คำพิพากษาฎีกาที่ 1664/57
ป่วยทุพลภาพ นายจ้างยังคงจ่ายค่าจ้างให้ตามปกติ ถือว่าเป็นค่าจ้างตามพระราชบัญญัติประกันสังคม ลูกจ้างมีสิทธิได้รับเงินประโยชน์ทดแทน
โจทก์ฟ้องว่า เมื่อประมาณปี 2536 โจทก์เข้าทำงานเป็นลูกจ้างของบริษัทลีกัมกี่ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด ครั้งสุดท้ายทำหน้าที่เป็นกรรมการผู้จัดการได้รับค่าจ้างเดือนละ 40,000 บาท กำหนดจ่ายค่าจ้างทุกวันสิ้นเดือน โจทก์ได้ส่งเงินประกันสังคมเข้าสำนักงานประกันสังคมตามกฎหมายจึงเป็นผู้ประกันตนที่มีสิทธิได้รับประโยชน์ครบถ้วนตามกฎหมาย ต่อมาเมื่อวันที่ 9 มีนาคม 2546 ขณะที่โจทก์ทำงานได้เกิดปวดศีรษะจนล้มลง ได้ส่งตัวไปรักษาที่โรงพยาบาลกล้วยน้ำไท แพทย์วินิจฉัยว่าเส้นเลือดในสมองแตก จึงรับไว้รักษาในห้องไอซียู และต่อมาภรรยาโจทก์ได้นำโจทก์เข้ารักษาต่อที่โรงพยาบาลมเหสักข์ แพทย์ตรวจแล้ววินิจฉัยว่าโจทก์ป่วยด้วยโรคความดันโลหิตสูงและมีเลือดออกในสมอง แขน ขาด้านขวาอ่อนแรง ทั้งยังมีอาการทางสมอง คือพูดไม่ชัด ต่อมาในวันที่ 21 มิถุนายน 2549 โจทก์ได้ยื่นแบบคำขอประโยชน์ทดแทนกรณีทุพพลภาพต่อสำนักงานประกันสังคมเขตพื้นที่ 1 สำนักงานประกันสังคมเขตพื้นที่ 1 ได้มีหนังสือที่ รง 0625/23905 ลงวันที่ 29 สิงหาคม 2549 ว่าโจทก์ไม่มีสิทธิได้รับเงินทดแทนรายได้กรณีทุพพลภาพ เนื่องจากโจทก์ไม่ใช่ลูกจ้างตามมาตรา 5 แห่งพระราชบัญญัติประกันสังคม พ.ศ. 2533 โจทก์ได้ยื่นอุทธรณ์ต่อคณะกรรมการอุทธรณ์ ต่อมาคณะกรรมการอุทธรณ์ได้มีคำวินิจฉัยที่ 990/2550 ลงวันที่ 12 มิถุนายน 2550 ว่าโจทก์ไม่มีสิทธิได้รับประโยชน์ทดแทนกรณีทุพพลภาพ เนื่องจากเงินที่บริษัทลีกัมกี่ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด นายจ้างของโจทก์ส่งสมทบต่อสำนักงานประกันสังคมจำเลยนั้น มิใช่ค่าจ้างตามมาตรา 5 แห่งพระราชบัญญัติประกันสังคม พ.ศ. 2533 โจทก์ไม่เห็นด้วยต่อคำวินิจดังกล่าว เพราะโจทก์เป็นลูกจ้างของบริษัทลีกัมกี่ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด และได้รับเงินเดือนจากนายจ้างตลอดเวลาในขณะที่โจทก์เจ็บป่วย เงินดังกล่าวจึงถือว่าเป็นเงินที่นายจ้างจ่ายให้แก่ลูกจ้างเป็นการตอบแทนในการทำงานในวันและเวลาทำงานปกติไม่ว่าทำงานตามระยะเวลาหรือคำนวณตามผลงานที่ลูกจ้างทำได้และให้หมายความรวมถึงเงินที่นายจ้างจ่ายให้ในวันหยุดและวันลาอันเป็นไปตามคำจำกัดความของคำว่า ค่าจ้างตามพระราชบัญญัติประกันสังคม พ.ศ. 2533 มาตรา ขอให้เพิกถอนคำวินิจฉัยที่ 990/2550 ลงวันที่ 12 มิถุนายน 2550 ของคณะกรรมการอุทธรณ์ของจำเลยและให้โจทก์มีสิทธิได้รับเงินประโยชน์ทดแทนกรณีทุพพลภาพตามกฎหมาย
