คำพิพากษาฎีกาที่ 6540 – 6543/56
เลิกจ้างหรือลาออกเอง
คดีทั้งสี่สำนวนนี้ศาลแรงงานกลางสั่งให้รวมพิจารณาเป็นคดีเดียวกัน โดยให้เรียกโจทก์ทั้งสี่สำนวนว่า โจทก์ที่ 1 ถึง โจทก์ที่ 4 ตามลำดับ และเรียกจำเลยทั้งสี่สำนวนว่าจำเลย
โจทก์ทั้งสี่ฟ้องและแก้ไขคำฟ้องว่า จำเลยรับจ้างผลิตเคมีภัณฑ์ใช้การแพทย์ จำเลยและบริษัทแปซิฟิคเฮลธ์แคร์ (ไทยแลนด์) จำกัด มีกรรมการชุดเดียวกันและเป็นบริษัทร่วมค้าขายกัน โจทก์ทั้งสี่เคยเป็นลูกจ้างของจำเลย เข้าทำงานตั้งแต่วันที่ 1 กันยายน 2542 วันที่ 20 มีนาคม 2545 วันที่ 16 พฤษภาคม 2544 และวันที่ 16 กรกฎาคม 2547 ได้รับค่าจ้างอัตราสุดท้ายเดือนละ 11,550 บาท 10,000 บาท 6,750 บาท และ 7,300 บาท ตามลำดับ นายซีริล เฟรเดอริค เบอร์แมน กรรมการผู้จัดการของจำเลยออกประกาศลงวันที่ 17 พฤศจิกายน 2548 ถึงลูกจ้างของบริษัทฯ และลูกจ้างของจำเลยว่า คณะผู้บริหารบริษัทแปซิฟิคเฮลธ์แคร์ ฯ จำกัด และบริษัทซีวีพี เมดิคอลเทคโนโลยี จำกัด ได้บรรลุข้อตกลงในการดำเนินการแยกกิจการแผนกหน่วยไตเป็นเอกเทศ นับตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2549 บริษัทซีวีพี ฯ ถือประหนึ่งในสิทธิ หน้าที่ และความรับผิดทุกประการจากบริษัทแปซิฟิคเฮลธ์แคร์ ฯ และในวาระเดียวกันบริษัทซีวีพี ฯ จะรับโอนธุรกิจ การบริหารตลอดจนสิ่งต่างๆ ทั้งหมด ได้เสนอว่าจ้างลูกจ้างบริษัทแปซิฟิคเฮลธ์แคร์ ฯ และลูกจ้างของจำเลยด้วย หากลูกจ้างของจำเลยประสงค์จะทำงานกับบริษัทซีวีพี ฯ ซึ่งมีผลบังคับในวันที่ 1 มกราคม 2549 ให้ยื่นหนังสือลาออกต่อจำเลย โจทก์ทั้งสี่หลงเชื่อประกาศจึงทำหนังสือลาออกจากการเป็นลูกจ้างของจำเลย ต่อมาวันที่ 26 ธันวาคม 2548 โจทก์ทั้งสี่ทราบว่าบริษัทซีวีพี ฯ ปิดประกาศว่าบริษัทหรือผู้บริหารไม่เคยตกลงเจรจาโอนกิจการและเสนอว่าจ้างลูกจ้างของบริษัทแปซิฟิคเฮลธ์แคร์ ฯ และลูกจ้างของจำเลย ในวันดังกล่าวโจทก์ทั้งสี่หรือตัวแทนลูกจ้างขอพบกรรมการผู้มีอำนาจของจำเลยสอบถามถึงข้อปฏิเสธตามประกาศของบริษัทซีวีพี ฯ และจะขอกลับเข้าทำงานในตำแหน่งและอัตราเงินเดือนเดิม แต่จำเลยไม่รับโจทก์ทั้งสี่กลับเข้าทำงาน การกระทำของจำเลยเป็นการหลอกลวงฉ้อฉลโจทก์ทั้งสี่ให้ยื่นหนังสือลาออก จึงเป็นการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรม ขอให้บังคับจำเลยชำระ ค่าชดเชยแก่โจทก์ที่ 1 จำนวน 103,950 บาท โจทก์ที่ 2 จำนวน 70,000 บาท โจทก์ที่ 3 จำนวน 47,250 บาท โจทก์ที่ 4 จำนวน 29,200 บาท ชำระค่าเสียหายจากการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรมแก่โจทก์ พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปี นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ทั้งสี่
