คำพิพากษาฎีกาที่ 6099/56
เลิกจ้างด้วยเหตุปรับโครงสร้างการทำงาน ปรับลดพนักงาน แต่ไม่ปรากฏว่าบริษัท ฯ ประสบปัญหาภาวะเศรษฐกิจถือว่า เลิกจ้างไม่เป็นธรรม
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ 1 เป็นนิติบุคคลประเภทมูลนิธิ มีวัตถุประสงค์ให้การศึกษาภาคบังคับแก่เยาวชน โรงเรียนนานาชาติใหม่แห่งประเทศไทยจัดตั้งขึ้นตามวัตถุประสงค์ของจำเลยที่ 1 โจทก์ทำงานกับจำเลยที่ 1 มีตำแหน่งสุดท้ายเป็นผู้ช่วยผู้จัดการโรงเรียนและผู้จัดการฝ่ายการสื่อสารและประสานงานฝ่ายธุรกิจ โดยได้รับเงินเดือนๆละ 52,635 บาท เมื่อวันที่ 14 มิถุนายน 2548 จำเลยที่ 4 เรียกโจทก์เข้าไปพบและเลิกจ้างโจทก์ตามนโยบายของจำเลยที่ 1 เพราะไม่จำเป็นต้องมีโจทก์ร่วมทำงานด้วย โดยให้มีผลในวันที่ 31 กรกฎาคม 2548 การกระทำดังกล่าวเป็นการเลิกจ้างโจทก์โดยปราศจากความผิดและเหตุตามกฎหมาย ไม่เป็นธรรม ทำให้โจทก์ได้รับความเสียหาย โจทก์ทำงานกับจำเลยที่ 1 กว่า 9 ปี ขณะเลิกจ้างมีอายุกว่า 39 ปี ประกอบสภาวะทางเศรษฐกิจทำให้หางานใหม่ได้ยาก โจทก์มีภาระต้องเลี้ยงดูครอบครัว ขอคิดค่าเสียหายจากฐานเงินเดือนถึงเกษียณอายุการทำงานรวมเวลา 15 ปี ขอให้จำเลยทั้งห้าร่วมกันจ่ายค่าเสียหายจำนวน 9,474,300 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงินดังกล่าวนับแต่วันถัดจากฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยทั้งห้าให้การว่า จำเลยที่ 1 ตกลงจ้างโจทก์เป็นลูกจ้างตั้งแต่วันที่ 26 สิงหาคม 2539 และบอกเลิกจ้างเมื่อวันที่ 14 มิถุนายน 2548 โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่ 31 กรกฎาคม 2548 ตำแหน่งงานสุดท้ายก่อนเลิกจ้างของโจทก์คือผู้จัดการฝ่ายประชาสัมพันธ์ได้รับค่าจ้างอัตราสุดท้ายเดือนละ 52,635 บาท สาเหตุการเลิกจ้างคือจำเลยที่ 1 มีความจำเป็นต้องปรับโครงสร้างองค์กรเพื่อประสิทธิภาพในการบริหารงานของโรงเรียนและสอดคล้องกับกิจกรรมทางการศึกษาและการเรียนของนักเรียนในโรงเรียน ในการดำเนินการดังกล่าว จำเลยที่ 1 จำต้องใช้มาตรการประหยัดค่าใช้จ่ายที่ไม่จำเป็นและซ้ำซ้อน ส่งผลให้ต้องเลิกจ้างลูกจ้างที่รับผิดชอบงานซ้ำซ้อนกัน เดิมโจทก์มีตำแหน่งเป็นผู้ช่วยผู้จัดการฝ่ายธุรกิจและการประสานงานธุรกิจ ต่อมาปี 2546 จำเลยที่ 1 ปรับโครงสร้างองค์กรโดยยุบแผนกผู้จัดการฝ่ายธุรกิจ แต่จำเลยที่ 1 ยังคงพยายามจัดให้โจทก์รับผิดชอบในตำแหน่งผู้จัดการฝ่ายประชาสัมพันธ์ซึ่งเป็นตำแหน่งที่ตั้งขึ้นใหม่ อย่างไรก็ตามงานใหม่ของโจทก์ยังคงอยู่ในความรับผิดชอบของหลายฝ่าย เมื่อปี 2548 จำเลยที่ 1 ปรับโครงสร้างยุบตำแหน่งงานของโจทก์และเลิกจ้างโจทก์ด้วยเหตุผลดังกล่าว การเลิกจ้างโจทก์มีเหตุอันควรและไม่ใช่การเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรม แม้ว่าจำเลยที่ 1 ไม่ได้มีวัตถุประสงค์แสวงหากำไรและได้รับการยกเว้นในบทบัญญัติเรื่องการจ่ายค่าชดเชยเมื่อมีการเลิกจ้างตามพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. 