คำพิพากษาฎีกาที่ 21852/56
ปลอมแปลง แก้ไขใบสั่งยา ถือว่าจงใจทำให้นายจ้างได้รับความเสียหายและเป็นการปลอมแปลงเอกสารเลิกจ้างได้
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ เป็นนิติบุคคล มีฐานะเป็นรัฐวิสาหกิจ สังกัดกระทรวงการคลัง ใช้ชื่อว่าโรงงานยาสูบ กระทรวงการคลัง จำเลยที่ 2 เป็นผู้อำนวยการของจำเลยที่ 1 มีอำนาจกระทำการแทนจำเลยที่ 1 เมื่อวันที่ 16 พฤษภาคม 2521 โจทก์เข้าทำงานกับจำเลยทั้งสอง ตำแหน่งพนักงานบัญชี 3 ตำแหน่งสุดท้ายนักบัญชี 6 ค่าจ้างอัตราสุดท้ายเดือนละ 48,360 บาท โจทก์และครอบครัวได้รับสวัสดิการจากจำเลยทั้งสอง โดยไม่ต้องเสียค่ารักษาพยาบาลใดๆ โจทก์เบิกยากจากโรงพยาบาลของจำเลยทั้งสองมาตลอดเวลา ซึ่งเป็นยาสามัญประจำบ้านและมีราคาไม่แพง ในแต่ละครั้งแพทย์จะสั่งยาครั้งละประมาณ 20 เม็ด โจทก์จึงแก้ตัวเลขจาก 20 เม็ด เป็น 40 เม็ด และเป็นยาชนิดเดียวกันเท่านั้น เนื่องจากโจทก์มีความเกรงใจผู้บังคับบัญชาไม่อยากจะขออนุญาตลาบ่อยๆ กลัวจะเสียเวลาในการปฏิบัติหน้าที่ของโจทก์ โจทก์ไม่มีเจตนาที่จะทุจริตและยาที่โจทก์เบิกก็นำไปรักษาพยาบาลโจทก์และครอบครัว ไม่ได้นำไปจำหน่ายเพื่อหวังผลประโยชน์กำไร เมื่อวันที่ 30 กันยายน 2548 จำเลยทั้งสองมีคำสั่งแต่งตั้งคณะกรรมการสอบสวนทางวินัยโจทก์ คณะกรรมการสอบสวนพิจารณาแล้วมีความเห็นว่า โจทก์มีความผิด ทำให้จำเลยทั้งสองได้รับความเสียหาย และมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 264 ฐานปลอมเอกสาร ถือว่าโจทก์กระทำความผิดวินัยอย่างร้ายแรง จำเลยทั้งสองมีคำสั่งลงโทษปลดโจทก์ วันที่ 8 ธันวาคม 2548 โจทก์ยื่นอุทธรณ์ต่อคณะกรรมการอำนวยการของจำเลยทั้งสอง คณะกรรมการอำนวยการมีมติยกอุทธรณ์ของโจทก์ โจทก์ยื่นฟ้องต่อศาลปกครองกลาง ศาลปกครองกลางมีคำสั่งไม่รับฟ้อง โจทก์ไม่ได้จงใจทำให้จำเลยทั้งสองได้รับความเสียหาย พนักงานบางคนของจำเลยทั้งสองกระทำทุจริตต่อทรัพย์สินของจำเลยทั้งสอง แต่จำเลยทั้งสองมีคำสั่งให้ยกเลิกคำสั่งลงโทษพนักงานดังกล่าว คำสั่งของจำเลยทั้งสองจึงเป็นคำสั่งที่ไม่เป็นธรรมและไม่ชอบด้วยกฎหมาย ขอให้เพิกถอนคำสั่งโรงงานยาสูบ กระทรวงการคลัง ที่ 341/2548 เรื่อง ลงโทษปลดพนักงาน ให้โจทก์กลับเข้าทำงานกับจำเลยทั้งสองในตำแหน่งเดิมและได้รับค่าจ้างในอัตราเดิม และให้โจทก์ได้รับค่าจ้างในอัตราเดิมระหว่างที่ถูกปลดออกจากงานจนถึงวันเข้าทำงานกับจำเลยทั้งสองต่อไป
