สปส.ลุ้นสนช.ผ่านกม.ประกันสังคม
ก.แรงงาน * สปส.ยกเครื่ององค์กร ปฏิรูปกองทุนประกันสังคม เร่งผลักดันกฎหมายผ่าน สนช.ให้ผู้ประกันตนได้เลือกตั้งคณะกรรมการต่างๆ เพื่อตรวจสอบการทำงานของ สปส. พร้อมเปิดเผยข้อมูลต่อสาธารณะ
นายโกวิท สัจจวิเศษ ผู้ตรวจราชการสำนักงานประกันสังคม (สปส.) กระทรวงแรงงาน ในฐานะโฆษก สปส. กล่าวว่า พล.อ. สุรศักดิ์ กาญจนรัตน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน มีนโยบายปฏิรูปกองทุนประกันสังคม และกองทุนเงินทดแทนเป็นของขวัญปีใหม่ 2558 ให้แก่ผู้ประกันตนและนายจ้างผู้ประกอบการ โดยเน้นใน 4 แนวทางเพื่อการแปลงนโยบายไปสู่ภาคปฏิบัติ ได้แก่ 1.เปิดเผย 2.ตรวจสอบ ได้ 3.บริหารโดยมืออาชีพ และ 4.พึงพอใจ ในกลุ่มผู้ประกันตน นายจ้าง และฝ่ายของสำนักงานประกันสังคม
นายโกวิทกล่าวว่า ของขวัญปีใหม่ 2558 ที่ สปส.อยากมอบให้ผู้ประกันตนคือ อยากให้ พ.ร.บ.ประกันสังคม ผ่านการเห็นชอบของสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) โดยยืนยันว่า สปส.จะผลักดันในผู้ประกันตนได้เลือกตั้งคณะกรรมการต่างๆ ด้วยตนเอง เพื่อให้ผู้ประกันตนและนายจ้างเข้ามาตรวจสอบการทำงานของ สปส.โดยมีตัวแทน ซึ่งจะทำให้สามารถตรวจสอบการทำงานได้มากขึ้น
อย่างไรก็ตาม สปส.ยังพร้อมจะเปิดเผยข้อมูลต่อสาธารณชน เช่น ผลการประชุมคณะกรรมการ, ผลการลงทุนทุกไตรมาส, ผลการดำเนินงานโครงการสำคัญ, ผลการจ่ายเงิน ข้อมูลที่เป็นปัจจุบันและอยู่ในความสนใจ, อัตราค่าอุปกรณ์และเครื่องช่วยกายอุปกรณ์ และคะแนนผลการประเมินสถานพยาบาล และเตรียมเพิ่มช่องทางการประชาสัมพันธ์ที่มีประสิทธิภาพ จัดทำสื่อที่มีคุณภาพ เช่น สื่อโทรทัศน์, วิทยุชุมชน, จัดพิมพ์คู่มือผู้ประกันตน, จัดให้มีช่องทีวีรายการประกันสังคม และปรับปรุงสายด่วน 1506 ให้มีประสิทธิภาพ และใช้สื่อที่เป็นภาษาที่เข้าใจง่าย
ทั้งนี้ ในเรื่องการเพิ่มสิทธิประโยชน์กองทุนเงินทดแทนส่วนของการเจ็บป่วยในช่วงเทศกาลปีใหม่ที่ผ่านมา ได้ขอความร่วมมือสถานพยาบาลในเครือข่ายประกันสังคม ให้การรักษาผู้ประกันตนที่ประสบอันตราย หรือเจ็บป่วยฉุกเฉิน สามารถเข้ารักษาได้ทุกสถานพยาบาลโดยไม่ต้องสำรองจ่าย และให้ประสานแจ้งโรงพยาบาลตามบัตรรับรองสิทธิ์ฯ โดยเร็ว โดยไม่ต้องรอครบระยะเวลา 72 ชั่วโมง เพื่อให้สถานพยาบาลตามบัตรรับรองสิทธิ์การรักษาพยาบาลรับผิดชอบค่าใช้จ่าย โดยผู้ประกันตนสามารถตรวจสอบสิทธิ์ผู้ประกันตน และประสานการให้บริการทางการแพทย์ผ่านสายด่วน 1506 ตลอด 24 ชั่วโมง.
สปส.หลักประกันที่มั่นคง
สำนักงานประกันสังคม หรือ สปส. ในปัจจุบันดูเหมือนว่าจะเป็นหลักประกันที่มั่นคงจริงๆ สำหรับบรรดาลูกจ้าง และยังจะขยายไปถึงผู้เฒ่าผู้แก่ ข้าราชการบำนาญ ทั้งนี้เพราะหลักการของ "การประกันสังคม" คือการเคลียร์ทุกข์ เฉลี่ยสุข เพื่อสร้างหลักประกันความมั่นคงของชีวิตให้กับผู้ใช้แรงงาน โดยผู้ประกันตนต้องจ่ายเงินสมทบร่วมด้วย รวมทั้งนายจ้างและรัฐบาล รวมแล้วเป็นเงิน 1,912.50 บาทต่อคนในปัจจุบัน สำหรับสิทธิประโยชน์ 7 กรณี นับเป็นประโยชน์สูงสุดสำหรับผู้ใช้แรงงานอย่างแท้จริง
มิหนำซ้ำในปี 2558 สำนักงานประกันสังคมยังมีนโยบายร่วมกับสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ หรือ สปสช. ในการจัดซื้อยาร่วมกัน และจัดทำคลังยารวมในสถานพยาบาล เพื่อให้การบริหารจัดการยาบัญชี จ.(2) มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น เพราะที่ผ่านมา สปส.ได้จัดให้มีการสนับสนุนยาราคาแพงให้แก่สถานพยาบาลที่รักษาผู้ประกันตนที่เจ็บป่วย และมีความจำเป็นต้องรักษาด้วยยาบัญชีหลักแห่งชาติ บัญชียา จ.(2) ตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค.55 โดยใช้การบริหารจัดการยาเช่นเดียวกับ สปสช.
แต่เนื่องจากยากลุ่มนี้มีราคาสูงมาก จำเป็นต้องใช้กับผู้ป่วยเฉพาะรายที่มีความเหมาะสม รวมทั้งแพทย์จะต้องเป็นแพทย์ที่มีความรู้ เชี่ยวชาญเฉพาะโรค จึงต้องได้รับการพิจารณาและอนุมัติจากแพทย์ผู้เชี่ยวชาญของสถานพยาบาล ที่ สปส.แต่งตั้ง ทั้งนี้ หากสถานพยาบาลที่ไม่มีแพทย์ผู้เชี่ยวชาญสามารถส่งต่อผู้ป่วยไปรับยา ณ สถานพยาบาลที่มีแพทย์ผู้เชี่ยวชาญได้ ซึ่งปัจจุบัน สปส.ได้ประกาศสิทธิประโยชน์ด้านยาบัญชี จ.(2) จำนวนถึง 17 รายการ นอกเหนือจากยาที่ใช้รักษากันตามปกติแล้ว
ดังนั้น กรณีปัญหาผู้ประกันตนยังเข้าถึงยาแพงยากก็คงหมดไป ยิ่งเมื่อ สปส.โชว์ยาบัญชี จ.(2) อาทิ ยารักษาโรคตับอักเสบซี การให้ยาต่อเนื่องกับผู้ป่วยมะเร็งเต้านม ผู้ป่วยมะเร็งเม็ดเลือดขาว ที่มีค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ สูงถึงกว่า 1,440,000 บาทต่อปี ทั้งๆ ที่ผู้ประกันตนถูก สปส.แบ่งเงินที่เก็บรายเดือนกรณีเจ็บป่วยเพียง 0.88% เท่านั้น จึงย่อมแสดงให้เห็นว่ากองทุนประกันสังคมของ สปส.สามารถเป็นหลักประกันความมั่นคงในทุกๆ ด้านให้กับลูกจ้างผู้ประกันตนได้อย่างแน่นอน
รวมทั้งผู้เฒ่าผู้แก่ไม่เว้นแม้แต่ข้าราชการที่เกษียณอายุราชการแล้ว สปส.ยังมีความห่วงใยเปิดให้มีการสมัครผู้ประกันตนตามมาตรา 40 โดยให้ผู้ที่มีอายุ 60 ปีบริบูรณ์ สามารถสมัครออมเงินไม่ว่าจะเคยมีอาชีพใดมาก่อน ถือได้ว่าสำนักงานประกันสังคมได้มีการพัฒนารูปแบบการให้บริการถึงแม้กรณีดังกล่าวจะถูกตำหนิติติง เนื่องจากไม่ได้มีการประชาสัมพันธ์เท่าที่ควร แต่คงถือเป็นการเพิ่มหลักประกันความมั่นคงให้กับประชาชนทั่วทั้งประเทศ แต่ทว่าเป็นห่วงตรงที่อย่าผลาญเงินกองทุนประกันสังคมจนหมดไปซะก่อนแล้วกัน