คำพิพากษาฎีกาที่ 1518/57
เงินทดแทนกรณีว่างงาน ( ส่งเงินสมทบเดือนที่ 6 ครึ่งเดือน ด้วยเหตุถูกเลิกจ้าง อัตราเงินสมทบที่หักเดือนสุดท้ายไม่น้อยกว่าอัตราขั้นต่ำที่ต้องนำส่ง ถือว่าได้ส่งเงินสมทบครบ 6 เดือนแล้ว มีสิทธิ์ได้เงินทดแทนกรณีว่างงาน )
โจทก์ฟ้อง โจทก์เข้าทำงานเป็นลูกจ้างบริษัทยูนิเอเพ็คซ์ พรีซิชั่น (ไทยแลนด์) จำกัด เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ 2549 ระหว่างทำงานนายจ้างหักเงินค่าจ้างโจทก์ส่งเป็นเงินสมทบเข้ากองทุนประกันสังคมให้จำเลยตามกฎหมายมาโดยตลอด ต่อมานายจ้างเลิกจ้างโจทก์เมื่อวันที่ 30 มิถุนายน 2549 โจทก์จึงรายงานตัวเป็นผู้ว่างงานต่อสำนักงานงานประกันสังคมพื้นที่ 6 ได้ขึ้นทะเบียนโจทก์ให้มีมีสิทธิได้รับประโยชน์ทดแทนกรณีว่างงาน แต่เมื่อโจทก์ยื่นคำขอรับประโยชน์ทดแทนกรณีว่างงานต่อสำนักงานประกันสังคมจังหวัดชลบุรี สาขาศรีราชา กลับถูกปฎิเสธการจ่ายเงินประโยชน์ทดแทนโดยอ้างว่าโจทก์ส่งเงินสมทบไม่ครบ 6 เดือน ตามคำสั่งสำนักงานประกันสังคมจังหวัดชลบุรี สาขาศรีราชา ที่ ชบ 0025.2/1891 ลงวันที่ 21 กันยายน 2549 โจทก์ยื่นอุทธรณ์คำสั่งสำนักงานประกันสังคมจังหวัดชลบุรี สาขาศรีราชา คณะกรรมการอุทธรณ์จำเลยพิจารณาแล้วยกอุทธรณ์โจทก์ โดยให้เหตุผลว่าโจทก์ไม่มีสิทธิได้รับประโยชน์ทดแทนกรณีว่างงานเพราะภายในระยะเวลาสิบห้าเดือนก่อนว่างงาน โจทก์จ่ายเงินสมทบน้อยกว่า 6 เดือน ตามคำวินิจฉัยของคณะกรรมการอุทธรณ์ ที่ 601/2550 ลงวันที่ 30 มีนาคม 2550 โจทก์ไม่เห็นด้วยกับคำวินิจฉัยของคณะกรรมการอุทธรณ์จำเลย เพราะโจทก์ถูกนายจ้างหักเงินค่าจ้างนำส่งเป็นเงินสมทบให้กับจำเลยเป็นระยะเวลา 6 เดือน โจทก์จึงเป็นผู้มีสิทธิได้รับประโยชน์ทดแทนกรณีว่างงานจากจำเลย ขอให้เพิกถอนคำสั่งสำนักงานประกันสังคมจังหวัดชลบุรี สาขาศรีราชา และคำวินิจฉัยของคณะกรรมการอุทธรณ์จำเลยดังกล่าว และให้จำเลยจ่ายเงินประโยชน์ทดแทนกรณีว่างงานตามกฎหมายแก่โจทก์
จำเลยให้การว่า โจทก์เข้าทำงานกับบริษัทยูนิเอเพ็คซ์ พรีซิชั่น (ไทยแลนด์) จำกัด ระหว่างวันที่ 7 กุมภาพันธ์ – 30 มิถุนายน 2549 นายจ้างจ่ายค่าจ้างแก่โจทก์ทุกวันที่ 20 ของเดือน และหักค่าจ้างของโจทก์เพื่อส่งเป็นเงินสมทบในวันที่มีการจ่ายค่าจ้างแต่เนื่องจากโจทก์สิ้นสภาพการเป็นลูก จ้างในวันที่ 30 มิถุนายน 2549 กรณี จึงไม่อาจนำเงินสมทบที่หักจากค่าจ้างระหว่างวันที่ 21 – 30 มิถุนายน 2549 มาคำนวณนับเป็นระยะเวลาการส่งเงินสมทบเพื่อรับประโยชน์ทดแทนกรณีว่างงานได้ จึงเท่ากับว่าโจทก์ส่งเงินสมทบมาเพียง 5 เดือน เมื่อภายในระยะเวลาสิบห้าเดือนก่อนการว่างงาน โจทก์จ่ายเงินสมทบน้อยกว่า 6 เดือน โจทก์จึงไม่มีสิทธิได้รับประโยชน์ทดแทนกรณีว่างงานคำสั่งนักงานประกันสังคมจังหวัดชลบุรี สาขาศรีราชา และคำวินิจฉัยของคณะกรรมการอุทธรณ์จำเลยจึงชอบด้วยกฎหมายและไม่มีเหตุที่โจทก์จะขอให้เพิกถอนคำสั่งได้ ขอให้ยกฟ้อง
