คำพิพากษาฎีกาที่ 2169/57
ข้อตกลงห้ามไปประกอบกิจการหรือเข้าร่วมประกอบกิจการแข่งขันกับนายจ้าง แต่ไม่ห้ามไปเป็นลูกจ้าง ดังนั้น ลูกจ้างจึงสามารถไปทำงานกับบริษัท ฯ อื่น ซึ่งทำธุรกิจแข่งขันกับนายจ้างได้
โจทก์ฟ้องและแก้ไขคำฟ้องว่า โจทก์เป็นนิติบุคคลประเภทบริษัทมหาชนจำกัด ประกอบธุรกิจจำหน่ายสินค้าจำพวกวัสดุอุปกรณ์ก่อสร้าง อุปกรณ์ตกแต่งบ้าน เครื่องใช้ไฟฟ้า และอุปกรณ์สิ่งอำนวยความสะดวกในบ้าน ในรูปห้างสรรพสินค้า ใช้ชื่อกิจการว่า “ห้าง Hompro” มีสาขาทั่วราชอาณาจักร จำเลยเคยเป็นลูกจ้างของโจทก์ ตำแหน่งผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ - กลุ่มปฏิบัติการ ซึ่งเป็นตำแหน่งผู้บริหารระดับสูง มีหน้าที่รับผิดชอบบริหารกิจการของโจทก์ในด้านแผนงานบริหารการขาย และรายได้ - รายจ่าย บริหารงานศูนย์กระจายสินค้าการเปิดสาขาและการบริหารกิจการสาขา มีอำนาจควบคุมและบังคับบัญชาพนักงานของโจทก์ประมาณ 1,500 คน ครั้งสุดท้ายจำเลยได้รับค่าจ้างอัตรา 234,200 บาท ต่อเดือน จำเลยและโจทก์ได้ตกลงยุติสภาพการจ้างโดยการลาออกของจำเลยตั้งแต่วันที่ 26 กรกฎาคม 2549 ให้มีผลตั้งแต่วันที่ 1 ธันวาคม 2549 ซึ่งโจทก์อนุญาตให้จำเลยลาหยุดงานเป็นกรณีพิเศษโดยไม่ต้องทำงานและได้รับค่าจ้างนับแต่วันที่ 16 สิงหาคม 2549 ถึงวันสิ้นสุดการเป็นพนักงาน จำเลยตกลงว่าจะไม่ประกอบกิจการหรือเข้าร่วมในการประกอบกิจการใดๆ อันเป็นการแข่งขันกับธุรกิจของโจทก์ภายในเวลา 1 ปี นับแต่วันที่จำเลยพ้นสภาพการเป็นพนักงานมิฉะนั้นจำเลยต้องคืนค่าจ้างจำนวน 819,700 บาท ที่ได้รับและชำระเบี้ยปรับจำนวนหนึ่งเท่าของค่าจ้างที่โจทก์จ่ายให้ในระหว่างที่จำเลยลาหยุดงานเป็นกรณีพิเศษ และหากมีความเสียหายเกิดขึ้นแก่โจทก์ จำเลยต้องชดใช้ค่าเสียหายทั้งสิ้น หลังจากจำเลยพ้นสภาพการเป็นพนักงานของโจทก์ จำเลยไม่ได้ปฏิบัติตามข้อตกลง กล่าวคือ เมื่อประมาณปลายเดือน ตุลาคม 2549 จำเลยได้ไปสมัครงานกับบริษัทซีอาร์ซี เพาเวอร์ รีเทล จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทที่ประกอบกิจการจำหน่ายวัสดุอุปกรณ์ก่อสร้าง อุปกรณ์ตกแต่งบ้าน ในลักษณะรูปแบบของห้างสรรพสินค้าโดยใช้ชื่อ “Home works” เป็นกิจการมีลักษณะงานและสภาพอย่างเดียวและเป็นการแข่งขันกับกิจการของโจทก์ โดยจำเลยเป็นลูกจ้างบริษัทดังกล่าวในตำแหน่งผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ อันเป็นตำแหน่งผู้บริหารระดับสูง มีหน้าที่ดูแลและบริหารกิจการสาขาต่างๆ ของห้าง Home works อันมีลักษณะงานและหน้าที่เช่นเดียวกับที่เคยทำงานกับโจทก์ โดยเริ่มทำงานวันที่ 1 มกราคม 2550 ซึ่งเป็นเวลาภายใน 1 ปี นับแต่วันพ้นสภาพการเป็นพนักงานเป็นการปฏิบัติผิดสัญญา ทำให้โจทก์ได้รับความเสียหาย ยอดขายและรายได้ของโจทก์ต่ำกว่าแผนงานและเปาหมายของโจทก์ในปี 2550 เป็นเงินประมาณ 1,399 