จำเลยทุกสำนวนให้การและแก้ไขคำให้การว่า โจทก์ทั้งสี่ลาออกจากการเป็นลูกจ้างของจำเลยโดยสมัครใจ จำเลยมิได้ใช้กลฉ้อฉล หลอกลวง หรือสมรู้ร่วมคิดกับบริษัทซีวีพี ฯ ให้โจทก์ทั้งสี่เข้าใจผิดหลงเชื่อว่าจำเลยบรรลุข้อตกลงการโอนย้ายลูกจ้างของจำเลยซึ่งรวมถึงโจทก์ทั้งสี่ไปเป็นลูกจ้างของบริษัทซีวีพี ฯ ประกาศของจำเลยเป็นเพียงการแจ้งให้ลูกจ้างแผนกหน่วยไตของบริษัทแปซิฟิเฮลธ์แคร์ ฯ และลูกจ้างของจำเลยทราบว่าบริษัทซีวีพี ฯ จะรับซื้อโอนกิจการธุรกิจของจำเลย แต่ลูกจ้างของจำเลยยังคงได้รับการว่าจ้างจากจำเลยเช่นเดิมส่วนบริษัทแปซิฟิคเฮลธ์แคร์ ฯ ยังคงดำเนินธุรกิจแผนกหน่วยไต ไม่ได้ยุบทิ้งโดยบริหารการตลาดจำหน่ายผลิตภัณฑ์เกี่ยวกับของบริษัทอื่นที่บริษัทแปซิฟิคเฮลธ์แคร์ ฯ เป็นตัวแทนจำหน่าย หากลูกจ้างของบริษัทแปซิฟิคเฮลธ์แคร์ ฯ ผู้ใดประสงค์จะไปทำงานกับบริษัทซีวีพี ฯ ก็ให้ยื่นใบลาออกต่อบริษัทแปซิฟิคเฮลธ์แคร์ ฯ ตามประกาศไม่มีข้อความใดระบุว่าบริษัทซีวีพี ฯ เสนอว่าจ้างลูกจ้างของจำเลย และตกลงโอนย้ายลูกจ้างของจำเลยไปเป็นลูกจ้างของตน การปิดประกาศของบริษัทซีวีพี ฯ มิได้เกิดจากการกระทำและความต้องการของจำเลย จำเลยมิได้ฉ้อฉลให้โจทก์ทั้งสี่เข้าใจผิดหลงเชื่อลาออกจากการเป็นลูกจ้างของจำเลย โจทก์ทั้งสี่ไม่ได้ขอกลับเข้าทำงานกับจำเลยในวันที่ 26 ธันวาคม 2548 จำนวนเงินค่าชดเชยตามคำฟ้องไม่ถูกต้อง ขอให้ยกฟ้อง
ศาลแรงงานกลางพิจารณาข้อเท็จจริงว่า จำเลยรับโจทก์ทั้งสี่เป็นลูกจ้างวันที่ 17 พฤศจิกายน 2548 นายซีริล เฟรเดอริค เบอร์แมน กรรมการบริษัทแปซิฟิคเฮลธ์แคร์ ฯ และจำเลยออกประกาศถึงลูกจ้างแผนกหน่วยไตของบริษัทแปซิฟิคเฮลธ์แคร์ ฯ และลูกจ้างของจำเลยว่านับแต่วันที่ 1 มกราคม 2549 บริษัทซีวีพี ฯ ถือประหนึ่งในสิทธิ หน้าที่ ความรับผิดชอบทุกประการจากบริษัทแปซิฟิคเฮลธ์แคร์ ฯ เพื่อดำเนินธุรกิจด้านการตลาด การจำหน่ายน้ำยาเอแอนด์บีและผลิตภัณฑ์เครื่องมือแพทย์ของแผนกหน่วยไต ลูกจ้างผู้ใดประสงค์ไปทำงานกับบริษัทซีวีพี ฯ ให้ยื่นความจำนงลาออกต่อบริษัทแปซิฟิคเฮลธ์แคร์ ฯ ภายในวันที่ 30 พฤศจิกายน 2548 ตามเอกสารหมาย ล.4 โจทก์ทั้งสี่ทำหนังสือลาออกจากการเป็นลูกจ้างของจำเลยภายในวันที่ 30 พฤศจิกายน 2548 วันที่ 1 ธันวาคม 2548 นายซีริล เฟรเดอริค เบอร์แมน มีหนังสือแจ้งลูกจ้างแผนกหน่วยไตว่าบริษัทแปซิฟิคเฮลธ์แคร์ ฯ กับบริษัทซีวีพี ฯ บรรลุข้อตกลงที่จะดำเนินการแยกกิจการแผนกหน่วยไต ลูกจ้างผู้ใดลาออกเพื่อไปสมัครเป็นลูกจ้างของบริษัทซีวีพี ฯ บริษัทแปซิฟิคเฮลธ์แคร์ ฯ จะจ่ายเงินตอบแทนการทำงานให้ตามเอกสารหมาย ล.6 ต่อมาโจทก์ทั้งสี่ทำหนังสือขอยกเลิกการลกออกตามเอกสารหมาย ล.5 แต่จำเลยไม่รับโจทก์ทั้งสี่กลับเข้าทำงาน แล้ววินิจฉัยว่า โจทก์ทั้งสี่ทำหนังสือลาออกยื่นต่อจำเลยภายในวันที่ 30 พฤศจิกายน 2548 เป็นไปตามประกาศของจำเลยตามเอกสารหมาย ล.4 และล.6 โจทก์ทั้งสี่ยังอยู่ภายใต้การปกครองบังคับบัญชาของจำเลย ต้องปฏิบัติตามคำสั่งของจำเลยผู้เป็นนายจ้าง ต่อมาโจทก์ทั้งสี่ทำหนังสือขอยกเลิกการลาออกเพราะข้อมูลที่ได้รับจากการชี้แจงของนายซีริล เฟรเดอริค เบอร์แมน ไม่เป็นไปตามที่โจทก์ทั้งสี่คาดหวัง แต่จำเลยไม่ประสงค์รับโจทก์ทั้งสี่กลับเข้าทำงานต่อไป การแสดงเจตนาลาออกของโจทก์ทั้งสี่เป็นการสำคัญผิดในสาระสำคัญแห่งนิติกรรมจึงเป็นโมฆะ ทั้งสองฝ่ายต้องกลับคืนสู่ฐานะดังที่เป็นอยู่เดิมคือ ความสัมพันธ์ในฐานะนายจ้างลูกจ้าง เมื่อจำเลยไม่ยินยอมให้โจทก์ทั้งสี่กลับเข้าทำงาน เป็นการแสดงเจตนาไม่ประสงค์ให้โจทก์ทั้งสี่ทำงานอีกต่อไป จึงเป็นการเลิกจ้างโจทก์ทั้งสี่โดยไม่มีเหตุผลสมควร เป็นการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรม ค่าชดเชยที่โจทก์ทั้งสี่เรียกร้องมาได้รวมสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้า 1 เดือน ไว้ด้วย อนุมานว่าโจทก์ทั้งสี่ประสงค์เรียกร้องสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้าจากจำเลย จำเลยเลิกจ้างโดยไม่บอกกล่าวล่วงหน้าจึงต้องชำระสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้าแก่โจทก์ทั้งสี่ พิพากษาให้จำเลยชำระค่าชดเชยแก่โจทก์ที่ 1 จำนวน 92,400 บาท โจทก์ที่ 2 จำนวน 60,000 บาท โจทก์ที่ 3 จำนวน 40,500 บาท โจทก์ที่ 4 จำนวน 21,900 บาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 15 ต่อปี นับแต่วันฟ้อง (วันที่ 31 มกราคม 2549) ไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ทั้งสี่ ชำระสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้าแก่โจทก์ที่ 1 จำนวน 11,550 บาท โจทก์ที่ 2 จำนวน 10,000 บาท โจทก์ที่ 3 จำนวน 6,750 บาท และโจทก์ที่ 4 จำนวน 7,300 บาท กับชำระค่าเสียหายจากการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรมแก่โจทก์ที่ 1 จำนวน 80,000 บาท โจทก์ที่ 2 จำนวน 40,000 บาท โจทก์ที่ 3 จำนวน 28,000 บาท และโจทก์ที่ 4 จำนวน 18,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ทั้งสี่คำขออื่นนอกจากนี้ให้ยก
จำเลยอุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีแรงงานตรวจสำนวนประชุมปรึกษาแล้ว ข้อเท็จจริงที่คู่ความไม่โต้แย้งกันได้ความว่าโจทก์ทั้งสี่เป็นลูกจ้างของจำเลย นายซีริล เฟรเดอริค เบอร์แมน ออกประกาศถึงลูกจ้างแผนกหน่วยไตของบริษัทแปซิฟิคเฮลธ์แคร์ ฯ และลูกจ้างของจำเลยซึ่งตรงกับฉบับภาษาอังกฤษพร้อมคำแปล วันที่ 28 และวันที่ 29 พฤศจิกายน 2548 โจทก์ทั้งสี่ยื่นหนังสือลาออก วันที่ 1 ธันวาคม 2548 นายซีริล เฟรเดอริค เบอร์แมน มีหนังสือถึงลูกจ้างแผนกหน่วยไตของบริษัทแปซิฟิคเฮลธ์แคร์ ฯ ลูกจ้างของบริษัทแปซิฟิคเฮลธ์แคร์ ฯ ที่ลาออก ไปมีหนังสือขอยกเลิกหนังสือลาออก คู่ความไม่โต้แย้งความมีอยู่และความถูกต้องของเอกสารหมาย จ.1 – จ.10 และ ล.1 – ล.25
มีปัญหาวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของจำเลยว่าจำเลยเลิกจ้างโจทก์ทั้งสี่หรือไม่พิเคราะห์แล้วเห็นว่า เอกสารหมาย ล.4 เป็นการประกาศแจ้งให้ลูกจ้างแผนกหน่วยไตของของบริษัทแปซิฟิคเฮลธ์แคร์ ฯ ทุกคนและลูกจ้างของจำเลยทราบว่าบริษัทแปซิฟิคเฮลธ์แคร์ ฯ และ บริษัทซีวีพี ฯ ได้บรรลุข้อตกลงในการดำเนินการแยกกิจการแผนกหน่วยไต (RENAL BUSINESS) เป็นเอกเทศนับตั้งแต่ปี พ.ศ. 2549 เป็นต้นไป
นับจากวันที่ 1 มกราคม 2549 บริษัทซีวีพี ฯ ถือประหนึ่งในสิทธิ หน้าที่ และความรับผิดชอบทุกประการจากบริษัทแปซิฟิคเฮลธ์แคร์ ฯ เพื่อดำเนินธุรกิจด้านการตลาด การจำหน่ายน้ำยาเอแอนด์บี (A&B) และผลิตภัณฑ์ด้านเครื่องมือแพทย์ของหน่วยไตทุกชนิด (ซึ่ง ณ ปัจจุบันนี้บริษัทแปซิฟิคเฮลธ์แคร์ ฯ เป็นผู้ดำเนินการต้านการตลาดและขายแต่เพียงผู้เดียว)
ในวาระเดียวกัน บริษัทซีวีพี ฯ จะรับโอนธุรกิจ การบริการ ตลอดจนสิ่งต่างๆ อันเกี่ยวเนื่องทั้งหมดของบริษัทรีนาเทค จำกัด (จำเลย) ดำเนินการต่อไปเช่นกัน” ข้อความดังกล่าวเป็นการแจ้งให้ลูกจ้างแผนกหน่วยไตของบริษัทแปซิฟิคเฮลธ์แคร์ ฯ และลูกจ้างจำเลยทราบว่าบริษัทแปซิฟิคเฮลธ์แคร์ ฯ และบริษัทซีวีพี ฯ จะแยกการดำเนินการกิจการแผนกหน่วยไตออกจากบริษัทแปซิฟิคเฮลธ์แคร์ ฯ โดยบริษัทซีวีพี ฯ จะไปดำเนินการด้านการตลาด การจำหน่ายน้ำยาเอแอนด์บี (A&B) และผลิตภัณฑ์เครื่องมือแพทย์ของแผนกหน่วยไตเอง และบริษัทซีวีพี ฯ จะรับโอนธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องจากจำเลยด้วย ในส่วนลูกจ้างนั้นเอกสารหมาย ล.4 มีข้อความปรากฏในแผ่นที่ 2 ย่อหน้าสุดท้ายว่า “คณะผู้บริหารบริษัทซีวีพี ฯ ได้เสนอว่าจ้างพนักงาน (ลูกจ้าง) ของบริษัทแปซิฟิคเฮลธ์แคร์ ฯ ทั้งหมดของแผนกหน่วยไตตลอดจนพนักงาน (RENAL DEPT) ตลอดจนพนักงาน (ลูกจ้าง) ของบริษัทรีนาเทค จำกัด (จำเลย) ยังคงได้รับการว่าจ้างโดยบริษัทรีนาเทค ฯ ซึ่งถือประหนึ่งเป็นสิทธิ หน้าที่ และความรับผิดชอบทุกปราการของบริษัทซีวีพี ฯ โดยมีผลบังคับในวันที่ 1 มกราคม 2549 เป็นต้นไป ทั้งนี้พนักงาน(ลูกจ้าง) บริษัทแปซิฟิคเฮลธ์แคร์ ฯ แผนกหน่วยไต (RENAL DEPT) ท่านใดมีความประสงค์ที่จะทำงานกับบริษัทซีวีพี ฯ ซึ่งมีผลบังคับ ณ วันที่ 1 มกราคม 2549 เพื่อให้เป็นไปตามข้อบังคับทางกฎหมายของกรมแรงงานโปรดยื่นความจำนงการขอลาออกต่อบริษัทแปซิฟิคเฮลธ์แคร์ ฯ ภายในวันที่ 30 พฤศจิกายน 2548 เท่านั้น ข้อความประกาศส่วนนี้ให้สิทธิเฉพาะลูกจ้างแผนกหน่วยไตของบริษัทแปซิฟิคเฮลธ์แคร์ ฯ เท่านั้นที่ลาออกได้ มิได้กล่าวถึงให้ลูกจ้างของจำเลยลาออก และยังย้ำด้วยว่าจำเลยยังคงว่าจ้างลูกจ้างของตนต่อไป โดยบริษัทซีวีพี ฯ จะเข้าถือสิทธิเป็นเจ้าของในวันที่ 1 มกราคม 2549 ตรงตามที่ปรากฏในประกาศฉบับภาษาอังกฤษและคำแปลเอกสารหมาย ล.9 ประกาศเอกสารหมาย ล.4 จึงไม่ใช่การประกาศให้ลูกจ้างของจำเลยลาออก ไม่ใช่หลอกลวงให้โจทก์ทั้งสี่ลาออกจากการเป็นลูกจ้างของจำเลย ทั้งในท้ายประกาศเอกสารหมาย ล.4 หน้า 3 กล่าวว่า “หากผู้ใดมีข้อสงสัย คำถาม หรือคำแนะนำ สามารถติดต่อ คุณจิสิมา สัมพันธ์อภัย คุณเอเดรียน โรเดนเบิรก์ และคุณแมทธิว สไควร์” อันเป็นการระบุชัดเจนหากมีผู้ใดอ่านประกาศแล้วมีข้อสงสัยให้สอบถามต่อบุคคลทั้งสามได้ การที่โจทก์ทั้งสี่เข้าใจว่าประกาศเอกสารหมาย ล.4 เป็นกรณีที่บริษัทซีวีพี ฯ เสนอว่าจ้างลูกจ้างของจำเลย เป็นการเข้าใจผิดของโจทก์ทั้งสี่เพียงฝ่ายเดียว อีกทั้งโจทก์ทั้งสี่มิได้สอบถามบุคคลตามที่ระบุในประกาศให้ได้ความชัดเจน จึงเป็นความบกพร่องของโจทก์ทั้งสี่เอง ประกอบกับหนังสือของนายซีริล เฟรเดอริค เบอร์แมน ตามเอกสารหมาย ล.6 ที่สรุปรายงานการประชุมแจ้งแก่ลูกจ้างแผนกหน่วยไตของบริษัทแปซิฟิคเฮลธ์แคร์ ฯ ก็ระบุถึงการลาออกของลูกจ้างแผนกหน่วยไตว่าจะได้รับเงินส่วนใดบ้างเท่านั้น ไม่มีข้อความกล่าวถึงจำเลย ไม่มีข้อความให้โจทก์ทั้งสี่เข้าใจ ได้ว่าต้องยื่นหนังสือลาออกตามเอกสารหมาย ล.5 เมื่อโจทก์ทั้งสี่ยื่นหนังสือลาออกจากการเป็นลูกจ้างของจำเลย จึงเป็นการลาออกโดยสมัครใจของโจทก์ทั้งสี่ จำเลยมิได้เลิกจ้างโจทก์ทั้งสี่ อุทธรณ์ของจำเลยฟังขึ้น
พิพากษากลับ ให้ยกฟ้องของโจทก์ทั้งสี่
เรียบเรียงโดย บริษัท กฎหมายปาระมี จำกัด