ศาลแรงงานกลางพิจารณาแล้ว พิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีแรงงานตรวจสำนวนประชุมปรึกษาแล้ว ศาลแรงงานกลางรับฟังข้อเท็จจริงว่า เมื่อวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2549 โจทก์เข้าทำงานเป็นลูกจ้าง บริษัท ฯ และเป็นผู้ประกันตนตามพระราชบัญญัติประกันสังคม พ.ศ.2533 ในระหว่างทำงานนายจ้างหักเงินค่าจ้างของโจทก์ส่งให้กับสำนักงานประกันสังคมจังหวัดชลบุรี สาขาศรีราชา มาโดยตลอด ต่อมา วันที่ 30 มิถุนายน 2549 นายจ้างเลิกจ้างโจทก์ โจทก์จึงยื่นคำขอรับประโยชน์ทดแทนกรณีว่างงานต่อสำนักงานประกันสังคมจังหวัดชลบุรี สาขาศรีราชา เมื่อวันที่ 3 กรกฎาคม 2549 แต่ถูกปฏิเสธการจ่ายเงินประโยชน์ทดแทนตามคำสั่งสำนักงานประกันสังคมจังหวัดชลบุรี สาขาศรีราชา ที่ ชบ 0025.2/1891 ลงวันที่ 21 กันยายน 2549 เอกสารหมาย ล.1 โจทก์ยื่นอุทธรณ์คำสั่งสำนักงานประกันสังคมจังหวัด คณะกรรมการอุทธรณ์จำเลยพิจารณาแล้วยกอุทธรณ์โจทก์ โดยให้เหตุผลว่าโจทก์ไม่มีสิทธิได้รับประโยชน์ทดแทนกรณีว่างงานเพราะภายในระยะเวลา 15 เดือนก่อนว่างงาน โจทก์จ่ายเงินสมทบน้อยกว่า 6 เดือน ตามคำวินิจฉัยของคณะกรรมการอุทธรณ์ ที่ 601/2550 ลงวันที่ 30 มีนาคม 2550 เอกสารหมาย ล.5 แล้ววินิจฉัยว่า แม้พระราชบัญญัติประกันสังคม พ.ศ. 2533 เป็นกฎหมายที่ถูกสร้างขึ้นมาโดยมีเจตนารมณ์เพื่อสร้างหลักประกันและช่วยเหลือแบ่งเบาภาระให้กับผู้ประกันตน ซึ่งส่วนใหญ่เป็นลูกจ้างในสถานประกอบการที่อาจได้รับความเดือดร้อนหรือประสบเคราะห์กรรมจากเหตุการณ์ในกรณีต่างๆ อันได้แก่การประสบอันตรายหรือเจ็บป่วย การคลอดบุตร ทุพพลภาพ การตาย กรณีสงเคราะห์บุตร การชราภาพ และการว่างงาน ซึ่งทำให้ผู้ประกันตนและครอบครัวมีรายได้ลดลง หรือมีภาระรายจ่ายเพิ่มขึ้น หรือไม่มีความสามารถในการหารายได้ แต่เงินที่นำมาใช้จัดสรรช่วยเหลือบรรเทาความเดือดร้อนของผู้ประกันตนจากเหตุการณ์ดังกล่าวล้วนเป็นเงินจากกองทุนประกันสังคมซึ่งมีมาจากการจัดเก็บจากนายจ้าง ลูกจ้าง และรัฐ ที่ต้องร่วมกันจ่ายเงินสมทบเข้ากองทุนเงิน กองทุนจึงจำต้องนำมาใช้จ่ายเพื่อประโยชน์ต่อผู้ประกันตนที่ได้รับความเดือดร้อนอย่างทั่วถึง และโดยที่เงินกองทุนมีจำนวนจำกัด จำเลยจึงจำต้องบริหารจัดการกองทุนอย่างมีประสิทธิภาพเพื่อรักษาเสถียรภาพของกองทุน ดังนั้น การที่จะพิจารณาจ่ายประโยชน์ทดแทนให้ผู้ประกันตนในกรณีต่างๆ ได้ จึงต้องมีหลักเกณฑ์ที่เหมาะสม การที่พระราชบัญญัติประกันสังคม พ.