คำพิพากษาฎีกาที่ 12719/55
ปรับเปลี่ยนโครงสร้างการทำงานและการบริหารภายใน ฝ่าฝืนไม่ยอมโอนย้ายตามคำสั่งเลิกจ้างได้ ถือว่าเลิกจ้างเป็นธรรม
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นลูกจ้างของจำเลยตั้งแต่วันที่ 16 สิงหาคม 2539 ทำงานในตำแหน่งสุดท้ายเป็นพนักงานสโตร์ ได้รับค่าจ้างอัตราสุดท้ายเดือนละ 8,150 บาท จำเลยกำหนดจ่ายค่าจ้างทุกวันที่ 17 และวันสิ้นเดือนของทุกเดือน เมื่อวันที่ 14 มิถุนายน 2550 จำเลยเลิกจ้างโจทก์โดยโจทก์ไม่มีความผิดและไม่ได้บอกกล่าวล่วงหน้า จึงเป็นการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรม ทำให้โจทก์ได้รับความเสียหาย เพราะโจทก์ต้องตกงานขาดรายได้ประจำและครอบครัวได้รับความลำบาก ขอให้บังคับจำเลยรับโจทก์กลับเข้าทำงานในตำแหน่งเดิมโดยนับอายุงานต่อเนื่องจากอายุงานเดิม หากจำเลยไม่สามารถรับโจทก์กลับเข้าทำงานได้ให้จ่ายค่าเสียหายจากการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรมเป็นเงิน 163,000 บาท และสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้าเป็นเงิน 4,336 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยให้การว่า เมื่อเดือนเมษายน 2550 จำเลยปรับเปลี่ยนโครงสร้างและการบริหารงานภายในของจำเลย เพื่อให้เกิดประสิทธิภาพในการทำงานและบริหารจึงเห็นสมควรให้โอนหน่วยงานสโตร์ แผนกจัดซื้อ และพนักงานสังกัดหน่วยงานสโตร์ทั้งหมด 15 คน รวมทั้งโจทก์ไปสังกัดแผนกวิศวกรรมโรงงาน ฝ่ายวิศกรรมและคุณภาพ ในวันที่ 1 มิถุนายน 2550 โดยกำหนดให้โจทก์ทำงานในตำแหน่งพนักงานสโตร์เช่นเดิม แต่โจทก์ปฏิเสธในการโอนย้ายโดยประสงค์จะทำงานที่แผนกจัดซื้อเช่นเดิม ทั้งที่แผนกจัดซื้อได้โอนหน่วยงานสโตร์ไปยังฝ่ายผลิตแล้วจึงไม่มีงานให้โจทก์ทำ โจทก์ไม่ยินยอมไปทำงานตำแหน่งพนักงานสโตร์แผนกวิศวกรรมโรงงาน ฝ่ายวิศวกรรมและคุณภาพ ตั้งแต่วันที่ 1 มิถุนายน 2549 เรื่อยมา ผู้จัดการแผนกบุคคลลและผู้จัดการแผนกจัดซื้อซึ่งเป็นผู้บังคับบัญชาของโจทก์เรียกโจทก์มาพบและชี้แจงถึงสาเหตุในการโอนย้ายให้โจทก์ทราบ แต่โจทก์ยังคงปฏิเสธที่จะไปทำงานเป็นพนักงานสโตร์ แผนกวิศวกรรมโรงงาน ฝ่ายวิศวกรรมและคุณภาพเช่นเดิม วันที่ 14 มิถุนายน 2550 จำเลยจึงได้เลิกจ้างโจทก์ การโอนย้ายสังกัดการทำงานของโจทก์ในตำแหน่งพนักงานสโตร์ เป็นการทำงานในตำแหน่ง ลักษณะงาน ตลอดจนอัตราค่าจ้างเดิมจำเลยเลิกจ้างโจทก์ไม่ได้มีเจตนากลั่นแกล้งโจทก์ จึงไม่เป็นการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรมทั้งจำเลยจ่ายสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้าและค่าชดเชยตามกฎหมายให้แก่โจทก์ครบถ้วนแล้ว ขอให้ยกฟ้อง