จำเลยให้การว่า ตั้งแต่โจทก์เจ็บป่วย โจทก์ไม่สามารถไปทำงานได้ เงินที่นายจ้างจ่ายให้โจทก์จึงไม่ใช่เงินที่นายจ้างจ่ายให้ลูกจ้างเพื่อตอบแทนการทำงานในวันและเวลาทำงาน แต่เป็นการให้ความช่วยเหลือแก่โจทก์ซึ่งเจ็บป่วยและไม่สามารถทำงานได้เงินดังกล่าวจึงไม่เป็นค่าจ้างตามมาตรา 5 แห่งพระราชบัญญัติประกันสังคม พ.ศ. 2533 คำวินิจฉัยของคณะกรรมการอุทธรณ์ที่ 990/2550 ที่มีมติให้ยกอุทธรณ์จึงชอบด้วยเหตุผลและกฎหมายแล้ว ไม่มีเหตุที่จะแก้ไขเปลี่ยนแปลงหรือเพิกถอนแต่อย่างใด ขอให้ยกฟ้อง
ศาลแรงงานกลางพิจารณาแล้ว พิพากษาให้เพิกถอนคำวินิจฉัยที่ 990/2550 ลงวันที่ 12 มิถุนายน 2550 ของจำเลย และให้โจทก์มีสิทธิได้รับเงินประโยชน์ทดแทนกรณีทุพพลภาพตามกฎหมาย
จำเลยอุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนคดีแรงงานตรวจสำนวนประชุมปรึกษาแล้ว ศาลแรงงานกลางฟังข้อเท็จจริงเป็นยุติว่า โจทก์เข้าทำงานที่บริษัทลีกัมกี่ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด ครั้งสุดท้ายดำรงตำแหน่งเป็นกรรมการผู้จัดการ ได้รับค่าจ้างอัตราสุดท้ายเดือนละ 40,000 บาท กำหนดจ่ายค่าจ้างทุกวันสิ้นเดือน เมื่อวันที่ 9 มีนาคม 2546 ขณะโจทก์อยู่ที่ทำงานได้ปวดและเวียนศีรษะจนล้มลง เพื่อนร่วมงานช่วยนำส่งเข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลกล้วยน้ำไท แพทย์ตรวจแล้วินิจฉัยว่าเส้นเลือดในสมองแตกจึงรับไว้รักษาในห้องไอซียู ต่อมาในเวลา 15 นาฬิกา ภรรยาของโจทก์ขอย้ายเข้ารักษาตัวที่โรงพยาบาลมเหสักข์ ซึ่งเป็นโรงพยาบาลตามสิทธิ แพทย์ตรวจแล้ววินิจฉัยว่าโจทก์ป่วยด้วยโรคความดันโลหิตสูงและมีเลือดออกในสมอง แขน ขา ด้านขวาอ่อนแรงเป็นอัมพฤกษ์จึงรับตัวไว้รักษา ต่อมาเมื่อวันที่ 21 มิถุนายน 2549 โจทก์มายื่นคำขอประโยชน์ทดแทนกรณีทุพพลภาพต่อสำนักงานประกันสังคมเขตพื้นที่ 1 สำนักงานประกันสังคมเขตพื้นที่ 1 ได้มีหนังสือที่ รง 0625/23905 ลงวันที่ 29 สิงหาคม 2549 เห็นว่าโจทก์ไม่ใช่ลูกจ้างตามมาตรา 5 แห่งพระราชบัญญัติประกันสังคม พ.ศ. 2533 โจทก์ไม่พอใจในคำสั่ง จึงได้อุทธรณ์ต่อคณะกรรมการอุทธรณ์ ต่อมาคณะกรรมการอุทธรณ์ได้มีคำวินิจฉัยที่ 990/2550 ลงวันที่ 12 มิถุนายน 2550 ว่าโจทก์ไม่มีสิทธิได้รับประโยชน์ทดแทนกรณีทุพพลภาพ เนื่องจากโจทก์ไม่สามารถทำงานได้ เงินที่นายจ้างจ่ายให้ไม่ใช่เงินที่นายจ้างให้แก่ลูกจ้างเพื่อตอบแทนการทำงานในวันและเวลาทำงานปกติแต่เป็นการให้เพื่อช่วยเหลือแก่โจทก์ซึ่งเจ็บป่วยและไม่สามารถทำงานได้เงินดังกล่าวไม่ใช่ค่าจ้างตามความหมายมาตรา 5 แห่งพระราชบัญญัติประกันสังคม พ.