ศ.2533 มาตรา 78 กำหนดหลักเกณฑ์ที่ผู้ประกันตนจะสามารถใช้สิทธิขอรับประโยชน์ทดแทนในกรณีว่างงานได้ว่าจะต้องจ่ายเงินสมทบมาแล้วไม่น้อยกว่า 6 เดือน ภายในระยะเวลา 15 เดือน ก่อนการว่างงาน จึงเป็นหลักเกณฑ์ที่กำหนดเงื่อนไขระยะเวลาการจ่ายเงินสมทบเพื่อก่อให้เกิดสิทธิ ซึ่งหลักเกณฑ์ในเรื่องดังกล่าวถูกกำหนดขึ้นจากการคำนวณด้วยวิธีการทางสถิติและบัญชีภายใต้แนวคิดของการรักษาเสถียรภาพและการบริหารจัดการ กองทุนให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด ดังนั้นการพิจารณาว่าผู้ประกันตนได้จ่ายเงินสมทบครบ 6 เดือน ภายในระยะเวลา 15 เดือน ก่อนการว่างงานอันก่อให้เกิดสิทธิได้รับประโยชน์ทดแทนกรณีว่างงานหรือไม่นั้น จึงจำต้องนับระยะเวลาโดยเคร่งครัด กล่าวคือ ผู้ประกันตนต้องจ่ายเงินสมทบครบ 6 เดือน ภายในระยะเวลา 15 เดือน ก่อนการว่างงานอย่างแท้จริง ประกอบกับพระราชบัญญัติประกันสังคม แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ 2 ) พ.ศ. 2537 มาตรา 6 วรรคสาม ได้กำหนดหลักเกณฑ์ในเรื่องการนับระยะเวลาการส่งเงินสมทบไว้โดยกำหนดว่าเงินสมทบที่หักจากค่าจ้างในเดือนใด ให้ถือว่าเป็นเงินสมทบของเดือนนั้น และไม่ว่าเงินสมทบนั้นจะได้หักไว้หรือนำส่งเดือนละกี่ครั้ง ให้ถือว่าที่มีระยะเวลาในการจ่ายเงินสมทบเท่ากับ 1 เดือน ดังนั้นเงินสมทบที่หักจากค่าจ้างโจทก์ในวันที่ 21 – 30 มิถุนายน 2549 จึงถือว่าเป็นเงินสมทบของเดือนมิถุนายน 2549 การที่โจทก์ถูกนายจ้างหักเงินค่าจ้างส่งเป็นเงินสมทบให้กับจำเลยมาระหว่างเดือนกุมภาพันธ์ – มิถุนายน 2549 จึงเป็นการส่งเงินสมทบมาเพียง 5 เดือน แม้ในเดือนพฤษภาคม และมิถุนายน 2549 โจทก์ถูกนายจ้างหักค่าจ้างส่งเงินสมทบให้กับจำเลย 2 งวด คือวันที่ 21 พฤษภาคม – 20 มิถุนายน 2549 และวันที่ 21 – 30 มิถุนายน 2549 อันทำเป็นได้ว่าโจทก์ได้ส่งเงินสมทบให้จำเลยมาแล้ว 6 งวด แต่ในงวดระหว่างวันที่ 21 – 30 มิถุนายน 2549 นายจ้างหักเงินสมทบจากค่าจ้างส่งให้กับจำเลยเพียง 417 บาท ในขณะที่หักเงินค่าจ้างในเดือนที่ 1 - 5 เดือนละ 750 บาท ดังนั้น เงินค่าจ้างที่หักในงวดที่ 6 นายจ้างยังไม่ได้หักเงินค่าจ้างของโจทก์เต็มเดือน กรณียังถือไม่ได้ว่าโจทก์ได้จ่ายเงินสมทบในเดือนที่ 6 ครบถ้วนแล้ว ลำพังการส่งเงินสมทบให้จำเลยมาแล้ว 6 งวด ไม่อาจจะแปลขยายความเป็นประโยชน์แก่โจทก์ได้ว่าส่งเงินสมทบมาครบ 6 เดือน ด้วยคดียังไม่ได้ว่าโจทก์ได้ส่งเงินสมทบไม่น้อยกว่า 6 เดือน 30 งวด ม