เพื่อนำไปสูข้อกฎหมายที่ว่าโจทก์จะมีสิทธิได้รับค่าชดเชยพร้อมดอกเบี้ยตามฟ้องหรือไม่ อุทธรณ์ของโจทก์จึงเป็นอุทธรณ์ในข้อเท็จจริง ต้องห้ามอุทธรณ์ตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. 2522 มาตรา 54 วรรคหนึ่ง ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
พิพากษายกอุทธรณ์ของโจทก์
เรียบเรียงโดย บริษัท กฎหมายปาระมี จำกัด