คำพิพากษาฎีกาที่ 2666/56
ถูกเลิกจ้างแล้ว ต่อมาเขียนใบลาออกและรับเงินช่วยเหลือจากนายจ้าง ถือว่าได้ตกลงยินยอมยุติเรื่องการเลิกจ้างแล้ว ไม่มีอำนาจฟ้องอีก
โจทก์ฟ้องว่า เมื่อปี 2533 จำเลยได้ว่าจ้างโจทก์เข้าทำงานเป็นลูกจ้าง โจทก์ทำงานตำแหน่งสุดท้ายคือหัวหน้างานธุรการ ได้รับค่าจ้างอัตราสุดท้ายเดือนละ 19,960 บาท กำหนดจ่ายค่าจ้างทุกวันที่ 30 ของเดือน ต่อมาวันที่ 9 กันยายน 2549 จำเลยเลิกจ้างโจทก์โดยอ้างเหตุในหนังสือเลิกจ้างว่าโจทก์ทุจริตเบียดบังค่าน้ำมันรถของจำเลยเมื่อวันที่ 7 กรกฎาคม 2549 จำนวน 900 บาท ถือว่าโจทก์กระทำการทุจริตต่อหน้าที่ทั้งที่โจทก์ไม่ได้กระทำผิดตามที่จำเลยอ้าง เป็นการกลั่นแกล้งใส่ร้ายโจทก์ โจทก์ทำงานมาครบ 10 ปี มีสิทธิได้รับค่าชดเชยไม่น้อยกว่าค่าจ้างอัตราสุดท้าย 300 วัน คิดเป็นเงิน 199,600 บาท และโจทก์มีสิทธิได้รับสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้าจำนวน 50 วัน คิดเป็นเงิน 33,266 บาท แต่จำเลยไม่ยอมจ่ายให้แก่โจทก์ ต่อมาจำเลยให้พนักงานของจำเลยติดต่อโจทก์เข้าพบรองกรรมการผู้จัดการจำเลย เมื่อโจทก์เข้าพบจำเลยได้ยื่นข้อเสนอว่าจะจ่ายเงินให้โจทก์ 100,000 บาท โดยให้โจทก์เขียนใบลาออก เนื่องจากโจทก์กำลังตกงานไม่มีรายได้เป็นค่าใช้จ่ายในครอบครัวมีความจำเป็นต้องใช้เงิน โจทก์จึงลาออกตามคำขอของจำเลย โดยโจทก์ไม่มีเจตนาสละสิทธิเรียกร้องตามกฎหมายแต่อย่างใด จำเลยเลิกจ้างโจทก์โดยโจทก์มิได้กระทำผิด ไม่มีเหตุสมควรในการเลิกจ้างถือว่าจำเลยเลิกจ้างโดยไม่เป็นธรรมขอให้บังคับจำเลยจ่ายค่าชดเชย 199,600 บาท สินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้า 33,266 บาท และค่าเสียหายจากการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรม 300,000 บาท
จำเลยให้การว่า เมื่อวันที่ 7 กรกฎาคม 2549 โจทก์นำรถยนต์หมายเลขทะเบียน กข 2638 ของจำเลยขับไปจังหวัดสุราษฎร์ธานีระยะทางไปกลับ 440 กม. ใช้น้ำมันรถไปทั้งหมด 95.82 ลิตร ซึ่งเป็นการใช้น้ำมันมากผิดปกติ จำเลยจึงตั้งคณะกรรมการการตรวจสอบการใช้รถยนต์ของโจทก์ ปรากฏว่ารถยนต์คันที่โจทก์ใช้ในวันเกิดเหตุใช้น้ำมันอยู่ในอัตรา 6.5 กม./ลิตร เมื่อคำนวณระยะทาง 440 กม. จะใช้น้ำมันเท่ากับ 67.69 ลิตร ดังนั้นน้ำมันขาดไปประมาณ 28.13 ลิตร ซึ่งเกิดจากการทุจริตต่อหน้าที่ของโจทก์ และกระทำผิดอาญาโดยเจตนาแก่จำเลย จำเลยมีสิทธิเลิกจ้างโจทก์ได้โดยไม่ต้องจ่ายค่าชดเชย สินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้าและไม่ถือเป็นการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรมหลังจากจำเลยเลิกจ้างโจทก์แล้ว โจทก์ทำหนังสือขออุทธรณ์การเลิกจ้าง ต่อมาในวันที่ 16 กันยายน 2549 โจทก์ทำหนังสือขอลาออกจากการเป็นพนักงานของจำเลยเพื่อจะได้ไม่มีประวัติเกี่ยวกับการทุจริตพร้อมกับขอเงินช่วยเหลือจากจำเลยจำนวน 100,000 บาท ผู้บริหารจำเลยอนุมัติให้โจทก์ลาออกและจ่ายเงินช่วยเหลือให้แก่โจทก์จำนวน 100,000 บาทแล้ว เมื่อโจทก์ลาออกด้วยความสมัครใจ โจทก์ไม่มีสิทธิที่จะเรียกร้องเงินตามฟ้องอีก โจทก์มาฟ้องคดีนี้เป็นการใช้สิทธิโดยไม่สุจริต ขอให้ยกฟ้อง