และมิถุนายน 2549 ภายในระยะเวลา 15 เดือน ก่อนว่างงาน โจทก์จึงยังไม่มีสิทธิได้รับประโยชน์ทดแทนกรณีว่างงาน ตามพระราชบัญญัติประกันสังคม มาตรา 78 คำสั่งสำนักงานประกันสังคมจังหวัดชลบุรี ลงวันที่ 21 กันยายน 2549 เอกสารหมาย ล.1 และคำวินิจฉัยของคณะกรรมการอุทธรณ์ที่ 601/2550 ลงวันที่ 30 มีนาคม 2550 เอกสารหมาย ล.5 จึงชอบด้วยกฎหมายแล้ว กรณีไม่มีเหตุที่จะเพิกถอนคำสั่ง
อุทธรณ์ของโจทก์ที่ว่า นายจ้างโจทก์หักเงินค่าจ้างโจทก์กับสำนักงานประกันสังคมครบ 6 งวด 6 เดือน แล้ว โจทก์จึงมีสิทธิได้รับผลประโยชน์ทดแทนกรณีว่างงานนั้น เห็นว่า พระราชบัญญัติประกันสังคม มาตรา 78 บัญญัติหลักเกณฑ์ว่าผู้ประกันตนจะสามารถใช้สิทธิขอรับประโยชน์ทดแทนในกรณีว่างงานได้จะต้องจ่ายเงินสมทบแล้วไม่น้อยกว่า 6 เดือน ภายในระยะเวลา 15 เดือนก่อนว่างงาน และตามมาตรา 47 วรรคแรก กำหนดให้นายจ้างหักค่าจ้างของผู้ประกันตน นำส่งเป็นเงินสมทบ ซึ่งตามกฎกระทรวง ฉบับที่ 7 (พ.ศ. 2538) ข้อ 1 บัญญัติว่า ค่าจ้างที่ใช้เป็นฐานในการคำนวณเงินสมทบของผู้ประกันตนตามมาตรา 33 แต่ละคนให้กำหนดเป็นจำนวนไม่ตำกว่าเดือนละ 1,650 บาท และไม่เกินเดือนละ 15,000 บาท ดังนั้น การที่ลูกจ้างจะเป็นผู้ประกันตนตามมาตรา 33 นอกจากต้องมีอายุไม่ต่ำกว่า 15 ปีบริบูรณ์และไม่เกิน 60 ปีบริบูรณ์แล้ว ลูกจ้างผู้นั้นจะต้องได้รับค่าจ้างไม่ต่ำกว่าเดือนละ 1,650 บาท ตามกฎหมายฉบับที่ 7 (พ.ศ.2538) ด้วย ดังนั้น การที่โจทก์ถูกนายจ้างหักเงินสมทบเข้ากองทุนรวม 6 งวด คือ งวดแรกวันที่ 2 – 20 กุมภาพันธ์ 2549 งวดที่ 2 วันที่ 21 กุมภาพันธ์ – 20 มีนาคม 2549 งวดที่ 3 วันที่ 21 มีนาคม – 20 เมษายน 2549 งวดที่ 4 วันที่ 21 เมษายน – 20 พฤษภาคม 2549 งวดที่ 5 วันที่ 20 พฤษภาคม – 20 มิถุนายน 2549 และงวดที่ 6 วันที่ 21 มิถุนายน – 30 มิถุนายน 2549 โดยใน 5 งวดแรก นายจ้างหักเงินสมทบจากค่าจ้างโจทก์เดือนละ 750 บาท ส่วนงวดที่ 6 โจทก์ทำงาน กับนายจ้างระหว่างวันที่ 21 – 30 มิถุนายน 2549 เมื่อโจทก์ได้รับค่าจ้างเดือนละ 25,000 บาท ค่าจ้างระหว่างวันที่ 21 – 30 มิถุนายน 2549 รวม 10 วัน จึงเท่ากับ 8,333 บาท นายจ้างจึงหักเงินสมทบจากค่าจ้างโจทก์ไป 417 บาท และได้นำส่งเงินสมทบให้กับกองทุนจำเลยแล้ว เมื่อค่าจ้างโจทก์ในงวดที่ 6 มีจำนวน 8,333 บาท สูงกว่าเดือนละ 1,650 บาท อันเป็นฐานต่ำสุดในการคำนวณเงินสมทบตามกฎหมายกระทรวงฉบับที่ 7 เงินในงวดที่ 6 จำนวนค่าจ้างอยู่ในฐานที่ใช้ในการคำนวณเงินสมทบ จึงถือว่าโจทก์ส่งเงินสมทบให้จำเลยครบ 6 งวด แล้ว แม้ตามพระราชบัญญัติประกันสังคม มาตรา 6 วรรคท้าย