ศาลแรงงานภาค 2 พิจารณาแล้ว พิพากษาให้จำเลยจ่ายสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้าเป็นเงิน 543.34 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ คำขออื่นให้ยก
โจทก์อุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีแรงงานตรวจสำนวนประชุมปรึกษาแล้ว ศาลแรงงานภาค 2 รับฟังข้อเท็จจริงยุติในเบื้องต้นว่า โจทก์ทำงานเป็นพนักงานจำเลยตั้งแต่วันที่ 16 สิงหาคม 2539 ตำแหน่งสุดท้ายเป็นพนักงานพัสดุ ได้รับค่าจ้างอัตราสุดท้ายเดือนละ 8,150 บาท จำเลยจ่ายค่าจ้างให้โจทก์ทุกวันที่ 17 และวันสิ้นเดือนของทุกเดือน เมื่อวันที่ 13 มิถุนายน 2550 จำเลยมีหนังสือเลิกจ้างโจทก์ให้มีผลเลิกจ้างวันที่ 14 มิถุนายน 2550 โดยจ่ายค่าชดเชย 81,500 บาท และค่าจ้างหนึ่งงวดตั้งแต่วันที่ 16 – 30 มิถุนายน 2550 เป็นเงิน 4,075 บาท ตามเอกสารหมาย ล.9 และ ล.10 โจทก์ทำสัญญาจ้างแรงงานกับจำเลยตามเอกสารหมาย ล.13 และจำเลยมีระเบียบข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงานเอกหมาย ล.14 ประกาศใช้บังคับ
ปัญหาตามอุทธรณ์ของโจทก์ที่ว่า โจทก์ฝ่าฝืนระเบียบข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงานว่าด้วยการกำหนดหลักเกณฑ์การโยกย้าย โอนย้าย เปลี่ยนแปลงตำแหน่ง ข้อ 10 และขัดคำสั่งของจำเลยที่ให้โอนย้ายโจทก์ไปทำงานสังกัดแผนกวิศวกรรมโรงงาน ฝ่ายวิศวกรรมและคุณภาพหรือไม่นั้น ศาลแรงงานภาค 2 วินิจฉัยว่า จำเลยมีระเบียบข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงานตามเอกสารหมาย ล.14 กำหนดหลักเกณฑ์การโยกย้าย โอนย้าย เปลี่ยนแปลงตำแหน่งไว้ในข้อ 10 ว่าบริษัท (นายจ้าง) ขอสงวนไว้ซึ่งสิทธิในการออกคำสั่งเปลี่ยนแปลงโยกย้ายโอนย้ายตำแหน่งงาน ทั้งนี้เพื่อความเหมาะสมในการบริหาร การบริหารการผลิต การจัดจำหน่ายของบริษัท (นายจ้าง) ให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น โดยพนักงานต้องยอมรับการเปลี่ยนแปลงและปฏิบัติตามโดยปราศจากเงื่อนไขใดๆ ทั้งสิ้น เมื่อจำเลยมีนโยบายเปลี่ยนแปลงองค์กรของจำเลยในส่วนคลังพัสดุ เนื่องจากการจัดซื้อที่ผ่านมาของจำเลยมีปัญหาปริมาณวัสดุช่วยการผลิต และวัสดุทั่วไปกับอะไหล่เครื่องจักรมีปริมาณมากเกินไป กับมีการประชุมกันในส่วนของผู้บริหารรวม 2 ครั้ง เพื่อต้องการโยนย้ายคลังพัสดุไปให้ฝ่ายผลิตรับผิดชอบคลังพัสดุและได้กำหนดให้โจทก์ไปทำงานที่คลังพัสดุของแผนกวิศวกรรมโรงงาน ฝ่ายวิศวกรรมและคุณภาพโดยต้องมีการฝึกอบรมโจทก์ให้มีความรู้ความสามารถเพื่อรองรับงานใหม่ การโอนย้ายคลังพัสดุของจำเลยจึงเป็นการจัดทำขึ้นเพื่อให้การบริหารกิจการของจำเลยมีประสิทธิภาพได้รับประโยชน์สูงสุด แสดงให้เห็นว่าฝ่ายบริหารของจำเลยมีการวางแผนในการโอนย้ายคลังพัสดุอย่างชัดเจนเป็นขั้นตอน