คำพิพากษาฎีกาที่ 2069/57
คำพิพากษาศาลแรงงานที่มิได้นำพยานหลักฐานที่โจทก์ จำเลย นำสืบในชั้นพิจารณาคดีมาประกอบเพื่อวินิจฉัยว่าโจทก์ผิดหรือไม่ สอบสวนชอบหรือไม่ เป็นการวินิจฉัยที่ไม่ชอบด้วย พรบ. จัดตั้งศาลแรงงาน มาตรา 51
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยเป็นนิติบุคคลตามกฎหมายและเป็นรัฐวิสาหกิจมีวัตถุประสงค์เพื่อให้ความช่วยเหลือทางด้านการเงินเพื่อส่งเสริมอาชีพเกษตรกรหรือการดำเนินงานของเกษตรกลุ่มเกษตรกร โจทก์เป็นพนักงานของจำเลยบรรจุเข้าทำงานเมื่อวันที่ 19 พฤศจิกายน 2512 และครบกำหนดเกษียณอายุการทำงานในวันที่ 30 กันยายน 2543 ตำแหน่งสุดท้ายเป็นนักบริหาร 9 กองบริหารงานบุคคลได้รับค่าจ้างอัตราสุดท้ายเดือนละ 27,760 บาท โจทก์ถูกจำเลยลงโทษไล่ออกจากการเป็นพนักงานของจำเลยตามคำสั่งผู้จัดการธนาคารจำเลย โดยอ้างว่าโจทก์กระทำผิดวินัยอาศัยหรือยอมให้บุคคลอื่นอาศัยงานในหน้าที่ของตนหาผลประโยชน์ให้แก่บุคคลอื่นเสนอรายงานหรือเสนอความเห็นที่ไม่สุจริตต่อผู้บังคับบัญชาและจงใจไม่ปฏิบัติตามระเบียบ ข้อบังคับ คำสั่งและวิธีปฏิบัติ เป็นเหตุให้เกิดความเสียหายแก่จำเลยอย่างร้ายแรง โจทก์อุทธรณ์คำสั่งลงโทษทางวินัยต่อคณะกรรมการจำเลยซึ่งได้มีคำสั่งยืน ต่อมาจำนำข้อเท็จจริงตามคำกล่าวอ้างในคำสั่งลงโทษทางวินัยให้ไล่โจทก์ออกดังกล่าวไปร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวนเพื่อดำเนินคดีอาญาแก่โจทก์ในข้อหาเป็นพนักงานในองค์กรหรือหน่วยงานรัฐ มีหน้าที่จัดการหรือดูแลกิจการใดเข้ามีส่วนได้เสียเพื่อประโยชน์สำหรับตนเองหรือผู้อื่นและปฏิบัติหน้าที่หรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต ต่อมาพนักงานอัยการจังหวัดระนองยื่นฟ้องโจทก์เป็นจำเลยในคดีอาญาคดีหมายเลขดำที่ 3558/2545 คดีหมายเลขแดงที่ 7050/2546 ของศาลจังหวัดระนอง แต่ในที่สุดเมื่อวันที่ 11 ธันวาคม 2546 ศาลจังหวัดระนองพิพากษายกฟ้องโจทก์ โดยวินิจฉัยว่า “ไม่ปรากฏว่าจำเลยกระทำการโดยทุจริตเพื่อประโยชน์สำหรับตนเองหรือผู้อื่น.... การกระทำของจำเลยจึงไม่เป็นความผิดตามที่โจทก์ฟ้อง” และคดีดังกล่าวถึงที่สุดแล้ว คำสั่งของจำเลยที่ไล่โจทก์ออกจากการเป็นพนักงานเป็นคำสั่งที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย เพราะโจทก์มิได้กระทำความผิดตามคำกล่าวอ้าง ดังเหตุผลที่จำเลยได้ระบุไว้ในคำสั่งลงโทษทางวินัยของจำเลย คำสั่งของจำเลยที่ไม่ถูกต้องและไม่ชอบด้วยกฎหมาย เป็นการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรม ทำให้โจทก์ได้รับความเสียหาย จำเลยจึงต้องชดใช้เงินให้แก่โจทก์ดังต่อไปนี้ เงินกองทุนบำเหน็จที่โจทก์มีสิทธิได้รับตามข้อบังคับจำเลย 675,493.33 บาท