คำพิพากษาฎีกาที่ 2425/57
กระทำผิดซ้ำคำเตือน ละทิ้งหน้าที่ ไม่อยู่ในที่ทำงาน กระทำผิดอีก เลิกจ้างได้โดยไม่ต้องจ่ายค่าชดเชย เลิกจ้างเป็นธรรม
โจทก์ฟ้องและแก้ไขคำฟ้องว่า เมื่อประมาณปี 2538 จำเลยได้จ้างโจทก์ทำงานเป็นลูกจ้างตำแหน่งรับส่งเอกสาร ได้รับค่าจ้างอัตราสุดท้ายเดือนละ 14,000 บาท กำหนดจ่ายค่าจ้างทุกวันสิ้นเดือน ต่อมาเมื่อวันที่ 18 กรกฎาคม 2550 จำเลยมีหนังสือบอกเลิกจ้างโจทก์ โดยอ้างว่าโจทก์กระทำความผิด ซึ่งไม่เป็นความจริง โจทก์ทำงานเป็นลูกจ้างจำเลยติดต่อกันเกินกว่า 10 ปี มีสิทธิที่จะได้รับค่าชดเชยไม่น้อยกว่าค่าจ้างอัตราสุดท้าย 300 วัน เป็นเงิน 140,000 บาทและมีสิทธิได้รับสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้าตั้งแต่วันที่ 21 กรกฎาคม ถึงวันที่ 31 สิงหาคม 2550 รวม 42 วัน เป็นเงิน 19.600 บาท ระหว่างวันที่ 1 ถึงวันที่ 20 กรกฎาคม 2550 จำเลยค้างจ่ายค่าจ้างโจทก์รวม 20 วัน เป็นเงิน 9,333 บาท การที่จำเลยเลิกจ้างโจทก์ทำให้โจทก์ได้รับความเสียหายจำนวน 140,000 บาท ขอให้บังคับจำเลยจ่ายสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้า 19,600 บาท ค่าเสียหายจากการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรม 140,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 7.5 ต่อปีนับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จกับให้จำเลยจ่ายค่าจ้างที่ค้าง 9,333 บาท ค่าชดเชย 140,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 15 ต่อปีนับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยให้การว่า จำเลยได้จ้างโจทก์ทำงานเป็นลูกจ้างของจำเลยเมื่อวันที่ 29 สิงหาคม 2537 มีค่าจ้างอัตราสุดท้ายเดือนละ 11,000 บาท และค่าน้ำมันรถจักรยานยนต์เดือนละ 3,000 บาท กำหนดจ่ายค่าจ้างทุกวันสิ้นเดือนระหว่างที่โจทก์เป็นลูกจ้างจำเลย โจทก์ทำผิดหลายครั้ง ซึ่งจำเลยได้ตักเตือนเป็นหนังสือแล้ว คือเมื่อวันที่ 14 สิงหาคม 2539 เรื่องโจทก์มาทำงานสาย ครั้งที่ 2 จำเลยออกหนังสือเตือนฉบับลงวันที่ 10 กรกฎาคม 2541 เรื่องโจทก์นอนหลับในที่ทำงาน ครั้งที่ 3 จำเลยทำหนังสือเตือนโจทก์ลงวันที่ 3 พฤศจิกายน 2548 เรื่องโจทก์ไม่อยู่ประจำในที่ทำงาน ทำให้จำเลยหาตัวโจทก์ไม่พบ ครั้งที่ 4 จำเลยได้ทำหนังสือเตือนโจทก์ฉบับลงวันที่ 22 ธันวาคม 2549 ตักเตือนเรื่องโจทก์ไม่ประจำอยู่ในที่ทำงานทำให้จำเลยหาตัวไม่พบ ต่อมาวันที่ 18 กรกฎาคม 2550 จำเลยจึงมีหนังสือเลิกจ้างโจทก์โดยอ้างว่าโจทก์กระทำผิดหลายครั้ง และนอนหลับในเวลาทำงานเมื่อวันที่ 14 กรกฎาคม 2550 เวลา 10 น. และเมื่อวันที่ 16 กรกฎาคม 2550 เวลา 8.30 น. โจทก์ไม่ประจำอยู่ในที่ทำงาน จำเลยเรียกตัวไม่พบเป็นเหตุให้จำเลยต้องรอโจทก์อยู่ประมาณ 10 – 20 นาที โจทก์จึงเดินทางกลับพร้อมถือหนังสือพิมพ์ติดมือมาด้วย เมื่อวันที่ 23 กรกฎาคม 2550 จำเลยได้จ่ายค่าจ้าง 20 วัน จำนวน 9,333 บาท ให้แก่โจทก์ และจ่ายเงินช่วยเหลือโจทก์จำนวน 14,850 บาท โดยโอนเข้าบัญชีเงินฝากของโจทก์ จำเลยจึงไม่ต้องรับผิดตามฟ้อง ขอให้ยกฟ้อง