ล้านบาท โจทก์ขาดกำไรที่ควรจะได้จากยอดขายดังกล่าว โจทก์ขอคิดค่าเสียหายในส่วนนี้เป็นเงิน 14,000,000 บาท และการที่จำเลยปฏิบัติผิดข้อตกลงการจ้างดังกล่าว จำเลยต้องคืนเงินให้โจทก์ 819,700 บาท พร้อมเบี้ยปรับ 1 เท่า จำนวน 819,700 บาท รวมเป็นเงิน 1,639,400 บาท ขอให้บังคับจำเลยชำระเงินจำนวน 15,639,400 บาท แก่โจทก์พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 15 ต่อปี นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ
จำเลยให้การและฟ้องแย้งว่า จำเลยมิได้กระทำข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้างซึ่งในระหว่างที่จำเลยทำงานอยู่กับโจทก์ จำเลยไม่เคยประกอบการใดที่เป็นการแข่งขันหรือร่วมประกอบกิจการกับผู้ใด และไม่เคยเอาความลับของโจทก์ไปเปิดเผยกับผู้ใด ทั้งหลังจากจำเลยพ้นสภาพจากการเป็นพนักงานของโจทก์ จำเลยไม่ได้ประกอบกิจการหรือเข้าร่วมในการประกอบกิจการใดๆ เองอันเป็นการแข่งขันกับธุรกิจของโจทก์ โจทก์ไม่มีสิทธิเรียกร้องค่าเสียหายจากจำเลยเพราะจำเลยไม่มีส่วนเกี่ยวข้องทำให้ยอดขายหรือรายได้ของโจทก์ในปี 2550 ลดลงเป็นเงิน 1,399 ล้านบาท โจทก์ไม่มีสิทธิเรียกเงิน 819,700 บาท พร้อมเบี้ยปรับ 819,700 บาท เพราะเงินดังกล่าวเป็นเงินเดือนอันเป็นค่าจ้างของจำเลยตามปกติ โจทก์ไม่ได้ประสงค์จะลาออก แต่เป็นเรื่องการบริหารภายในระหว่างกรรมการผู้จัดการของโจทก์กับจำเลยไม่ตรงกันและไม่อาจทำงานร่วมกันต่อไปได้ โจทก์บอกเลิกจ้างจำเลยเมื่อปลายเดือนกรกฎาคม 2549 และให้มีผลตั้งแต่วันที่ 1 ธันวาคม 2549 เป็นต้นไป โดยจำเลยมิได้กระทำผิดที่จะเป็นเหตุให้เลิกจ้างโดยไม่จ่ายค่าชดเชยแก่จำเลยตามกฎหมาย จำเลยเป็นลูกจ้างโจทก์เป็นเวลา 5 ปี 3 เดือน โจทก์มีหน้าที่ต้องจ่ายค่าชดเชยแก่จำเลยเท่ากับค่าจ้างอัตราสุดท้าย 180 วัน เป็นเงินค่าชดเชย 1,405,199 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 15 ต่อปี นับแต่วันที่ 1 ธันวาคม 2549 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ ดอกเบี้ยคิดถึงวันฟ้องแย้งเป็นเงิน 118,960 บาท และโจทก์จะต้องรับผิดชำระเงินเพิ่มอีกในอัตราร้อยละ 15 ต่อปี ของต้นเงิน 1,409,199 บาท ทุกระยะเวลา 7 วัน นับแต่วันผิดนัดถึงวันฟ้องแย้งเป็นเงินเพื่อจำนวน 3,449,840 บาท ขอให้ยกฟ้องและให้โจทก์ชำระเงินจำนวน 4,973,999 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 15 ต่อปี จากต้นเงิน 1,449,840 บาท และเงินเพิ่มอีกทุกระยะเวลา 7 วัน นับแต่วันถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่จำเลย
โจทก์ให้การแก้ฟ้องแย้งว่า สัญญาจ้างระหว่างโจทก์กับจำเลยยุติโดยจำเลยลาออก โจทก์จึงไม่ต้องจ่ายค่าชดเชยและเงินเพิ่มพร้อมดอกเบี้ยแก่จำเลย ขอให้ยกฟ้องแย้ง
ศาลแรงงานกลางพิจารณาแล้ว พิพากษายกฟ้องและยกฟ้องแย้ง
