คำพิพากษาฎีกาที่ 21713/56
วันหยุดพักผ่อนประจำปี นายจ้างต้องกำหนดให้ลูกจ้างหยุด เข้าใจเองไม่ได้ และ ข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงานที่ไม่ได้มาจากการยื่นข้อเรียกร้อง นายจ้างและลูกจ้างสามารถทำข้อตกลงที่แตกต่างจากข้อบังคับ ฯ ได้ เท่าที่ไม่ขัดต่อ พระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน ฯ
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์มีวัตถุประสงค์ประกอบกิจการขนส่งผู้โดยสารนำเที่ยวภายในประเทศ นายสุรพล เฮงไทร นายประเสริฐชัย งามปฐม นายสมเด็จ แก้วสกุล และนายเพิ่มพูน ชุ่มใจ เป็นลูกจ้างของโจทก์ ตำแหน่งพนักงานขับรถ ได้รับค่าจ้างเดือนละ 5,100 บาท จำเลยในฐานะพนักงานตรวจแรงงานกลุ่มงานสวัสดิการและคุ้มครองแรงงานพื้นที่ 7 มีคำสั่งที่ 9/2547 ลงวันที่ 9 เมษายน 2547 ให้โจทก์จ่ายค่าทำงานในวันหยุดพักผ่อนประจำปีให้แก่ลูกจ้างดังกล่าวคนละ 2,040 บาท รวมเป็นเงิน 8,160 บาท โจทก์ได้รับคำสั่งของจำเลยเมื่อวันที่ 16 เมษายน 2547 โจทก์เห็นว่าคำสั่งคลาดเคลื่อนต่อข้อเท็จจริงและหลักกฎหมายเพราะโจทก์มีระเบียบข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงานฉบับลงวันที่ 1 มกราคม 2545 ให้ลูกจ้างซึ่งทำงานติดต่อกันครบ 1 ปี มีสิทธิหยุดพักผ่อนประจำปี 6 วันทำงาน โดยได้รับค่าจ้าง ทั้งนี้โจทก์จะกำหนดล่วงหน้าหรือตามที่ตกลงกัน กรณีลูกจ้างไม่มีงานหรือไม่ได้ขับรถก็ขอลาหยุดไม่ต้องมาทำงานปีละไม่น้อยกว่า 30 วันทำงาน โดยได้รับค่าจ้าง โดยได้รวมวันหยุดพักผ่อนประจำปี 6 วัน เข้าด้วยแล้ว เป็นการใช้สิทธิลาพักผ่อนประจำปีได้มากกว่าที่กฎหมายกำหนดไว้ถือเป็นคุณแก่ลูกจ้างยิ่งกว่าใช้สิทธิหยุดพักผ่อนประจำปีและได้ถือปฏิบัติเช่นนี้ตลอดมา ในแต่ละปีมีช่วงเวลา 4 ถึง 5 เดือน ที่มีผู้ว่าจ้างใช้บริการรถยนต์ของโจทก์น้อยมาก ลูกจ้างหยุดงานได้โดยได้รับค่าจ้าง การลาหยุดงานดังกล่าวไม่ได้ระบุให้ชัดเจนว่าเป็นการลาประเภทใด เป็นที่เข้าใจกันว่าเป็นการลาหยุดพักผ่อนประจำปีแต่ละปีมากกว่า 6 วัน แล้ว ขอให้เพิกถอนคำสั่งพนักงานตรวจแรงงานที่ 9/2547 ลงวันที่ 9 เมษายน 2547
จำเลยให้การว่า โจทก์ไม่ได้จัดวันหยุดพักผ่อนประจำปีให้แก่ลูกจ้างทั้งสี่คนกรณีลูกจ้างไม่ได้ขับรถก็ขอลาหยุดได้โดยไม่ต้องมาทำงาน แต่ละปีลูกจ้างขอหยุดมากกว่า 6 วัน ทำงาน ไม่ได้ระบุชัดเจนว่าเป็นการลาประเภทใด ซึ่งเป็นที่เข้าใจกันว่าเป็นการลาหยุดพักผ่อนประจำปี โจทก์ไม่ต้องจ่ายค่าทำงานในวันหยุดพักผ่อนประจำปีให้แก่ลูกจ้างนั้น ไม่อาจฟังได้ว่าวันหยุดงานดังกล่าวเป็นวันหยุดที่นายจ้างจัดให้เป็นวันหยุดพักผ่อนประจำปีหรือลูกจ้างได้ใช้สิทธิลาหยุดพักผ่อนประจำปีแล้ว เมื่อโจทก์ไม่ได้กำหนดวันหยุดพักผ่อนประจำปีให้แก่ลูกจ้าง ทั้งไม่ได้ตกลงกับลูกจ้างว่าเมื่อลูกจ้างไม่มีงานหรือไม่ได้ขับรถให้ถือว่าเป็นวันหยุดพักผ่อนประจำปี จึงถือว่าโจทก์ซึ่งเป็นนายจ้างไม่ได้กำหนดวันหยุดพักผ่อนประจำปีให้แก่ลูกจ้าง โจทก์จึงต้องจ่ายค่าทำงานในวันหยุดพักผ่อนประจำปี 2545 – 2546 ให้ลูกจ้างคนละ 6 วันทำงาน ต่อปี รวม 12 วัน เป็นเงินคนละ 2,040 บาท ทั้งในชั้นสอบสวนข้อเท็จจริงของจำเลยโจทก์ไม่ได้นำระเบียบข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงานฉบับลงที่ 1 มกราคม 2545 และหลักฐานใบลาของลูกจ้างมาแสดงต่อจำเลย คำสั่งของจำเลยในฐานะพนักงานตรวจแรงงานจึงเป็นคำสั่งที่ชอบด้วยกฎหมาย ไม่มีเหตุที่จะต้องเพิกถอน ขอให้ยกฟ้อง
ศาลแรงงานกลางพิจารณาแล้ว พิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีแรงงานตรวจสำนวนประชุมปรึกษาแล้ว ศาลแรงงานกลางฟังข้อเท็จจริงว่า โจทก์ มีวัตถุประสงค์ประกอบธุรกิจให้บริการรถยนต์โดยสารไม่ประจำทางเพื่อการท่องเที่ยวภายในประเทศ นายสุรพล เฮงไทร นายประเสริฐชัย งามปฐม นายสมเด็จ แก้วสกุล และนายเพิ่มพูน ชุ่มใจ ลูกจ้างโจทก์ตำแหน่งพนักงานขับรถ ทำหน้าที่ขับรถยนต์โดยสารไม่ประจำทางให้บริการลูกค้าโจทก์เพื่อการท่องเที่ยว เริ่มเข้าทำงานตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2543 วันที่ 1 เมษายน 2542 และวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2543 ตามลำดับได้รับค่าจ้างอัตราสุดท้ายเดือนละ 5,100 บาท ต่อคน กำหนดจ่ายค่าจ้างทุกวันสิ้นเดือน วันที่ 17 กุมภาพันธ์ 2547 ลูกจ้างดังกล่าวได้ร้องต่อจำเลยในฐานะพนักงานตรวจแรงงงานจำเลยสอบข้อเท็จจริงแล้วมีคำสั่งที่ 9/2547 ลงวันที่ 9 เมษายน 2547 ให้โจทก์จ่ายค่าทำงานในวันหยุดพักผ่อนประจำปี 2545 – 2546 ให้แก่ลูกจ้างดังกล่าวเท่ากับค่าจ้างคนละ 6 วัน ต่อปี รวมคนละ 12 วัน เป็นเงินคนละ 2,040 บาท รวมเป็นเงิน 8,160 บาท ปรากฏตามหนังสือส่งคำสั่งพนักงานตรวจแรงงาน และคำสั่งพนักงานตรวจแรงงาน เอกสารหมาย จ.2 โจทก์ได้รับคำสั่งพนักงานตรวจแรงงาน เมื่อวันที่ 16 เมษายน 2547 ตามเอกสารหมาย จ.3 แล้ววินิจฉัยว่า ในทางปฏิบัติพนักงานขับรถหากประสงค์จะลางานเมื่อไม่มีงานให้ต้องปฏิบัติก็จะโทรศัพท์มาแจ้งให้ทราบหรือแจ้งด้วยวาจาก็ได้ ไม่มีแบบใบลาไว้เป็นการเฉพาะ เป็นการหยุดงานตามสภาพความเป็นจริงใจในการประกอบกิจการของโจทก์ทั้งไม่ได้ระบุว่าเป็นวันหยุดประเภทใด กรณีจึงถือไม่ได้ว่า โจทก์ในฐานะนายจ้างได้กำหนดวันหยุดพักผ่อนประจำปีให้แก่ลูกจ้างล่วงหน้าหรือกำหนดให้ตามที่นายจ้างและลูกจ้างตกลงกันตามพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ.2541 มาตรา 30 วรรคหนึ่ง ลูกจ้างทั้งสี่จึงมีสิทธิได้รับค่าทำงานในวันหยุดพักผ่อนประจำปี คำสั่งของจำเลยชอบด้วยกฎหมายแล้ว