2541 มาตรา 118 แต่จำเลยที่ 1 บอกกล่าวล่วงหน้าแก่โจทก์และจ่ายค่าชดเชยให้แก่โจทก์ตามจำนวนที่ระบุไว้ในข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงานเท่ากับค่าจ้างอัตราสุดท้ายจำนวน 240 วัน เป็นเงิน 421,080 บาท ทั้งโจทก์ได้รับเงินกองทุนสำรองเลี้ยงชีพในส่วนของโรงเรียนเต็มจำนวน รวมแล้วยอดเงินที่ได้ในส่วนกองทุนเป็นเงิน 814,239.43 บาท จำเลยทั้งห้าจึงไม่ต้องจ่ายค่าเสียหายให้แก่โจทก์อีก ขอให้ยกฟ้อง
ระหว่างพิจารณา ศาลแรงงานกลางอนุญาตให้โจทก์ถอนฟ้องจำเลยที่ 2 ถึงที่ 5 และให้จำหน่ายคดีเฉพาะจำเลยที่ 2 ถึงที่ 5 เสียจากสารบบความ
ศาลแรงงานกลางพิจารณาแล้วพิพากษาให้จำเลยที่ 1 ชำระค่าเสียหายจากการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรมจำนวน 473,715 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับถัดจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยที่ 1 อุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีแรงงานตรวจสำนวนประชุมศึกษาแล้ว ศาลแรงงานการรับฟังข้อเท็จจริงว่า จำเลยที่ 1
จดทะเบียนนิติบุคคลประเภทมูลนิธิ มีวัตถุประสงค์ก่อตั้งและบริหารโรงเรียนนานาชาติในประเทศไทย จำเลยที่ 1 จัดตั้งและเป็นเจ้าของโรงเรียนนานาชาติใหม่แห่งประเทศไทย เมื่อวันที่ 26 สิงหาคม 2539 โจทก์ทำงานเป็นลูกจ้างของจำเลยที่ 1 ตำแหน่งสุดท้ายเป็นผู้จัดการฝ่ายประชาสัมพันธ์ (Community Relation & Communication Mgr.) ได้รับค่าจ้างอัตราสุดท้ายเดือนละ 52,635 บาท ขณะที่โจทก์ดำรงตำแหน่งดังกล่าวจำเลยที่ 1 นำงานของโจทก์ไปให้พนักงานคนอื่นของจำเลยที่ 1 ทำจนหมด เมื่อวันที่ 21 เมษายน 2548 จำเลยที่ 1 ประชุมกรรมการบริหารโรงเรียนแล้วมีมติว่าเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการบริหารโรงเรียนจึงเห็นชอบปรับโครงสร้างองค์กรใหม่ การเปลี่ยนแปลงคือการให้เลิกจ้างโจทก์ ต่อมาจำเลยที่ 1 ปรับโครงสร้างองค์กรใหม่อีกโดยไม่มีตำแหน่งผู้จัดการฝ่ายประชาสัมพันธ์ของโจทก์ โครงสร้างใหม่นี้ใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 1 สิงหาคม 2548 ก่อนเลิกจ้างจำเลยที่ 1 ไม่ได้เสนอตำแหน่งงานใหม่ที่มีฐานะและค่าจ้างเท่ากันให้โจทก์ทำ เมื่อวันที่ 14 มิถุนายน 2548 จำเลยที่ 1 มีหนังสือเลิกจ้างโจทก์ อ้างเหตุเนื่องจากการปรับโครงสร้างองค์กรโดยไม่มีฝ่าย Business Manager ในโครงสร้างของโรงเรียนอีกต่อไป และให้การเลิกจ้างมีผลตั้งแต่วันที่ 1 สิงหาคม 2548 เป็นต้นไป รวมเวลาการทำงานกับจำเลยที่ 1 ประมาณ 9 ปี โจทก์ได้รับค่าชดเชยจำนวน 421,080 บาท จากจำเลยที่ 1 แล้ว ขณะถูกเลิกจ้างโจทก์มีอายุประมาณ 40 ปี แล้ววินิจฉัยว่า จำเลยที่ 1 เลิกจ้างโจทก์โดยไม่มีเหตุอันสมควรที่จะเลิกจ้างได้ ถือว่าเป็นการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรม จำเลยที่ 1 จึงต้องจ่ายค่าเสียหายแก่โจทก์