โจทก์อุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีแรงงานตรวจสำนวนประชุมปรึกษาแล้ว ศาลแรงงานกลางฟังข้อเท็จจริงว่า จำเลยเคยเป็นลูกจ้างโจทก์ตำแหน่งผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ กลุ่มปฏิบัติการซึ่งเป็นผู้บริหารระดับสูงมีหน้าที่รับผิดชอบเรื่องการขาย แผนงานการเปิดสาขา รับผิดชอบรายได้รายจ่ายและการงบประมาณ ควบคุมบังคับบัญชาพนักงานของโจทก์จำนวน 1,500 คน ได้รับค่าจ้างเดือนละ 234,200 บาท เมื่อวันที่ 26 กรกฎาคม 2549 จำเลยได้ยื่นหนังสือลาออกจากการเป็นลูกจ้างให้มีผลในวันที่ 1 ธันวาคม 2549 โจทก์และจำเลยมีข้อตกลงในการลาออกของจำเลยว่า โจทก์ตกลงจ่ายค่าจ้างให้จำเลยก่อนที่ใบลาออกจะมีผลบังคับโดยจำเลยไม่ต้องทำงาน และโจทก์ให้สิทธิแก่จำเลยที่จะได้รับสิทธิแปลงใบสำคัญเป็นหุ้นสามัญของโจทก์ ซึ่งหากนำออกขายในตลาดหลักทรัพย์จะได้ค่าตอบแทนเป็นเงินประมาณ 1,000,000 บาท ซึ่งยังมีข้อตกลงในเอกสารดังกล่าวอีกว่าเมื่อจำเลยพ้นสภาพการเป็นลูกจ้างแล้ว ต้องไม่ประกอบกิจการหรือเข้าร่วมในการประกอบกิจการใดๆ เองอันเป็นการแข่งขันกับธุรกิจของโจทก์ภายในระยะเวลา 1 ปี มิฉะนั้นจะต้องชำระเบี้ยปรับเป็นจำนวนหนึ่งเท่าของค่าจ้าง ต่อมาวันที่ 30 ตุลาคม 2549 จำเลยสมัครงานเป็นลูกจ้างของบริษัทซีอาร์ซี เพาเวอร์ รีเทล จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทที่ประกอบธุรกิจจำหน่ายวัสดุอุปกรณ์ก่อสร้างและอื่นๆ ในลักษณะรูปแบบของห้างสรรพสินค้าโดยใช้ชื่อว่า Home Works มีลักษณะและสภาพอย่างเดียวกันและเป็นการแข่งขันกับกิจการของโจทก์ และจำเลยเข้าทำงานเป็นลูกจ้างตำแหน่งผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ ฝ่ายปฏิบัติการ ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2550 หลังจากพ้นสภาพเป็นลูกจ้างของโจทก์แล้ว ปัญหาจะต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของโจทก์ว่าจำเลยผิดข้อตกลงตามเงื่อนไขในการลาออกหรือไม่ เห็นว่า ข้อตกลงในการห้ามจำเลยหลังจากพ้นสภาพการเป็นลูกจ้างของโจทก์นั้นเป็นข้อตกลงในการจำกัดสิทธิของจำเลย จึงต้องตีความในข้อตกลงดังกล่าวโดยเคร่งครัด เมื่อเงื่อนไขในข้อตกลงนั้นเป็นการห้ามมิให้ประกอบกิจการหรือเข้าร่วมในการประกอบกิจการใด ๆ เอง ดังนั้นการที่จำเลยเข้าไปเป็นเพียงลูกจ้างของบริษัทซีอาร์ซี เพาเวอร์ รีเทล จำกัด แม้บริษัทที่เป็นนายจ้างใหม่ของจำเลยจะเป็นบริษัทที่แข่งขันกับธุรกิจของโจทก์ก็ตาม ก็ถือไม่ได้ว่าจำเลยเป็นผู้ประกอบกิจการหรือเข้าร่วมในการประกอบกิจการอันเป็นการแข่งขันกับธุรกิจของโจทก์ด้วยตนเอง จำเลยจึงไม่ได้ผิดสัญญาตามนั้น โจทก์ไม่มีสิทธิเรียกค่าเสียหาย ที่ศาลแรงงานกลางพิพากษายกฟ้องโจทก์นั้น ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกา อุทธรณ์ของโจทก์ฟ้งไม่ขึ้น
พิพากษายืน.
เรียบเรียงโดย บริษัท กฎหมายปาระมี จำกัด