คดีมีปัญหาวินิจฉัยตามอุทธรณ์โจทก์ประการแรกว่าการที่โจทก์ให้ลูกจ้างตำแหน่งพนักงานขับรถลาหยุดงานในแต่ละปีช่วงที่มีผู้ว่าจ้างใช้บริการของโจทก์น้อยมากปีละ 30 วัน โดยได้รับค่าจ้างซึ่งโจทก์ถือว่าได้รวมวันหยุดพักผ่อนประจำปี 6 วัน เข้าด้วยแล้วนั้นเป็นการชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ เห็นว่า พระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. 2541 มาตรา 30 วรรคหนึ่งและวรรคสาม บัญญัติว่า “ลูกจ้างซึ่งทำงานติดต่อกันมาแล้วครบหนึ่งปีมีสิทธิหยุดพักผ่อนประจำปีได้ปีหนึ่งไม่น้อยกว่าหกวันทำงานโดยให้นายจ้างเป็นผู้กำหนดวันหยุดดังกล่าวให้แก่ลูกจ้างล่วงหน้าหรือกำหนดให้ตามที่นายจ้างและลูกจ้างตกลงกัน...นายจ้างและลูกจ้างอาจตกลงกันล่วงหน้าให้สะสมและเลื่อนวันหยุดพักผ่อนประจำปีที่ยังมิได้หยุดในปีนั้นรวมเข้ากับปีต่อๆ ไปได้” และมาตรา 56 บัญญัติว่า “ให้นายจ้างจ่ายค่าจ้างให้แก่ลูกจ้างเท่ากับค่าจ้างในวันทำงานสำหรับวันหยุดดังต่อไปนี้...(3) วันหยุดพักผ่อนประจำปีดังนั้น แม้ตามสภาพของงานที่ศาลแรงงานกลางฟังข้อเท็จจริงมาจะปรากฏว่าลูกจ้างโจทก์ทั้งสี่คนทำงานในตำแหน่งพนักงานขับรถโดยสารไม่ประจำทาให้บริการลูกค้าของโจทก์เพื่อการท่องเที่ยวในแต่ละปีจะมีช่วงระยะเวลาหนึ่งไม่น้อยกว่า 30 วัน ที่โจทก์มีลูกค้าใช้บริการน้อยมาก ลูกจ้างไม่ต้องขับรถโจทก์ก็ให้หยุดงานโดยให้ได้รับค่าจ้าง แม้การที่โจทก์ให้ลูกจ้างหยุดงานเช่นนี้จะมีจำนวนมากกว่าวันหยุดพักผ่อนประจำปีก็ตาม แต่การหยุดดังกล่าวก็หยุดได้เฉพาะกรณีลูกจ้างไม่มีงานทำหรือไม่ได้ขับรถเพราะไม่มีผู้ว่าจ้างใช้บริการ ไม่มีการกำหนดยกเว้นว่าลูกจ้างไม่มีสิทธิหยุดพักผ่อนประจำปีอีก ทั้งลูกจ้างก็มิได้ระบุให้ชัดเจนว่าวันลาหยุดพักผ่อนดังกล่าวเป็นการขอลาหยุดในวันหยุดพักผ่อนประจำปีด้วย และตามข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงานเอกสารหมาย จ.4 ก็ได้กำหนดให้พนักงานที่ทำงานติดต่อกันมาแล้วครบ 1 ปี มีสิทธิหยุดพักผ่อนประจำปีโดยได้รับค่าจ้างปีละ 6 วันทำงาน ทั้งนี้โจทก์จะกำหนดล่วงหน้าให้หรือให้ตามที่ตกลงกัน แต่ก็ไม่ปรากฏว่าโจทก์ได้กำหนดล่วงหน้าให้วันใดในแต่ละปีเป็นวันหยุดพักผ่อนประจำปีหรือมีการตกลงกันแต่อย่างใด ลักษณะวันหยุดดังกล่าวหาใช่เป็นวันหยุดพักผ่อนประจำปีไม่ ดังนั้นเมื่อลูกจ้างโจทก์ทั้งสี่คนทำงานติดต่อกันมาแล้วครบ 1 ปี จึงมีสิทธิหยุดพักผ่อนประจำปีได้ไม่น้อยกว่า 6 วันทำงาน ที่ศาลแรงงานกลางพิพากษาว่าโจทก์ต้องจ่ายเงินค่าทำงานในวันหยุดพักผ่อนประจำปี 2545 – 2546 ให้แก่ลูกจ้างเท่ากับค่าจ้างคนละ 6 วันทำงาน ต่อปี รวม 2 ปี คนละ 12 วัน จึงชอบแล้ว อุทธรณ์ของโจทก์ฟังไม่ขึ้น
คดีมีปัญหาวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของโจทก์ประการสุดท้ายว่า การที่โจทก์มีธรรมเนียมปฏิบัติให้ลูกจ้างหยุดงานในช่วงที่มีผู้ว่าจ้างใช้บริการของโจทก์น้อยถึงปีละ 30 วัน ทำให้ลูกจ้างมีสิทธิหยุดพักผ่อนประจำปีมากกว่าที่กฎหมายกำหนด สามารถทำได้ตามพระราชบัญญัติแรงงานสัมพันธ์ พ.ศ.2518 มาตรา 20 หรือไม่ เห็นว่า พระราชบัญญัติแรงงานสัมพันธ์ พ.ศ.2518 มาตรา 20 บัญญัติว่า “เมื่อข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้างมีผลใช้บังคับแล้ว ห้ามมิให้นายจ้างทำสัญญาจ้างแรงงานกับลูกจ้างขัดหรือแย้งกับข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้าง เว้นแต่สัญญาจ้างแรงงานนั้นจะเป็นคุณแก่ลูกจ้างยิ่งกว่า” บทบัญญัติดังกล่าวห้ามนายจ้างมิให้ทำสัญญาจ้างแรงงานกับลูกจ้างขัดหรือแย้งกับข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้างที่เกิดจากการแจ้งข้อเรียกร้องตามมาตรา 13 และต่อมาตกลงกันได้ตามมาตรา 18 และมาตรา 22 เท่านั้น เมื่อไม่ปรากฏว่าข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงานเอกสารหมาย จ.4 ซึ่งถือเป็นข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้างนั้นเกิดจากการเรียกร้องดังกล่าว จึงไม่อยู่ในบังคับของมาตรา 20 ข้างต้น นายจ้างและลูกจ้างย่อมมีสิทธิทำข้อตกลงเปลี่ยนแปลงสัญญาจ้างแรงงานให้มีผลบังคับแตกต่างไปจากข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงานเอกสารหมาย จ.4 ได้เท่าที่ไม่ขัดต่อพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ.2541 ซึ่งเป็นกฎหมายเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อย ซึ่งหากโจทก์ประสงค์จะทำข้อตกลงให้ลูกจ้างได้รับวันหยุดพักผ่อนประจำปีมากวันยิ่งกว่าที่กฎหมายบัญญัติไว้ก็สามารถทำได้ แต่เมื่อโจทก์ไม่ได้กำหนดล่วงหน้าให้ลูกจ้างหยุดพักผ่อนประจำปี และไม่ได้ตกลงกับลูกจ้างให้หยุดพักผ่อนประจำปีเมื่อใดจึงเป็นการไม่ปฏิบัติให้ถูกต้องตามพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ.2541 มาตรา 30 วรรคหนึ่ง นอกจากนั้นแม้ในแต่ละปีจะมีช่วงระยะเวลาที่โจทก์มีลูกค้าใช้บริการน้อย ลูกจ้างไม่ต้องขับรถก็ให้หยุดงานโดยได้รับค่าจ้างนั้นก็เป็นการหยุดที่ไม่แน่นอน ระหว่างนั้นลูกจ้างอาจจะได้รับคำสั่งมอบหมายงานจากนายจ้างได้ตามสภาพการใช้บริการของลูกค้า ดังนั้น การที่โจทก์ไม่ปฏิบัติให้ลูกต้องตามกฎหมายจึงจะนำมากล่าวอ้างเป็นคุณแก่ลูกจ้างยิ่งกว่ามิได้ อุทธรณ์โจทก์ฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน.
เรียบเรียงโดย บริษัท กฎหมายปาระมี จำกัด