ที่จำเลยที่ 1 อุทธรณ์ข้อแรกว่า ศาลแรงงานกลางวินิจฉัยข้อเท็จจริงคลาดเคลื่อนจากบทบัญญัติกฎหมายว่าจำเลยที่ 1 ไม่ได้เสนอตำแหน่งงานใหม่ให้แก่โจทก์ทั้งๆ ที่จำเลยที่ 1 ไม่อยู่ในฐานะที่จะเสนองานที่มีตำแหน่งและค่าจ้างเท่าเทียมกับที่โจทก์เคยรับได้นั้น เมื่อศาลแรงงานรับฟังข้อเท็จจริงว่าจำเลยที่ 1 ไม่ได้เสนองานในตำแหน่งใหม่ที่มีฐานะและค่าจ้างเท่ากันให้โจทก์ การอุทธรณ์ว่าจำเลยที่ 1 ไม่สามารถเสนองานให้แก่โจทก์ได้นั้น เป็นการโต้แย้งดุลพินิจรับฟังข้อเท็จจริงของศาลแรงงานกลาง จึงเป็นอุทธรณ์ในข้อเท็จจริง ต้องห้ามตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงานพ.ศ. 2522 มาตรา 54 วรรคหนึ่ง ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
ปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของจำเลยที่ 1 ข้อสุดท้ายมีว่า จำเลยที่ 1 เลิกจ้างโจทก์เป็นการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรมหรือไม่ เห็นว่า พระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. 2522 มาตร 49 เป็นบทบัญญัติคุ้มครองลูกจ้างมิให้ถูกนายจ้างเลิกจ้างโดยไม่เป็นธรรม กล่าวคือลูกจ้างจะได้รับความคุ้มครองไม่ให้ถูกเลิกจ้างโดยปราศจากเหตุหรือเหตุที่ยังไม่สมควรถึงขนาดที่จะเลิกจ้างได้ การที่จำเลยที่ 1 เลิกจ้างโจทก์ด้วยเหตุต้องการปรับปรุงประสิทธิภาพขององค์กร ทั้งๆ ที่ไม่ปรากฏว่ากิจการของจำเลยที่ 1 ประสบสภาวะทางเศรษฐกิจยากลำบากถึงขนาดต้องปรับลดจำนวนลูกจ้างเพื่อพยุงกิจการให้ดำเนินต่อไปได้ทั้งก่อนเลิกจ้างจำเลยที่ 1 ไม่ได้เสนองานใหม่ให้โจทก์อันจะเป็นสิ่งแสดงให้เห็นว่าจำเลยที่ 1 พยายามหาหนทางช่วยเหลือมิให้มีการเลิกจ้างเกิดขึ้น ขณะที่การเลิกจ้างมีผลทำให้โจทก์ต้องสูญเสียอาชีพและรายได้เลี้ยงตัวและครอบครัว การเลิกจ้างด้วยเหตุดังกล่าวย่อมเป็นการคำนึงแต่ประโยชน์ของจำเลยที่ 1 ฝ่ายเดียว ดังนั้นจึงไม่ใช่เหตุสมควรถึงขนาดที่จะเลิกจ้างโจทก์ได้ถือว่าเป็นการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรม การที่ศาลแรงงานกลางวินิจฉัยว่าการเลิกจ้างคดีนี้เป็นการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรมและกำหนดให้จำเลยที่ 1 ชดใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์จึงชอบด้วยพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. 2522 มาตรา 49 แล้ว ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย อุทธรณ์ข้อนี้ของจำเลยที่ 1 ฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน.