คำพิพากษาฎีกาที่ 15260/56
ฝ่ายบุคคลไม่ตรวจสอบประวัติและสัมภาษณ์พนักงานเข้าทำงาน เป็นเหตุให้รับพนักงานที่ขาดคุณสมบัติ (เคยถูกไล่ออก) เข้าทำงานจนมากระทั่งผิดซ้ำอีก ถือว่าฝ่าฝืนข้อบังคับกรณีร้ายแรง และประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรง
โจทก์ฟ้องและแก้ไขคำฟ้องว่า จำเลยเป็นรัฐวิสาหกิจ จัดตั้งขึ้นตามพระราชกำหนดบรรษัทตลาดรองสินเชื่อที่อยู่อาศัย พ.ศ.2540 โจทก์เป็นลูกจ้างของจำเลยตั้งแต่วันที่ 2 มกราคม 2541 ตำแหน่งสุดท้ายเป็นผู้อำนวยการฝ่ายอำนวยการและทรัพยากรบุคคล ได้รับค่าจ้างเป็นเงินเดือนๆละ 82,000 บาท ค่าโทรศัพท์เดือนละ 3,000 บาท กำหนดจ่ายค่าจ้างทุกวันที่ 25 ของเดือน เมื่อวันที่จำเลยมีคำสั่งพักงานโจทก์โดยไม่มีความผิดตามคำสั่งที่ 015/2549 เรื่อง ให้พักงาน จำเลยเลิกจ้างโจทก์โดยไม่มีความผิดตามคำสั่งที่ 028/2549 เรื่อง ลงโทษพนักงานผู้กระทำผิดวินัยโดยให้มีผลตั้งแต่วันที่ 2 พฤษภาคม 2549 โจทก์ได้ใช้สิทธิอุทธรณ์ต่อกรรมการและผู้จัดการแล้วแต่จำเลยมีคำสั่งยืน การที่จำเลยสั่งพักงานและเลิกจ้างโจทก์เป็นการกระทำที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย จำเลยต้องจ่ายค่าจ้างระหว่างพักงานตั้งแต่วันที่ 2 พฤษภาคม 2549 – วันที่ 2 พฤศจิกายน 2549 เป็นเงิน 521,333 บาท ค่าจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้า 150,166 บาท ค่าชดเชย 680,000 บาท เงินกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ 400,000 บาท ค่าเสียหายจากการการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรมและเป็นการจงใจกระทำต่อโจทก์โดยผิดกฎหมายรวม 10,000,000 บาท ขอให้บังคับจำเลยชดใช้เงิน 11,751,499 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปี นับแต่วันที่ 2 พฤศจิกายน 2549 จนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยให้การว่า จำเลยมีฐานะเป็นรัฐวิสาหกิจตามพระราชบัญญัติแรงงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ พ.ศ. 2543 มาตรา 6 โจทก์สมัครเข้าทำงานกับจำเลยเมื่อวันที่ 2 มกราคม 2541 ในตำแหน่งรองผู้อำนวยการฝ่ายบุคคลและธุรการ จำเลยมีข้อกำหนดหรือข้อปฏิบัติในการรับสมัครพนักงาน โดยประกาศรับสมัครทางหนังสือพิมพ์หรืออาจมีการประกาศทางเว็บไซต์ของจำเลยด้วย ฝ่ายงานที่ต้องการรับพนักงานคัดเลือกผู้สมัครในเบื้องต้นจากใบสมัครและเรียกสัมภาษณ์ การสัมภาษณ์มีคณะกรรมการสัมภาษณ์จำนวน 3 คน ประกอบด้วยผู้อำนวยการฝ่ายงานที่ต้องการรับพนักงาน ผู้อำนวยการฝ่ายอำนวยการและทรัพยากรบุคคลและกรรมการผู้จัดการหรือรองกรรมการผู้จัดการ ตามคู่มือปฏิบัติงานระบบการบริหารงานบุคคลและคำสั่งคณะกรรมการจำเลยที่ 019/2546 เรื่อง แต่งตั้งคณะกรรมการสรรหา กำหนดค่าตอบแทนและวินัย ต้องปฏิบัติตามข้อบังคับของจำเลยฉบับที่ 1 ว่าด้วยการพนักงาน พ.ศ. 2548 หมวด 2 คุณสมบัติพนักงาน การบรรจุ การแต่งตั้ง อัตรากำลัง และเงินโบนัส ข้อ 5 พนักงานต้องเป็นผู้มีคุณสมบัติและไม่มีลักษณะต้องห้ามดังต่อไปนี้ (7) ไม่เป็นผู้เคยถูกลงโทษให้ออก ปลดออก หรือไล่ออก และกระทำผิดวินัยของบรรษัท ราชการ รัฐวิสาหกิจหรือหน่วยงานอื่นของรัฐ โจทก์ไม่ปฏิบัติหน้าที่ตามระเบียบข้อบังคับและขั้นตอนเกี่ยวกับการปฏิบัติงานของจำเลย และปฏิบัติงานด้วยความประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรง 3 กรณี คือ โจทก์ซึ่งมีหน้าที่รับพนักงาน ได้รับนายวิภาช บุญดิเรก เข้าดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการฝ่ายตลาด/สินเชื่อ 1 โดยไม่มีการตรวจสอบประวัติว่านายวิภาชเคยถูกลงโทษทางวินัยมาก่อนหรือไม่ก่อนที่โจทก์จะเสนอคณะกรรมการของจำเลยให้ความเห็นชอบในการบรรจุแต่งตั้ง จากการตรวจสอบภายหลังพบว่านายวิภาชมีประวิติเคยเป็นพนักงานธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) แต่ต่อมาธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) เลิกจ้างเพราะนายวิภาชถูกร้องเรียนเนื่องจากกระทำผิดวินัยและถูกให้ออกจากงาน โจทก์มีหน้าที่ตรวจสอบประวัติการทำงานนายวิภาชก่อนนำเสนอให้คณะกรรมของจำเลยพิจารณาและต้องตรวจซ้ำอีกครั้งหลังจากคณะกรรมการของจำเลยอนุมัติแล้ว นอกจากนั้นโจทก์ต้องจัดให้ผู้สมัครงานผ่านการสัมภาษณ์จากคณะกรรมการจำนวน 3 คน แต่โจทก์กลับรับนายวิภาชโดยไม่ผ่านการสัมภาษณ์ซึ่งปรากฏว่าต่อมานายวิภาชปฏิบัติงานก่อให้เกิดความเสียหายแก่จำเลย จำเลยมีคำสั่งแต่งตั้งคณะกรรมการสอบสวนทางวินัยและต่อมามีคำสั่งลงโทษทางวินัยแก่นายวิภาช การกระทำของโจทก์เป็นการกระทำผิดวินัยอย่างร้ายแรง จำเลยไม่ต้องจ่ายค่าจ้างระหว่างพักงานไม่ต้องบอกกล่าวเลิกจ้างล่วงหน้า ไม่ต้องจ่ายค่าชดเชย ไม่ต้องจ่ายเงินสมทบกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ ทั้งกองทุนสำรองเลี้ยงชีพเป็นนิติบุคคลแยกต่างหากจากจำเลย โจทก์ไม่สามารถฟ้องเรียกเงินส่วนนี้จากจำเลยได้และไม่ต้องชดใช้ค่าเสียหายจากการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรม กับไม่ต้องรับผิดชำระดอกเบี้ยตามฟ้อง ขอให้ยกฟ้อง
ศาลแรงงานกลางพิจารณาแล้ว พิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีแรงงานตรวจสำนวนประชุมปรึกษาแล้ว ฟังข้อเท็จจริงและวินิจฉัยดังนี้ คำสั่งที่ 015/2549 เรื่อง พักงาน เอกสารหมาย ล.24 จำเลยออกคำสั่งตามข้อบังคับของจำเลยฉบับที่ 1 ว่าด้วยการพนักงาน พ.ศ. 2548 ข้อ 30 ซึ่งระบุว่า “พนักงานผู้ใดถูกฟ้องคดีอาญา....หรือมีกรณีถูกกล่าวหาว่ากระทำผิดวินัยอย่างร้ายแรง ถ้าการให้ผู้นั้นปฏิบัติงานต่อไปจะเสียหายแก่บรรษัท กรรมการผู้จัดการจะสั่งให้พักงานผู้นั้นก็ได้....” และข้อ 31 ระบุว่า “สำหรับกรณีที่พนักงานถูกสั่งพักงาน ให้ระงับการจ่ายเงินเดือนและเงินพึงได้อื่นๆ ตั้งแต่วันที่ถูกสั่งพักงานเป็นต้นไปด้วย” ดังนั้นเมื่อโจทก์ถูกกล่าวหาว่ากระทำผิดวินัยอย่างร้ายแรง จำเลยโดยกรรมการและรักษาการผู้จัดการจึงมีอำนาจสั่งให้พักงานโจทก์ได้ เนื่องจากข้อบังคับฉบับดังกล่าวไม่ได้ระบุให้ต้องกำหนดระยะเวลาพักงานไว้ด้วย จำเลยจึงไม่ต้องกำหนดระยะเวลาพักงาน การที่จำเลยไม่จ่ายค่าจ้างระหว่างพักงานให้แก่โจทก์ก็เป็นไปตามที่ได้กำหนดไว้ในข้อบังคับ เมื่อปรากฏต่อมาว่าโจทก์มีความผิดและมีการลงโทษโดยการให้ออก การที่จำเลยมีคำสั่งพักงานโจทก์จึงมิใช่การกระทำที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย โจทก์ไม่มีสิทธิเรียกร้องค่าจ้างระหว่างพักงานและดอกเบี้ยตามฟ้องได้
คดีมีปัญหาวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของโจทก์ว่า การที่โจทก์ไม่ได้ตรวจสอบประวัติการทำงานของนายวิภาช และไม่ได้จัดให้มีการสัมภาษณ์นายวิภาชโดยคณะกรรมการจำนวน 3 คน เป็นการฝ่าฝืนข้อบังคับหรือระเบียบเกี่ยวกับการทำงานหรือคำสั่งอันชอบด้วยกฎหมายของรัฐวิสาหกิจกรณีร้ายแรง และประมาทเลินเล่อเป็นเหตุให้รัฐวิสาหกิจได้รับความเสียหาย ตามระเบียบคณะกรรมการรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ เรื่อง มาตรฐานของสิทธิประโยชน์ของพนักงานรัฐวิสาหกิจ พ.ศ. 2534 ข้อ 46 (3) และ (5) และเป็นการประมาทเลินเล่อเป็นเหตุให้นายจ้างได้รับความเสียหายอย่างร้ายแรงกับเป็นการฝ่าฝืนข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงาน ข้อกำหนด ระเบียบหรือคำสั่งนายจ้างกรณีร้ายแรง ตามประกาศคณะกรรมการแรงงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ เรื่อง มาตรฐานขั้นต่ำของสภาพการจ้างในรัฐวิสาหกิจ ข้อ 60 (3) และ (4) หรือไม่ เห็นว่า การสรรหารับสมัครและการว่าจ้างพนักงานเข้าทำงาน รวมทั้งการับนายวิภาชอยู่ในความรับผิดชอบของโจทก์โดยตรง เพื่อให้ได้บุคลากรที่มีคุณสมบัติและไม่มีลักษณะต้องห้ามเข้าทำงานกับจำเลยโดยเฉพาะการรับนายวิภาชเข้าทำงานในตำแหน่งผู้อำนวยการฝ่ายการตลาด/สินเชื่อ 1 ซึ่งเป็นตำแหน่งระดับ 8 นับว่าเป็นผู้บริหารระดับสูง ซึ่งมีโอกาสสร้างความเสียหายให้แก่จำเลยได้สูงเช่นกัน การคัดเลือกบุคคลเข้าดำรงตำแหน่งนี้ก็ยิ่งจะต้องกระทำไม่ระมัดระวังตรวจสอบประวัติการทำงานของนายวิภาชเพื่อสกัดไม่ให้ผู้ที่เคยกระทำความผิดทางวินัยจนถูกให้ออกจากงานเข้ามาทำงานกับจำเลย หากมีการตรวจสอบหรือมีการสัมภาษณ์ย่อมจะทราบว่านายวิภาชขาดคุณสมบัติและจำเลยคงไม่จ้างนายวิภาชเข้าทำงาน ต่อมานายวิภาชทำความเสียหายให้แก่จำเลยจนจำเลยมีคำสั่งไล่ออกซ้ำอีก ย่อมเป็นผลโดยตรงจากการกระทำของโจทก์ทั้งสิ้นที่ฝ่าฝืนไม่ปฏิบัติหน้าที่ตามระเบียบ ข้อบังคับ และขั้นตอนดังกล่าวข้างต้นอย่างเคร่งครัด จึงเป็นกรณีร้ายแรง ประมาทเลินเล่อทำให้จำเลยเสียหายอย่างร้ายแรง อุทธรณ์ของโจทก์ฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน.
เรียบเรียงโดย บริษัท กฎหมายปาระมี จำกัด