ค่าเสียหายจากการขาดรายได้และเสียโอกาสในการทำงานเนื่องจากจำเลยเลิกจ้างโจทก์ก่อนครบกำหนดเกษียณอายุโจทก์ขอคิดในอัตราเดือนละ 27,760 บาท นับแต่ถูกเลิกจ้างจนถึงวันครบกำหนดเกษียณอายุรวมเป็นเงิน 2,183,786.67 บาท ค่าเสียหายจากการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรม คิดจากค่าจ้างอัตราสุดท้ายเดือนละ 27,760 บาท จำนวน 25 เดือน เป็นเงิน 694,000 บาท เงินชดเชยให้แก่พนักงานซึ่งถูกเลิกจ้างตามระเบียบคณะกรรมการรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์เท่ากับจำนวน 180 วัน ของอัตราค่าจ้างสุดท้ายเป็นเงิน 166,560 บาท รวมเป็นเงิน 3,719,840 บาท และดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับตั้งแต่วันที่ 30 กันยายน 2543 จนถึงวันฟ้อง (วันที่ 15 มิถุนายน 2547) เป็นเงิน 1,313,373 บาท รวมเป็นเงินทั้งสิ้น 5,033,218 บาท ขอให้เพิกถอนคำสั่งของจำเลยที่ให้ลงโทษทางวินัยแก่โจทก์ กับให้จำเลยชำระเงิน 5,033,218 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงิน 3,719,840 บาท นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยให้การว่า จำเลยยอมรับว่าโจทก์เคยเป็นลูกจ้างจำเลย ปีที่เข้าทำงาน อัตราค่าจ้างตามฟ้อง การที่จำเลยเลิกจ้างโจทก์เป็นการเลิกจ้างที่เป็นธรรมแล้วกล่าวคือเมื่อวันที่ 9 มีนาคม 2537 จำเลยมีคำสั่งไล่โจทก์ออกโดยมีผลตั้งแต่ วันที่ 10 มีนาคม 2537 สาเหตุมาจากการที่จำเลยสอบสวนโจทก์ตามระเบียบข้อบังคับของจำเลย พบว่าโจทก์กระทำผิดวินัยอย่างร้ายแรง กล่าวคือโจทก์ร่วมกับบุคคลอื่นนำที่ดินซึ่งโจทก์มีชื่อร่วมเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์มาจำนองเป็นประกันการกู้เงินของลูกค้าจำเลย โดยโจทก์เป็นผู้ประเมินราคาที่ดิน เป็นผู้รับจำนองที่ดิน และเป็นผู้อนุมัติเงินกู้เองในเวลาอันรวดเร็ว โจทก์ชี้นำให้พนักงานสินเชื่อทำคำขอกู้และประเมินราคาที่ดินจำนองสูงกว่าราคาที่เป็นจริงมาก อันเป็นการเอื้ออำนวยให้บุคคลอื่นหาประโยชน์จากเงินกู้ของจำเลย โจทก์อนุมัติให้ลูกค้าเงินกู้หรือดำเนินการให้ผู้บังคับบัญชาอนุมัติเงินกู้หรือดำเนินการให้ผู้บังคับบัญชาอนุมัติเงินกู้แก่ลูกค้าในวงเงินจำนวนมากโดยรวดเร็วทั้งที่ทราบว่าลูกค้ามิได้มีอาชีพเกษตรกรและมิได้นำเงินกู้ไปใช้ในการประกอบการผลิตของตนเอง แต่กลับนำเงินไปให้แก่นายทุน โจทก์รับบุคคลที่ไม่ใช่เป็นเกษตรกรไม่มีที่อยู่เป็นหลักแหล่งและไม่มี่ทรัพย์สินเป็นของตนเองเข้ามาเป็นลูกค้ากู้เงิน โจทก์อุทธรณ์คำสั่งลงโทษไล่ออกต่อคณะกรรมการจำเลย ซึ่งคณะกรรมการจำเลยได้พิจารณาอุทธรณ์ของโจทก์แล้วได้มีคำวินิจฉัยว่าโจทก์กระทำผิดวินัยของจำเลยจริง การที่จำเลยลงโทษโจทก์โดยการไล่ออกนั้นเหมาะสมแล้ว ต่อมาจำเลยนำข้อเท็จจริงในการกระทำความผิดวินัยของโจทก์ไปแจ้งความร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวนตามระเบียบและวิธีปฏิบัติของจำเลยเพื่อดำเนินคดีอาญาตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดของพนักงานในองค์การหรือหน่วยงานของรัฐ พ.ศ.2502 และศาลจังหวัดระนองได้มีคำพิพากษาเป็นคดีหมายแดงที่ 7050/2546 ให้ยกฟ้องโจทก์ ขณะที่โจทก์ดำรงตำแหน่งผู้จัดการสาขาระนองซึ่งเป็นตำแหน่งนักบริหารที่จำเลยมอบความไว้วางใจให้ดูแลกิจการสาขาระนองเพื่อให้เกิดผลดีและความก้าวหน้าแก่จำเลยและลูกค้าจำเลย แต่โจทก์กระทำผิดวินัยโดยอาศัยหรือยินยอมให้บุคคลอื่นอาศัยงานในหน้าที่ของตนหาผลประโยชน์ให้แก่บุคคลอื่น ทั้งเสนอรายงานหรือความเห็นที่ไม่สุจริตต่อผู้บังคับบัญชาและจงใจไม่ปฏิบัติตามระเบียบคำสั่ง และวิธีปฏิบัติเป็นเหตุให้เกิดความเสียหายแก่จำเลยอย่างร้ายแรง แม้ศาลจังหวัดระนองจะพิพากษาให้ยกฟ้องโจทก์ในคดีอาญาก็ไม่ทำให้การที่จำเลยเลิกจ้างโจทก์เป็นการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรม เพราะการเลิกจ้างโจทก์มีสาเหตุมาจากโจทก์กระทำผิดวินัยอย่างร้ายแรง จำเลยมิได้กลั่นแกล้งโจทก์ จึงเป็นการเลิกจ้างที่เป็นธรรม โจทก์ไม่มีสิทธิในเงินเดือน ค่าจ้าง ค่าเสียหายจากการขาดรายได้ เงินกองทุนบำเหน็จ ค่าชดเชย ตลอดจนค่าเสียหายใด ๆ จากจำเลย โจทก์นำคดีมาฟ้อง เมื่อพ้น 10 ปี นับแต่โจทก์ทราบคำสั่งสั่งไล่ออก ฟ้องโจทก์จึงขาดอายุความขอให้ยกฟ้อง
ศาลแรงงานกลางพิจารณาแล้ว พิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีแรงงานตรวจสำนวนประชุมปรึกษาแล้ว ศาลแรงงานกลางกำหนดประเด็นข้อพิพาทว่าคำสั่งลงโทษโจทก์ทางวินัยไม่ถูกต้องและไม่ชอบด้วยกฎหมายเพียงใดหรือไม่ แล้ววินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงปรากฏว่าคณะกรรมการทั้งสองชุดไม่ปรากฏสาเหตุส่วนตัวต่อโจทก์ จึงไม่น่าจะเป็นการกลั่นแกล้งโจทก์ ส่วนที่โจทก์อ้างว่านายวิชาญ ไชยศิริ ซึ่งกระทำเหมือนโจทก์แต่ถูกลงโทษเบากว่านั้น ก็เพราะนายวิชาญกระทำผิดเพียงรายเดียวและเป็นการช่วยเหลือญาติพี่น้องให้ได้กู้เงิน แต่โจทก์เป็นการช่วยเหลือกลุ่มนายทุนโดยมีผู้ที่มิใช่เกษตรกรอยู่ในกลุ่มด้วยเพื่อนำเงินไปให้ผู้ตั้งกลุ่มซึ่งเป็นนายทุน ส่วนที่ศาลจังหวัดระนองยกฟ้องโจทก์ก็เป็นการฟังว่าโจทก์มิได้กระทำการโดยทุจริตอันเป็นความผิดทางอาญาแต่จำเลยลงโทษโจทก์ทางวินัยที่โจทก์กระทำผิดระเบียบ ข้อบังคับ คำสั่งของจำเลยอย่างร้ายแรง ซึ่งเป็นการบริหารจัดการภายในองค์กร ซึ่งเป็นคนละส่วน คำสั่งของจำเลยที่จะเพิกถอนได้ต่อเมื่อเป็นการใช้ดุลพินิจลงโทษขัดต่อระเบียบ ข้อบังคับอันชอบด้วยกฎหมายของนายจ้าง ไม่สุจริตกลั่นแกล้ง หรือไม่สมเหตุผล แม้ศาลคดีอาญาจะยกฟ้องโจทก์ก็ไม่ทำให้การลงโทษโจทก์ทางวินัยต้องถูกเปลี่ยนแปลงไปด้วย