และโจทก์ยังคงมีตำแหน่ง ได้รับเงินเดือนกับสวัสดิการเช่นเดิม ที่โจทก์ปฏิเสธไม่ไปทำงานตามคำสั่งของจำเลยโดยอ้างว่าไม่มีความรู้ด้านช่างและเครื่องกล จึงไม่มีเหตุผลเพียงพอ เป็นการฝ่าฝืนระเบียบข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงานของจำเลยว่าด้วยการกำหนดหลักเกณฑ์การโยกย้าย โอนย้าย ตามเอกสารหมาย ล.14 ข้อ 10 และการขัดคำสั่งของโจทก์ยังแสดงให้เห็นว่าโจทก์มีพฤติกรรมไม่ให้ความร่วมมือในการบริหารงานจำเลย การที่จำเลยเลิกจ้างโจทก์โดยอาศัยเหตุดังกล่าวจึงมีเหตุอันสมควร ไม่เป็นการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรม ที่โจทก์อุทธรณ์ว่าเมื่อจำเลยประกาศใช้บังคับระเบียบข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงานว่าด้วยการกำหนดหลักเกณฑ์การโยกย้าย โอนย้าย เปลี่ยนแปลง ตำแหน่งของลูกจ้าง ข้อ 10 สหภาพแรงงานอุตสาหกรรมคอมเพรสเซอร์ไทยมีหนังสือคัดค้านเพราะจำเลยประกาศใช้บังคับโดยไม่ได้ตกลงร่วมกับฝ่ายลูกจ้างก่อน ระเบียบข้อบังคับฉบับนี้จึงไม่มีผลใช้บังคับ เห็นว่า ปัญหาว่าสหภาพแรงงานอุตสาหกรรมคอมเพรสเซอร์ไทย มีหนังสือคัดค้านการที่จำเลยประกาศใช้บังคับระเบียบข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงานดังกล่าว ข้อ 10 หรือไม่ เป็นข้อเท็จจริงที่โจทก์เพิ่งยกขึ้นกล่าวในอุทธรณ์โดยไม่เคยว่ากล่าวมาก่อนในคำฟ้อง จึงเป็นอุทธรณ์ในข้อเท็จจริง ส่วนที่โจทก์อุทธรณ์ต่อมาว่า โจทก์สำเร็จการศึกษาและทำงานด้านบัญชีมาตลอด แต่จำเลยกลับมีคำสั่งโอนย้ายโจทก์ไปทำงานด้านช่างในแผนกวิศวกรรมโรงงาน ฝ่ายวิศวกรรมและคุณภาพ ซึ่งโจทก์ไม่มีความรู้ความชำนาญย่อมไม่ทำให้การผลิต การบริหาร หรือการจำหน่ายของจำเลยมีประสิทธิภาพมากขึ้นเป็นการกลั่นแกล้งโจทก์ เห็นว่า ศาลแรงงานภาค 2 รับฟังข้อเท็จจริงว่า งานใหม่ที่จำเลยมีคำสั่งโอนย้ายโจทก์ไปทำเป็นงานในหน้าที่พนักงานพัสดุ ห้องคลังพัสดุ แผนกวิศวกรรมโรงงาน ฝ่ายวิศวกรรมและคุณภาพ ไม่ใช่ให้ไปทำงานหน้าที่เป็นช่างเทคนิคโดยตรง และจำเลยจัดให้มีการฝึกอบรมแก่โจทก์จนมีความรู้ความสามารถทำงานในหน้าที่ใหม่ตามที่จำเลยมอบหมายแล้วก่อนให้โจทก์โอนย้ายไป ไม่ใช่เป็นการโอนย้ายเพื่อกลั่นแกล้งโจทก์ อุทธรณ์ของโจทก์ดังกล่าวจึงเป็นการโต้เถียงข้อเท็จจริงเกี่ยวกับความรู้ความชำนาญอันนำไปสู่ข้อกฎหมายว่าเป็นการกลั่นแกล้งหรือไม่ที่ศาลแรงงานภาค 2 รับฟังไว้ดังข้างต้น เป็นการอุทธรณ์ในข้อเท็จจริงเช่นเดียวกัน อุทธรณ์ของโจทก์จึงต้องห้ามมิให้อุทธรณ์ตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ.2522 มาตรา 54 วรรคหนึ่ง ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
พิพากษายกอุทธรณ์ของโจทก์.
เรียบเรียงโดย บริษัท กฎหมายปาระมี จำกัด