จำเลยที่ 1 ไม่ให้การ
จำเลยที่ 2 ให้การว่า โรงงานยาสูบไม่มีสภาพเป็นนิติบุคคล แต่เป็นกิจการหารายได้ที่รัฐมีอำนาจดำเนินการได้เพียงผู้เดียว ตามพระราชบัญญัติยาสูบ พ.ศ. 2509 อยู่ในกำกับดูแลของกระทรวงการคลัง โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องโรงงานยาสูบเป็นจำเลยที่ 1 โรงพยาบาลยาสูบเป็นหน่วยงานในสังกัดของจำเลยที่ 1 เป็นสวัสดิการที่จำเลยที่ 1 จัดให้แก่พนักงาน เดือนสิงหาคม 2548 จำเลยที่ 2 ได้รับรายงานว่าโจทก์แก้ไขใบสั่งจ่ายยาโรงพยาบาลยาสูบหลายครั้ง ซึ่งเป็นความผิดตามระเบียบโรงงานยาสูบกระทรวงการคลัง ว่าด้วยวินัยพนักงานยาสูบ พ.ศ. 2537 จำเลยที่ 2 มีคำสั่งให้ตั้งคณะกรรมการสอบสวนทางวินัยโจทก์ คณะกรรมการสอบสวนพิจารณาแล้วพบว่าในช่วงเดือนตุลาคม 2547 – วันที่ 30 กันยายน 2548 โจทก์แก้ไขใบสั่งจ่ายยาโรงพยาบาลยาสูบที่มีการจ่ายยาให้โจทก์และครอบครัวจำนวน 21 ฉบับ การกระทำดังกล่าวนอกจากจะทำให้จำเลยที่ 1 เสียหายแล้วยังเป็นความผิดอาญา อันเป็นความผิดวินัยอย่างร้ายแรงตามระเบียบโรงงานยาสูบ กระทรวงการคลัง ว่าด้วยวินัยพนักงานยาสูบ พ.ศ.2537 ข้อ 6 ( 6.1) และ (6.5) คณะกรรมการพิจารณาโทษของโจทก์แล้วเห็นว่าโจทก์ให้การรับสารภาพว่ากระทำผิดจริง มีโทษไล่ออก แต่มีเหตุสมควรปรานีลดโทษจากไล่ออกเป็นปลดออก การลงโทษโจทก์จึงเป็นไปตามระเบียบและชอบด้วยกฎหมาย ขอให้ยกฟ้อง
ศาลแรงงานกลางพิจารณาแล้ว พิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีแรงงานประชุมปรึกษาแล้ว ศาลแรงงานกลางรับฟังข้อเท็จจริงเป็นยุติว่า เมื่อวันที่ 16 พฤษภาคม 2521 โจทก์เข้าทำงานกับจำเลยทั้งสอง ตำแหน่งพนักงานบัญชี 3 ตำแหน่งสุดท้ายนักบัญชี 6 ค่าจ้างอัตราสุดท้ายเดือนละ 48,360 บาท ระหว่างเดือนตุลาคม 2547 – เดือนกันยายน 2548 โจทก์และครอบครัวไปตรวจรักษาที่โรงพยาบาลยาสูบซึ่งเป็นหน่วยงานหนึ่งของจำเลยทั้งสองหลายครั้ง ในแต่ละครั้งแพทย์ออกใบสั่งจ่ายยาให้แล้วโจทก์แก้ไขตัวเลขในใบสั่งยาจำนวน 21 ฉบับ จาก 20 เม็ด เป็น 40 เม็ด หลังจากนั้นนำใบสั่งจ่ายยาดังกล่าวไปขอรับยาจากเภสัชกรแผนกจ่ายยาโจทก์ได้รับยาจำนวนมากกว่าที่แพทย์สั่งจ่ายให้ จำเลยทั้งสองตั้งคณะกรรมการสอบสวนทางวินัยโจทก์ ซึ่งมีความเห็นเสนอต่อจำเลยทั้งสอง