คำสั่งลงโทษโจทก์ทางวินัยจึงถูกต้องและชอบด้วยกฎหมาย โจทก์อุทธรณ์ว่า ศาลแรงงานกลางฟังข้อเท็จจริงว่าโจทก์ให้การช่วยเหลือกลุ่มนายทุนโดยมีผู้กู้ที่มิใช่เกษตรกรอยู่ในกลุ่มแตกต่างจากที่โจทก์มีพยานยืนยันว่าการตรวจสอบลูกค้าว่าเป็นเกษตรหรือไม่เป็นงานของพนักงานสินเชื่อภาคสนามไม่ใช่งานของโจทก์ เป็นการไม่ชอบด้วยกฎหมายนั้น เห็นว่า โจทก์ฟ้องว่าโจทก์ไม่ได้กระทำความผิดตามที่จำเลยระบุไว้ในคำสั่งลงโทษทางวินัย คำสั่งของจำเลยไม่ชอบด้วยกฎหมายและไม่ถูกต้อง เลยให้การว่า โจทก์กระทำผิดวินัยโดยอาศัยหรือยินยอมให้บุคคลอื่นอาศัยงานในหน้าที่ของตนหาผลประโยชน์ให้แก่บุคคลอื่น ทั้งเสนอรายงานหรือความเห็นที่ไม่สุจริตต่อผู้บังคับบัญชาและจงใจไม่ปฏิบัติตามระเบียบ คำสั่ง และวิธีปฏิบัติเป็นเหตุให้เกิดความเสียหายแก่จำเลยอย่างร้ายแรง การเลิกจ้างมีสาเหตุมาจากโจทก์กระทำผิดวินัยอย่างร้ายแรง จำเลยมิได้กลั่นแกล้งโจทก์ จึงเป็นการเลิกจ้างที่เป็นธรรม ศาลแรงงานกลางจึงต้องพิจารณาให้ได้ความจริงว่าโจทก์กระทำผิดหรือไม่ รวมทั้งพิจารณาว่ากระบวนการสอบสวนของจำเลยเป็นไปโดยชอบหรือไม่ การที่ศาลแรงงานวินิจฉัยข้อเท็จจริงในประเด็นที่ว่าคำสั่งลงโทษโจทก์ทางวินัยถูกต้องและชอบด้วยกฎหมายเพียงใดหรือไม่ โดยพิจารณาแต่เพียงว่าคณะกรรมการทั้งสองชุดไม่มีสาเหตุโกรธเคืองส่วนตัวต่อโจทก์ และแม้ศาลจังหวัดระนองจะพิพากษายกฟ้องโดยฟังว่าโจทก์ไม่ได้กระทำการทุจริตอันเป็นความผิดทางอาญา แต่จำเลยลงโทษโจทก์ทางวินัยที่โจทก์กระทำผิดระเบียบ ข้อบังคับ คำสั่งของจำเลยอย่างร้ายแรง ซึ่งเป็นการบริหารจัดการภายในองค์กรคำสั่งของจำเลยจะเพิกถอนได้ต่อเมื่อเป็นการใช้ดุลพินิจลงโทษขัดต่อระเบียบ ข้อบังคับอันชอบด้วยกฎหมาย ไม่สุจริต กลั่นแกล้ง หรือไม่สมเหตุสมผล โดยศาลแรงงานกลางมิได้นำพยานหลักฐานที่โจทก์จำเลยนำสืบในชั้นพิจารณาคดีมาพิจารณาประกอบเพื่อวินิจฉัยว่าโจทก์ได้กระทำตามที่จำเลยกล่าวอ้างหรือไม่ การสอบสวนชอบหรือไม่ และคำสั่งของจำเลยถูกต้องและชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ จึงเป็นการวินิจฉัยคดีที่ไม่ชอบด้วยพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ.2522 มาตรา 51 วรรคหนึ่ง ชอบที่ศาลฎีกาจะมีคำสั่งยกคำพิพากษาศาลแรงงานกลางเสียตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 243 ( 1) ประกอบพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. 2522 มาตรา 31 เพื่อให้ศาลแรงงานกลางพิจารณาข้อเท็จจริงตามพยานหลักฐานที่คู่ความนำสืบในการพิจารณาคดีต่อไป
พิพากษายกคำพิพากษาศาลแรงงานกลาง ให้ย้อนสำนวนไปให้ศาลแรงงานกลางรับฟังข้อเท็จจริงและเหตุผลที่จำเลยเลิกจ้างโจทก์ตามที่ปรากฏในชั้นพิจารณาคดีแล้วพิพากษาใหม่ตามรูปคดีต่อไป.
เรียบเรียงโดย บริษัท กฎหมายปาระมี จำกัด