ศาลแรงงานภาค 8 พิจารณาแล้ว พิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีแรงงานตรวจสำนวนประชุมปรึกษาแล้ว ศาลแรงงานภาค 8 รับฟังข้อเท็จจริงว่า โจทก์เป็นลูกจ้างจำเลยตั้งแต่ปี 2533 ตำแหน่งสุดท้ายเป็นหัวหน้างานธุรการ อัตราเงินเดือนๆละ 19,960 บาท กำหนดจ่ายค่าจ้างทุกวันที่ 30 ของเดือน ต่อมาจำเลยแต่งตั้งคณะกรรมการสอบสวนเนื่องจากมีข้อสงสัยว่าโจทก์ทุจริตค่าน้ำมันรถคณะกรรมการสอบสวนสรุปผลว่าโจทก์ทุจริตต่อหน้าที่ จำเลยจึงมีหนังสือเลิกจ้างลงวันที่ 9 กันยายน 2549 โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่ 15 กันยายน 2549 โจทก์ได้รับค่าจ้างเพียงถึงวันที่ 15 กันยายน 2549 จากนั้นโจทก์ยื่นอุทธรณ์คำสั่งว่าโจทก์ไม่ได้ทุจริต ขอให้จำเลยทบทวนการลงโทษหรือขอให้จ่ายค่าชดเชย ระหว่างพิจารณาอุทธรณ์นั้นโจทก์ยื่นหนังสือลาออกพร้อมรับเงินช่วยเหลือจากจำเลยเป็นเงิน 100,000 บาท แล้ววินิจฉัยในประเด็นที่ว่าโจทก์ลาออกด้วยความสมัครใจหรือไม่ว่า แม้จำเลยจะเลิกจ้างโจทก์แล้ว แต่โจทก์ยื่นอุทธรณ์ตามระเบียบข้อบังคับการทำงานที่ระบุว่า ผลการวินิจฉัยของผู้บังคับบัญชาระดับบริหารถึงที่สุดกรณียังถือไม่ได้ว่าการลงโทษและการเลิกจ้างโจทก์เป็นที่สุด แต่ในระหว่างการพิจารณาอุทธรณ์การเป็นนายจ้างและลูกจ้างระหว่างโจทก์จำเลยยังไม่สิ้นสุด โจทก์ทำหนังสือขอลาออกจากการเป็นพนักงานจำเลยด้วยความสมัครใจและรับเงินช่วยเหลือจากจำเลยจำนวน 100,000 บาท ย่อมทำให้สัญญาจ้างสิ้นสุดลงด้วยเหตุโจทก์ลาออก มิใช่ถูกเลิกจ้าง โจทก์จึงไม่มีสิทธิเรียกร้องค่าชดเชย สินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้าและค่าเสียหายจากการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรม
พิเคราะห์แล้ว ที่โจทก์อุทธรณ์ว่าการที่ศาลแรงงานภาค 8 กำหนดประเด็นข้อพิพาทว่าโจทก์ลาออกด้วยความสมัครใจหรือไม่ เป็นการกำหนดประเด็นขึ้นเพิ่มเติม จึงไม่ชอบด้วยกฎหมาย เห็นว่า คดีนี้โจทก์ฟ้องอ้างว่าจำเลยเลิกจ้างโดยโจทก์มิได้กระทำผิด ไม่มีเหตุสมควรในการเลิกจ้างถือว่าจำเลยเลิกจ้างโดยไม่เป็นธรรม จำเลยให้การว่าจำเลยมีสิทธิเลิกจ้างโจทก์ด้วยเหตุทุจริตต่อหน้าที่ ระหว่างที่โจทก์ขออุทธรณ์การเลิกจ้างโจทก์ทำหนังสือลาออกพร้อมกับขอเงินช่วยเหลือจากจำเลยจำนวน 100,000 บาท โจทก์จึงลาออกด้วยความสมัครใจดังนั้นการที่จะพิจารณาวินิจฉัยว่าโจทก์มีสิทธิรับค่าชดเชย สินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้าและค่าเสียหายจากการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรมตามฟ้องหรือไม่ จำต้องวินิจฉัยข้อเท็จจริงตามคำฟ้องประกอบกับคำให้การในส่วนที่ว่าจำเลยเลิกจ้างโจทก์หรือโจทก์ลาออกเอง การที่ศาลแรงงานภาค 8 กำหนดประเด็นข้อพิพาทเกี่ยวกับการลาออกของโจทก์ไว้ด้วยก็เพื่อความสะดวกในการวินิจฉัยประเด็นข้อพิพาทเกี่ยวกับการลาออกของโจทก์ไว้ด้วยก็เพื่อความสะดวกในการวินิจฉัยประเด็นแห่งคดี หาใช่เป็นการกำหนดประเด็นข้อพิพาทขึ้นเพิ่มเติมจนถึงกับเป็นเรื่องนอกเหนือประเด็นแห่งคดีอันจะเป็นเหตุให้ไม่ชอบด้วยกฎหมายแต่อย่างใดอุทธรณ์ของโจทก์ฟังไม่ขึ้น
ส่วนที่โจทก์อุทธรณ์ว่าจำเลยเลิกจ้างโจทก์ตามหนังสือเลิกจ้างอ้างเหตุว่าโจทก์ทุจริตค่าน้ำมันรถโดยให้มีผลตั้งแต่วันที่ 15 กันยายน 2549 โจทก์รับทราบคำสั่งเลิกจ้างในวันดังกล่าว เมื่อจำเลยบอกเลิกจ้างโดยยื่นหนังสือเลิกจ้างให้โจทก์ ทำให้สัญญาจ้างแรงงานระหว่างโจทก์กับจำเลยสิ้นสุดลงทันทีตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 168 และมาตรา 386 สัญญาจ้างแรงงานของโจทก์จำเลยจึงสิ้นสุดลงด้วยการเลิกจ้าง มิใช่การลาออก ส่วนการยื่นอุทธรณ์คำสั่งเลิกจ้างไม่ทำให้สัญญาจ้างแรงงานที่สิ้นสุดแล้วกลับสมบูรณ์ขึ้นมาอีก เห็นว่า แม้สัญญาจ้างแรงงานระหว่างโจทก์จำเลยสิ้นสุดลงทันทีด้วยการเลิกจ้างตามที่โจทก์อุทธรณ์มาก็ตาม แต่เมื่อศาลแรงงานภาค 8 รับฟังข้อเท็จจริงแล้ววินิจฉัยว่า ในระหว่างพิจารณาอุทธรณ์คำสั่งเลิกจ้าง โจทก์ได้ทำหนังสือขอลาออกจากการเป็นพนักงานของจำเลยด้วยความสมัครใจและรับเงินช่วยเหลือจากจำเลย จำนวน 100,000 บาท ซึ่งเมื่อใบลาออกของโจทก์เป็นการกระทำขึ้นภายหลังที่โจทก์ถูกเลิกจ้าง ทั้งอยู่ในระหว่างพิจารณาอุทธรณ์หนังสือเลิกจ้างที่อ้างเหตุว่าโจทก์ทุจริตค่าน้ำมันรถ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเป็นการลาออกด้วยความสมัครใจ แม้ใบลาออกของโจทก์ดังกล่าวหาเป็นเหตุให้สัญญาจ้างแรงงานระหว่างโจทก์จำเลยสิ้นสุดลงไปก็ตาม แต่เมื่อพิเคราะห์ถึงพฤติการณ์แห่งคดีประกอบกับพฤติกรรมของโจทก์ที่โจทก์ตกลงยินยอมรับเงินช่วยเหลือจากจำเลย จำนวน 100,000 บาท ไปแล้วในภายหลังโดยปราศจากข้อโต้แย้งคัดค้านอื่นใดทั้งสิ้น จึงเป็นกรณีที่โจทก์ตกลงยินยอมกับจำเลยเพื่อยุติเรื่องการเลิกจ้างที่อ้างเหตุว่าโจทก์ทุจริตค่าน้ำมันรถ เท่ากับว่าโจทก์ไม่ประสงค์ที่จะเรียกร้องเกี่ยวกับการเลิกจ้างดังกล่าวต่อไปอีก โจทก์จึงไม่มีสิทธินำคดีมาฟ้อง ไม่จำต้องวินิจฉัยว่าโจทก์ทุจริตค่าน้ำมันรถตามหนังสือเลิกจ้างหรือไม่ เพราะไม่ทำให้ผลแห่งคดีเปลี่ยนแปลงที่ศาลแรงงานภาค 8 พิพากษายกฟ้องนั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วยในผล อุทธรณ์ของโจทก์ในข้อนี้ฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน.
เรียบเรียงโดย บริษัท กฎหมายปาระมี จำกัด