จำเลยที่ 2 มีคำสั่งลงโทษปลดโจทก์ออกจากการเป็นพนักงาน แล้วินิจฉัยว่า การกระทำของโจทก์ทำให้โรงพยาบาลยาสูบต้องรับภาระจำนวนยาที่เพิ่มขึ้นมากเกินความจริงจากแพทย์ที่สั่งไว้ ย่อมทำให้จำเลยที่ 1 ต้องรับภาระเพิ่มขึ้น จำเลยที่ 1 จึงได้รับความเสียหาย และเป็นความผิดฐานปลอมเอกสารตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 264 ถือว่าเป็นการกระทำผิดวินัยอย่างร้ายแรงตามระเบียบโรงงานยาสูบ กระทรวงการคลัง ว่าด้วยวินัยพนักงานยาสูบ พ.ศ. 2537 ข้อ 6 (6.1) และ (6.5) และพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. 2541 มาตรา 119 (1) และ (2) (ที่ถูกเป็นระเบียบคณะกรรมการรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ เรื่อง มาตรฐานของสิทธิประโยชน์ของพนักงานรัฐวิสาหกิจ พ.ศ. 2534 ข้อ 46 (1) และ (2) ที่ใช้บังคับในคณะเกิดเหตุ) จำเลยทั้งสองมีสิทธิลงโทษปลดโจทก์ออกจากงานได้ คำสั่งโรงงานยาสูบ กระทรวงการคลัง ที่ 341/2548 ชอบแล้ว
ที่โจทก์อุทธรณ์ว่าการกระทำของโจทก์ไม่ทำให้จำเลยทั้งสองได้รับความเสียหาย เพราะยาที่โจทก์แก้ไขในใบสั่งจ่ายยาเป็นยาสามัญประจำบ้าน มิได้มีราคาแพง กับโจทก์นำไปรักษาโจทก์และครอบครัวเท่านั้น มิได้นำไปจำหน่ายเพี่อแสวงหากำไร ดังที่นางโสภา ยืนยงพยานจำเลยเบิกความว่าค่าเสียหายจากการกระทำของโจทก์เท่าที่ทราบมีจำนวนไม่มากนักและโจทก์ไม่มีเจตนาจะกระทำความผิดฐานปลอมเอกสาร เพราะยาที่โจทก์แก้ไขในใบสั่งจ่ายยาเป็นยาประเภทเดียวกัน และบางครั้งโจทก์เคยให้แพทย์ผู้ตรวจแก้ไขตัวเลขหลายครั้ง คำสั่งของจำเลยทั้งสองจึงเป็นคำสั่งที่ไม่เป็นธรรมนั้น เมื่อศาลแรงงานกลางฟังข้อเท็จจริงเป็นยุติว่าการกระทำของโจทก์ทำให้จำเลยที่ 1 ได้รับความเสียหายและเป็นความผิดฐานปลอมเอกสาร อุทธรณ์ของโจทก์ล้วนเป็นการโต้แย้งดุลพินิจในการรับฟังพยานหลักฐานของศาลแรงงานกลางเพื่อให้ศาลฎีการับฟังข้อเท็จจริงดังที่โจทก์อุทธรณ์เพื่อนำไปสู่ข้อกฎหมายว่า คำสั่งของจำเลยทั้งสองเป็นคำสั่งที่ไม่เป็นธรรม จึงเป็นอุทธรณ์ในข้อเท็จจริง ต้องห้ามมิให้อุทธรณ์ตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. 2522 มาตรา 54 วรรคหนึ่ง ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
พิพากษายกอุทธรณ์ของโจทก์
เรียบเรียงโดย บริษัท กฎหมายปาระมี จำกัด