จะกำหนดหลักเกณฑ์ในการนับระยะเวลาการส่งเงินสมทบของผู้ประกันตน โดยให้ถือว่าเป็นเงินสมทบที่หักจากค่าจ้างที่จ่ายให้เดือนใดเป็นการจ่ายเงินสมทบของเดือนนั้น ไม่ว่าเงินสมทบนั้นจะได้หักไว้หรือนำส่งเดือนละกี่ครั้งก็ตาม แต่บทบัญญัติดังกล่าวก็เป็นเพียงข้อสันนิฐานในกรณีที่ลูกจ้างได้รับค่าจ้างเดือนละหลายครั้ง เช่น ค่าจ้างรายวัน ค่าจ้างรายสัปดาห์ เป็นต้น เท่านั้น ซึ่งสำหรับการคำนวณค่าจ้างเพื่อการออกเงินสมทบเป็นรายเดือนตามพระราชบัญญัติประกันสังคม มาตรา 6 วรรคแรก ได้กำหนดหลักเกณฑ์ว่าให้ถือเอาค่าจ้างที่คิดเป็นรายเดือนเป็นเกณฑ์คำนวณ ดังนั้นการที่นายจ้างโจทก์มีการจ่ายค่าจ้างทุกวันที่ 20 ของเดือน จึงต้องถือเอารอบค่าจ้างที่จ่ายในวันที่ 20 ของเดือนใดเป็นฐานในการคำนวณเงินสมทบในเดือนนั้น เมื่องวดที่ 5 นายจ้างได้หักเงินสมทบจากค่าจ้างวันที่ 20 พฤษภาคม – 20 มิถุนายน 2549 ส่งจำเลยแล้วจึงถือว่าจำเลยได้รับเงินสมทบรายเดือนของเดือนมิถุนายน แล้ว สำหรับเงินสมทบที่คำนวณจากค่าจ้างระหว่าง วันที่ 21 – 30 มิถุนายน 2549 ย่อมเป็นเงินสมทบสำหรับค่าจ้างเดือนกรกฎาคม 2549 มิใช่ของเดือนมิถุนายน 2549 เนื่องจากหากถือว่าเงินสมทบระหว่างวันที่ 21 - 30 มิถุนายน 2549 เป็นเงินสมทบของเดือนมิถุนายน 2549 แล้วจะทำให้โจทก์ถูกหักเงินสมทบเกินกว่าร้อยละ 5 เงินเดือนโจทก์เดือนละ 25,000 บาท เมื่อโจทก์จ่ายเงินสมทบ 6 งวด ตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ – กรกฎาคม 2549 แล้ว ซึ่งตามเอกสารการนำส่งเงินสมทบตามเอกสารหมาย ล.1 และตามคำวินิจฉัย ที่ 601/2550 ของคณะกรรมการอุทธรณ์เอกสารหมาย จ.5 ก็ได้ ระบุว่าการหักเงินในรอบระหว่างวันที่ 21 – 30 มิถุนายน 2549 จึงเป็นเงินสมทบที่หักในงวดที่ 6 ของเดือนกรกฎาคม 2549 ซึ่งไม่ขัดกับพระราชบัญญัติประกันสังคม มาตรา 6 วรรคท้าย จึงถือว่าโจทก์จ่ายเงินสมทบมาแล้วไม่น้อยกว่า 6 เดือน ตามพระราชบัญญัติประกันสังคม มาตรา 78 โจทก์จึงมีสิทธิได้รับประโยชน์ทดแทนการว่างงานตามพระราชบัญญัติประกันสังคมมาตรา 79 เมื่อโจทก์ว่างงานเพราะเหตุถูกเลิกจ้างจึงมีสิทธิได้รับเงินทดแทนร้อยละ 50 ของค่าจ้างรายวันไม่เกิน 180 วัน ตามกฎกระทรวงกำหนดหลักเกณฑ์และอัตราการได้รับประโยชน์ทดแทนในกรณีว่างงาน พ.ศ. 2547 ข้อ 1 (1) อุทธรณ์ของโจทก์ฟังขึ้น
พิพากษากลับ ให้เพิกถอนคำสั่งสำนักประกันสังคมจังหวัดชลบุรี สาขาศรีราชา ที่ 0025.6/1891 ลงวันที่ 21 กันยายน 2549 และคำวินิจฉัยของคณะกรรมการอุทธรณ์จำเลยที่ 601/2550 ลงวันที่ 30 มีนาคม 2550 และให้จำเลยจ่ายเงินทดแทนกรณีว่างงานแก่โจทก์
เรียบเรียงโดย บริษัท กฎหมายปาระมี จำกัด