ศ. 2533 แล้ว วินิจฉัยว่า การที่โจทก์เจ็บป่วยแล้วลารักษาตัวอยู่ที่บ้านโดยไม่ได้เข้าไปที่บริษัทลีกัมกี่ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด เลยแต่ยังคงได้รับเงินทุกเดือน ถือได้ว่าโจทก์ซึ่งเป็นลูกจ้างได้ใช้สิทธิลาป่วยโดยถูกต้องตามกฎหมาย เงินที่นายจ้างจ่ายให้แก่โจทก์ในวันหยุดและวันลา ซึ่งโจทก์ไม่ได้มาทำงานถือว่าเป็นค่าจ้าง อีกทั้งการที่โจทก์ยังมีสภาพการเป็นลูกจ้างของบริษัทลีกัมกี่ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด จึงสามารถเป็นผู้ประกันตนได้ โจทก์จึงมีสิทธิได้รับประโยชน์ทดแทนในกรณีทุพพลภาพ
คดีมีปัญหาตามอุทธรณ์ของจำเลยว่า เงินที่บริษัทลีกัมกี่ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด นายจ้างจ่ายให้แก่โจทก์เป็นค่าจ้างหรือไม่นั้น เห็นว่า เมื่อปรากฏข้อเท็จจริงว่าโจทก์เจ็บป่วยมาทำงานไม่ได้ โดยระหว่างรักษาตัวพนักงานบริษัทนายจ้างต้องนำเอกสารมาให้โจทก์ลงลายมือชื่อหรือพิมพ์ลายพิมพ์นิ้วมือ แต่นายจ้างโจทก์ยังจ่ายเงินเดือนให้ทุกเดือนดังนั้น การที่โจทก์ซึ่งเป็นผู้บริหารของบริษัทลีกัมกี่ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด ได้เจ็บป่วยลงจนต้องพักรักษาตัวอยู่ที่บ้านนั้น แม้โจทก์จะมาทำงานยังสถานที่ทำงานไม่ได้ แต่ระหว่างพักรักษาตัวโจทก์ได้ลงลายมือชื่อหรือพิมพ์ลายพิมพ์นิ้วมือในเอกสารให้แก่บริษัทนายจ้างการกระทำของโจทก์จึงเป็นการทำงานให้แก่นายจ้างแล้ว เมื่อนายจ้างจ่ายเงินเดือนให้โจทก์ทุกเดือนตลอดเวลาที่โจทก์เจ็บป่วย เงินเดือนดังกล่าวจึงเป็นเงินที่นายจ้างจ่ายเพื่อตอบแทนการทำงานของโจทก์ที่ทำให้แก่บริษัทนายจ้างตลอดเวลาที่โจทก์เจ็บป่วยนั่นเอง เงินเดือนที่นายจ้างจ่ายแก่โจทก์จึงเป็นค่าจ้าง เมื่อโจทก์ได้มีการหักเงินจากค่าจ้างจ่ายเป็นเงินสมทบแก่กองทุนประกันสังคมมาโดยตลอดจนกระทั่งเดือนกรกฎาคม 2549 และโจทก์เจ็บป่วยจนสูญเสียสมรรถภาพในการทำงานของร่างกายมากกว่าร้อยละ 50 โจทก์จึงมีสิทธิในฐานะผู้ประกันตนที่จะได้รับประโยชน์ทดแทนในกรณีทุพพลภาพ อุทธรณ์ของจำเลยข้อนี้ฟังไม่ขึ้น ส่วนอุทธรณ์ของจำเลยประการอื่นไม่จำต้องวินิจฉัยเพราะไม่ทำให้ผลคดีเปลี่ยนแปลง
พิพากษายืน.
เรียบเรียงโดย บริษัท กฎหมายปาระมี จำกัด