ศาลแรงงานกลางพิจารณาแล้ว พิพากษาให้จำเลยจ่ายสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้าให้แก่โจทก์ 19,600 บาท ค่าเสียหายจากการเลิกจ้างไม่เป็นธรรมจำนวน 85,150 บาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 7.5 ต่อปี นับจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ ให้จำเลยจ่ายค่าชดเชย 140,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 15 ต่อปี นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ คำขออื่นนอกจากนี้ให้ยก
จำเลยอุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีแรงงานตรวจสำนวนประชุมปรึกษาแล้ว ศาลแรงงานกลางฟังข้อเท็จจริงว่า โจทก์ทำงานหน้าที่สุดท้ายขับรถจักรยานยนต์รับส่งเอกสาร โจทก์ทำงานเป็นลูกจ้างจำเลยเป็นเวลานาน โจทก์ต้องรู้ข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงานของจำเลยเป็นอย่างดี โจทก์เคยกระทำความผิดและจำเลยมีหนังสือตักเตือนโจทก์รวมทั้งสิ้น 4 ครั้ง คือ ครั้งแรกเมื่อวันที่ 14 สิงหาคม 2539 โจทก์มาทำงานสาย ครั้งที่สองวันที่ 10 กรกฎาคม 2541 โจทก์นอนหลับในที่ทำงาน ครั้งที่สามวันที่ 3 พฤศจิกายน 2548 โจทก์ไม่อยู่ในที่ทำงาน ครั้งที่สี่วันที่ 22 ธันวาคม 2549 โจทก์ไม่อยู่ในที่ทำงาน วันที่ 18 กรกฎาคม 2550 จำเลยเลิกจ้างโจทก์โดยอ้างว่า วันที่ 14 กรกฎาคม 2550 โจทก์นอนหลับในที่ทำงาน วันที่ 16 กรกฎาคม 2550 โจทก์ไม่อยู่ในที่ทำงานโดยไม่แจ้งให้ผู้ใดทราบเป็นเหตุให้ผู้บังคับบัญชาต้องรอโจทก์เป็นเวลา 10 – 20 นาที โจทก์กลับเข้ามาโดยในมือถือหนังสือพิมพ์การกระทำของโจทก์เป็นการกระทำผิดซ้ำคำเตือน
มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของจำเลยว่า โจทก์กระทำผิดซ้ำคำเตือนหรือไม่ โดยจำเลยอ้างว่าที่ศาลแรงงานกลางวินิจฉัยว่าการที่จำเลยมีหนังสือเตือนโจทก์ทั้งสี่ครั้ง นอกจากแต่ละครั้งจะห่างกันเกิน 1 ปีแล้ว เรื่องที่จำเลยตักเตือนอ้างว่าโจทก์กระทำผิดในหนังสือเตือนแต่ละครั้งก็เป็นความผิดที่แตกต่างกันที่มิใช่เรื่องเดียวกัน จึงถือไม่ได้ว่าโจทก์ฝ่าฝืนข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงานหรือระเบียบคำสั่งของนายจ้างอันชอบด้วยกฎหมายและเป็นธรรมและนายจ้างได้ตักเตือนเป็นหนังสือแล้ว สำหรับหนังสือเลิกจ้างโจทก์กระทำผิดเมื่อวันที่ 18 กรกฎาคม 2550 เอกสารหมาย ล.2 นั้น จำเลยอ้างว่า โจทก์กระทำผิดเมื่อวันที่ 14 กรกฎาคม 2550 เวลา 10 น. คือโจทก์นอนหลับในที่ทำงาน และยังระบุความผิดของโจทก์อีกประการหนึ่งว่าเมื่อวันที่ 16 กรกฎาคม 2550 เวลา 8.30 น. โจทก์ไม่อยู่ในบริษัทโดยไม่แจ้งให้ผู้ใดทราบ การที่จำเลยเลิกจ้างโจทก์เพราะเหตุดังกล่าวเป็นการเลิกจ้างที่จำเลยมิได้มีหนังสือตักเตือน