คำพิพากษาฎีกาที่ 6108 - 6109/56
ศาลพิพากษาแล้วให้จ่ายค่าชดเชย ฟ้องใหม่เรียกเงินเพิ่ม กรณีจงใจไม่จ่ายค่าชดเชย ถือว่า ฟ้องซ้อน ฟ้องใหม่ไม่ได้
คดีทั้งสองสำนวนนี้ศาลแรงงานกลางสั่งให้รวมพิจารณาเป็นคดีเดียวกันโดยให้เรียกโจทก์เรียกตามลำดับสำนวนว่าโจทก์ที่ 1 และโจทก์ที่ 2 และเรียกจำเลยทั้งสองสำนวนว่าจำเลย
โจทก์ทั้งสองฟ้องและแก้ไขคำฟ้องว่า เมื่อวันที่ 22 กุมภาพันธ์ 2551 จำเลยเลิกจ้างโจทก์ทั้งสอง ต่อมาวันที่ 29 กุมภาพันธ์ 2551 เมื่อพ้นกำหนดเวลา 7 วัน นับแต่วันที่ถึงกำหนดจ่ายค่าชดเชย จำเลยจงใจไม่จ่ายค่าชดเชยให้แก่โจทก์ทั้งสองขอให้จำเลยเสียเงินเพิ่มให้แก่โจทก์ทั้งสองร้อยละ 15 ของเงินที่ค้างจ่ายทุกระยะ 7 วัน นับตั้งแต่วันที่ 29 กุมภาพันธ์ 2550 ถึงวันที่ 27 พฤศจิกายน 2551 ก่อนวันฟ้อง ( ทั้งหมด 92 รอบระยะเจ็ดวัน ) คิดเป็นเงิน 49,036.80 บาท และ 92,899.50 บาท แก่โจทก์ทั้งสองตามลำดับ ซึ่งไม่ใช่มูลหนี้ที่เกิดในวันที่จำเลยเลิกจ้างโจทก์ทั้งสอง ขอให้บังคับจำเลยจ่ายเงินเพิ่มจากค่าชดเชยตามพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. 2541 มาตรา 9 วรรคสอง จำนวน 4,511,385.60 บาท และ 8,546,754 บาท แก่โจทก์ทั้งสองตามลำดับ พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จ และจ่ายเงินเพิ่มทุกระยะ 7 วัน หลังวันฟ้องกรณีที่จำเลยไม่จ่ายค่าชดเชยให้แล้วเสร็จ
จำเลยให้การว่า จำเลยเป็นนิติบุคคลตามกฎหมายโดยแยกออกจากมูลนิธิเพื่อการศึกษาโรงเรียนนานาชาติไทย – จีนตามพระราชบัญญัติโรงเรียนเอกชน พ.ศ. 2550 เมื่อวันที่ 12 มกราคม 2551 เดิมโจทก์ทั้งสองเป็นลูกจ้างของมูลนิธิเพื่อการศึกษาโรงเรียนนานาชาติไทย – จีน หลังจากพระราชบัญญัติโรงเรียนเอกชน พ.ศ. 2550 มีการใช้บังคับแล้ว จำเลยจ้างโจทก์ทั้งสองเป็นลูกจ้างจำเลยต่อไป แต่โจทก์ที่ 1 ปฏิบัติตัวไม่เหมาะสมไม่สามารถปฏิบัติงานร่วมกับเพื่อนร่วมงานได้ทำให้เกิดความขัดข้องในการบริหารกิจการของจำเลย เป็นผลให้การทำงานของจำเลยขาดประสิทธิภาพ จงใจทำให้เกิดความเสียหายแก่จำเลยด้วย การนำบุคคลภายนอกเข้ามาก่อกวนความสงบเรียบร้อยภายในโรงเรียนของจำเลย โดยการข่มขู่ก่อกวนบุคคลทั้งภายในและภายนอกโรงเรียน ส่งผลต่อการดำเนินกิจการและภาพพจน์ของจำเลย ส่วนโจทก์ที่ 2 ไม่ได้ใช้ความสามารถและความชำนาญพิเศษเฉพาะด้านอันเป็นคุณสมบัติสำคัญและจำเป็นอย่างยิ่งต่อการปฏิบัติหน้าที่ ถือว่าไม่ปฏิบัติตามสัญญาจ้าง ปฏิบัติหน้าที่ขาดความเอาใจใส่ด้วยความประมาททำให้จำเลยได้รับความเสียหาย จำเลยจึงเลิกจ้างโจทก์ทั้งสองด้วยเหตุดังกล่าวโดยไม่ต้องจ่ายค่าชดเชยและมิใช่เป็นการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรม และเนื่องจากยังมีข้อโต้เถียงในเรื่องค่าชดเชยจึงยังถือไม่ได้ว่าจำเลยจงใจไม่จ่ายค่าชดเชยให้แก่โจทก์ทั้งสองโดยปราศจากเหตุผลอันสมควร