และโจทก์ไม่ได้ฝ่าฝืนคำเตือนและทำผิดซ้ำคำเตือนในประเภทเดียวกัน เป็นการวินิจฉัยที่ไม่ถูกต้องตรงกันขัดกับพยานหลักฐานในสำนวนเป็นการไม่ชอบ เมื่อพิจารณาหนังสือตักเตือนโจทก์ครั้งที่ 1 – 3 เมื่อนับจากวันที่โจทก์กระทำความผิดจนถึงวันเลิกจ้างนั้นเกิน 1 ปี หนังสือเตือนดังกล่าวจึงไม่มีผลใช้บังคับ หนังสือเลิกจ้างระบุเหตุแห่งการเลิกจ้างไว้ 2 ประการ คือ วันที่ 14 กรกฎาคม 2550 โจทก์นอนหลับในที่ทำงาน การกระทำของโจทก์ในครั้งนี้เป็นการกระทำผิดซ้ำคำเตือนเมื่อวันที่ 10 กรกฎาคม 2541 ซึ่งเกิน 1 ปี นับแต่วันที่ โจทก์กระทำผิด ส่วนวันที่ 16 กรกฎาคม 2550 เวลา 8.30 น. โจทก์ไม่อยู่ในที่ทำงาน และไม่ได้แจ้งให้ใครทราบ ผู้บังคับบัญชาต้องการมอบหมายงานให้โจทก์และรอโจทก์เป็นเวลา 10 – 20 นาที โจทก์จึงกลับเข้ามาพร้อมหนังสือพิมพ์ การกระทำของโจทก์ในส่วนนี้จำเลยเคยมีหนังสือเตือนโจทก์ ฉบับลงวันที่ 22 ธันวาคม 2549 โดยระบุว่าวันที่ 21 ธันวาคม 2549 โจทก์ไม่ได้อยู่ในที่ทำงานโดยไม่ได้แจ้งหรือบอกกล่าวใคร และเมื่อสอบถามทางโทรศัพท์โจทก์แจ้งว่าอยู่ในห้องน้ำการกระทำของโจทก์เป็นการฝ่าฝืนระเบียบข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงานของจำเลยหมวดที่ 7 วินัยและโทษทางวินัย 7.1 และ 7.2 ซึ่งโจทก์เคยได้รับการตักเตือนอย่างนี้มาก่อนแล้ว หากจำเลยพบว่าโจทก์ยังกระทำผิดระเบียบวินัยและข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงานของจำเลยอีก จำเลยสามารถพิจารณาให้โจทก์พ้นสภาพการเป็นพนักงานได้ โจทก์ลงลายมือชื่อรับทราบการกระทำของโจทก์ในวันที่ 16 กรกฎาคม 2550 จึงเข้าลักษณะเป็นการกระทำผิดซ้ำคำเตือนแล้ว และเมื่อเป็นการกระทำผิดซ้ำคำเตือนที่ไม่เกิน 1 ปีนับแต่วันที่โจทก์กระทำผิด จำเลยจึงเลิกจ้างโจทก์ได้โดยไม่ต้องจ่ายค่าชดเชยตามพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ.2541 มาตรา 119 (4) และเป็นการจงใจขัดคำสั่งของนายจ้างอันชอบด้วยกฎหมายและเป็นธรรม จำเลยจึงไม่ต้องจ่ายสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้าตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 583 และมิใช่การเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรมตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. 2522 มาตรา 49 ที่ศาลแรงานกลางพิพากษามานั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย อุทธรณ์ของจำเลยฟังขึ้น และไม่จำต้องวินิจฉัยอุทธรณ์ข้ออื่นของจำเลยต่อไปเพราะไม่ทำให้ผลคดีเปลี่ยนแปลง
พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยไม่ต้องจ่ายค่าชดเชย สินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้าและค่าเสียหายจากการเลิกจ้างไม่เป็นธรรมแก่โจทก์ นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลแรงงานกลาง.
เรียบเรียงโดย บริษัท กฎหมายปาระมี จำกัด