ประกอบกับโจทก์ทั้งสองเคยยื่นคำร้องต่อพนักงานตรวจแรงงานแล้ว แต่พนักงานตรวจแรงงานไม่ได้มีคำสั่งให้จำเลยต้องรับผิดต่อโจทก์ทั้งสอง จึงยังถือไม่ได้ว่าจำเลยตกเป็นผิดนัด ก่อนคดีนี้โจทก์ทั้งสองเคยฟ้องจำเลยเรียกค่าชดเชยและสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้าพร้อมดอกเบี้ยซึ่งเป็นมูลหนี้ที่เกิดขึ้นขณะเลิกจ้างและศาลได้พิพากษาแล้วแต่โจทก์ทั้งสองกลับมาฟ้องเรียกเงินเพิ่มในค่าชดเชยอันเป็นมูลหนี้ที่เกิดขึ้นในลักษณะเดียวกันกับมูลหนี้ที่เกิดขึ้นขณะเลิกจ้างและศาลได้พิพากษาแล้ว คำฟ้องของโจทก์ทั้งสองจึงไม่ชอบ โจทก์ทั้งสองไม่มีอำนาจฟ้อง ขอให้ยกฟ้อง
ศาลแรงงานกลางพิจารณาแล้ว พิพากษายกฟ้อง
โจทก์ทั้งสองอุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีแรงงานตรวจสำนวนประชุมปรึกษาแล้ว ศาลแรงงานกลางฟังข้อเท็จจริงว่า จำเลยเลิกจ้างโจทก์ทั้งสองเมื่อวันที่ 22 กุมภาพันธ์ 2551 ก่อนฟ้องคดีนี้โจทก์ทั้งสองได้ยื่นฟ้องจำเลยเมื่อวันที่ 11 กันยายน 2552 และวันที่ 27 กันยายน 2552 ตามลำดับ ขอให้จ่ายค่าชดเชย สินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้า และค่าเสียหายจากการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรมต่อศาลแรงงานกลาง ต่อมาศาลแรงงานกลางพิพากษาให้จำเลยจ่ายค่าชดเชย สินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้า และค่าเสียจากการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรมแก่โจทก์ทั้งสองในคดีหมายเลขแดงที่ สป.1045/52 และสป.1046/52 จำเลยอุทธรณ์ขอให้พิจารณาคดีใหม่ และคดีดังกล่าวอยู่ในระหว่างการพิจารณาของศาลฏีกา
คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของโจทก์ทั้งสองว่า โจทก์ทั้งสองมีอำนาจฟ้องหรือไม่ เห็นว่า คดีนี้โจทก์ทั้งสองฟ้องเรียกเงินเพิ่มในกรณีจงใจไม่จ่ายค่าชดเชยโดยปราศจากเหตุอันสมควรอันมีมูลมาจากการเลิกจ้างของจำเลยเช่นเดียวกับคดีหมายเลขแดงที่ สป.1045/52 และสป.1046/2552 ซึ่งในขณะที่โจทก์ทั้งสองฟ้องคดีนี้ คดีหมายเลขแดงที่ สป.1045/52 และสป.1046/2552 ของศาลแรงงานกลางยังอยู่ในระหว่างการพิจารณาของศาลฎีกา ซึ่งโจทก์ทั้งสองมีสิทธิฟ้องเรียกเงินจำนวนดังกล่าวจากจำเลยเมื่อโจทก์ทั้งสองฟ้องคดีก่อน แต่โจทก์มิได้ฟ้องรวมไปในคดีก่อน กลับมาฟ้องใหม่ในคดีนี้อีกโดยอาศัยเหตุแห่งการเลิกจ้างคราวเดียวกันในระหว่างที่คดีก่อนยังอยู่ระหว่างการพิจารณาของศาลฎีกา จึงเป็นการยื่นคำฟ้องเรื่องเดียวกัน เป็นฟ้องซ้อน ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 173 วรรคสอง (1) ประกอบพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ.2522 มาตรา 31 โจทก์ทั้งสองจึงไม่มีอำนาจฟ้อง ที่ศาลแรงงานกลางพิพากษายกฟ้องมานั้น ชอบแล้ว อุทธรณ์ของโจทก์ทั้งสองฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน.