คำพิพากษาฎีกาที่ 12553/56
เป็นสัญญาจ้างแรงงานหรือไม่ ดูจากลักษณะหรือสภาพการจ้าง การควบคุมบังคับบัญชา มิใช่ดูจากหลักฐานการหักภาษี ณ ที่ จ่าย หรือการส่ง / ไม่ส่งประกันสังคม
โจทก์ฟ้องว่า ตั้งแต่วันที่ 18 กุมภาพันธ์ 2546 จำเลยทำสัญญาจ้างโจทก์ทำงานเป็นวิศกรเครื่องกลอาวุโสหลายฉบับติดต่อกัน โดยสัญญาแต่ละฉบับมีกำหนดระยะเวลาจ้างไว้แน่นอน เมื่อครบกำหนดตามสัญญาจ้างฉบับหนึ่งจำเลยก็จะทำสัญญาจ้างอีกฉบับต่อเนื่องกันไปเรื่อยๆ จนถึงสัญญาฉบับสุดท้ายมีกำหนดระยะเวลาจ้างตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม - 30 มิถุนายน 2550 ซึ่งตั้งแต่วันที่ 17 กุมภาพันธ์ 2546 - 30 มิถุนายน 2550 จำเลยจ้างโจทก์ทำงานเป็นวิศกรเครื่องกลอาวุโสมาโดยตลอด ค่าจ้างอัตราสุดท้ายเดือนละ 82,000 บาท ต่อมาวันที่ 15 มิถุนายน 2550 จำเลยมีหนังสือแจ้งว่าเมื่อสิ้นสุดสัญญาแล้วขอเลิกจ้างโจทก์ และตั้งแต่วันที่ 1 กรกฎาคม 2550 เป็นต้นมาจำเลยไม่ให้โจทก์ทำงานและไม่จ่ายค่าจ้างโจทก์ จึงถือว่าจำเลยเลิกจ้างโดยโจทก์ไม่ได้กระทำความผิด โจทก์ทำงานกับจำเลยติดต่อกันมาครบ 3 ปี จึงมีสิทธิได้รับค่าชดเชยไม่น้อยกว่าค่าจ้างอัตราสุดท้าย 180 วัน เป็นเงิน 492,000 บาท แต่จำเลยไม่จ่าย ขอให้บังคับจำเลยจ่ายค่าชดเชยจำนวน 492,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปี นับแต่วันฟ้องไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยให้การว่า สัญญาจ้างระหว่างโจทก์และจำเลยเป็นสัญญาจ้างทำของไม่ใช่สัญญาจ้างแรงงาน โจทก์เป็นผู้กำหนดวันเวลาในการทำงานเอง ไม่ได้อยู่ภายใต้ระเบียบข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงานและภายใต้บังคับบัญชาของจำเลย โจทก์จำเลยไม่มีนิติสัมพันธ์เป็นนายจ้างลูกจ้างกัน จำเลยไม่ต้องจ่ายค่าชดเชยให้โจทก์ ขอให้ยกฟ้อง
ศาลแรงงานกลางพิจารณาแล้ว พิพากษาให้จำเลยจ่ายค่าชดเชยจำนวน 492,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปี นับแต่วันฟ้องไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยอุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีแรงงานตรวจสำนวนประชุมปรึกษาแล้ว ศาลแรงงานกลางรับฟังข้อเท็จจริงและวินิจฉัยว่า จำเลยประกอบกิจการรับเหมาก่อสร้าง รับเป็นวิศวกรที่ปรึกษาและควบคุมงานก่อสร้างให้แก่ทั้งภาครัฐและเอกชน จำเลยจ้างโจทก์ทำงานในตำแหน่งวิศวกรอาวุโสตั้งแต่วันที่ 18 กุมภาพันธ์ 2546 ติดต่อกันมาจนถึงวันที่ 30 มิถุนายน 2550 จำเลยทำสัญญาว่าจ้างเป็นสัญญาหลายฉบับ เมื่อครบกำหนดระยะเวลาตามสัญญาเดิมก็จะทำสัญญาฉบับใหม่ติดต่อกันมาโดยตลอด ในเดือนมกราคมปี 2547 ปี 2548 และปี 2549 จำเลยจ่ายเงินพิเศษให้โจทก์ด้วย ในสัญญาจ้างฉบับสุดท้ายตามเอกสารหมาย จ.5 ( ที่ถูก เป็นเอกสารหมาย จ.2 ) มีข้อกำหนดว่าโจทก์ต้องปฏิบัติงานเต็มเวลาโดยมีการลงตารางเวลาตามที่กำหนดไว้ ต้องปฏิบัติตามระเบียบข้อบังคับและคำสั่งของผู้ว่าจ้างตลอดจนเชื่อฟังคำสั่งของผู้บังคับบัญชาเหนือตนขึ้นไป ถือว่าสัญญาระหว่างโจทก์และจำเลยเป็นสัญญาจ้างแรงงาน ไม่ใช่สัญญาจ้างทำของ เมื่อจำเลยเลิกจ้างโจทก์โดยไม่มีความผิด ต้องจ่ายค่าชดเชยพร้อมดอกเบี้ยแก่โจทก์ตามฟ้อง
คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของจำเลยว่าสัญญาจ้างระหว่างโจทก์และจำเลยเป็นสัญญาจ้างแรงงานหรือไม่ เห็นว่า ข้อเท็จจริงตามที่ศาลแรงงานกลางรับฟังมาปรากกว่าจำเลยประกอบกิจการรับเหมาก่อสร้าง รับเป็นวิศวกรที่ปรึกษาและควบคุมงานก่อสร้างให้แก่ทั้งภาครัฐและเอกชน ตามสัญญาจ้างเอกสารหมาย จ.2 ข้อ 1.1 กำหนดว่าผู้ว่าจ้างตกลงจ้างและผู้รับจ้างตกลงรับทำงานให้แก่ผู้ว่าจ้างตามหน้าที่....ตามที่ผู้จัดการโครงการหรือผู้ที่ได้รับมอบหมายสั่งการกำหนด ในตำแหน่งวิศวกรเครื่องกล....โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อให้บริการด้านวิศวกรรม การตรวจสอบรายละเอียดแบบแปลนก่อสร้าง ให้ข้อเสนอแนะในการบริหารโครงการให้แล้วเสร็จตามเป้าหมายที่เจ้าของโครงการกำหนด ข้อ 1.2 ผู้รับจ้างจะต้องปฏิบัติงานเต็มเวลาโดยมีการลงตารางเวลาตามที่กำหนดไว้โดยผู้บังคับบัญชาจะต้องลงชื่อรับทราบด้วยทุกครั้ง มิเช่นนั้นผู้รับจ้างจะต้องถูกตัดค่าจ้างตามวันเวลาที่ขาดไปในแต่ละเดือนตามสัดส่วนค่าจ้าง ข้อ 2.2 วันและเวลาทำการปกติคือวันจันทร์-วันศุกร์ เวลา 8 น. - 17 น. วันละ 8 ชั่วโมง ข้อ 3.1 สถานที่ปฏิบัติงานของผู้รับจ้างคือพื้นที่ทำงานตามสัญญาการทำงานหรือหน่วยงานตามที่ผู้ว่าจ้างเห็นสมควร ข้อ 4.1 ผู้ว่าจ้างตกลงจ่ายค่าจ้างให้แก่ผู้รับจ้างในอัตราค่าจ้างต่อเดือน เงินเดือน 82,000 บาท ข้อ 7 ผู้รับจ้างจะต้องปฏิบัติตามระเบียบข้อบังคับและคำสั่งของผู้ว่าจ้างทั้งที่มีอยู่ในขณะทำสัญญาหรือที่จะมีต่อไปในภายภาคหน้า ตลอดจนเชื่อฟังคำสั่งของผู้บังคับบัญชาเหนือตนขึ้นไป ข้อตกลงของสัญญาดังกล่าวแสดงให้เห็นว่าโจทก์ต้องทำงานตามที่จำเลยมอบหมายภายใต้การบังคับบัญชาของจำเลยหรือตัวแทนของจำเลย ตามวันเวลาการทำงานที่จำเลยกำหนดต้องปฏิบัติตามระเบียบข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงาน โดยจำเลยจ่ายค่าตอบแทนตลอดเวลาที่โจทก์ทำงานเป็นเงินเดือน สัญญาระหว่างโจทก์และจำเลยจึงเป็นสัญญาจ้างแรงงานตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 575 และอยู่ภายใต้บังคับของพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. 2541 ที่จำเลยอุทธรณ์ว่าสัญญาระหว่างโจทก์และจำเลยเป็นสัญญาจ้างทำของ ตามหลักฐานหนังสือรับรองการหักภาษี ณ ที่จ่าย ที่จำเลยออกให้เป็นหลักฐานแก่โจทก์ว่าโจทก์ได้รับเงินได้พึงประเมินประเภทมิใช่รายได้จากเงินเดือน ค่าจ้าง ตามมาตรา 40 ( 1 ) แห่งประมวลรัษฎากร แต่เป็นค่าบริการวิชาชีพ ทั้งโจทก์ได้ยื่นแสดงแบบการเสียภาษีต่อกรมสรรพากรแสดงว่ารายได้ที่โจทก์ได้รับเป็นรายได้ที่เกิดตามข้อ 5 เป็นเงินได้พึงประเมินตามมาตรา 40 ( 6 ) แห่งประมวลรัษฎากร เงินได้จากวิชาชีพอิสระ เงินที่โจทก์ได้รับจึงไม่เป็นค่าจ้างนั้น เห็นว่า การที่โจทก์และจำเลยจะร่วมกันดำเนินการยื่นแบบการเสียภาษีอย่างไร ด้วยวัตถุประสงค์ใด และการยื่นแสดงแบบการเสียภาษีเช่นนั้นจะชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ เป็นเรื่องเกี่ยวกับการจัดเก็บและแสดงหลักฐานการเสียภาษี และการที่โจทก์ไม่ได้จ่ายเงินสมทบเข้ากองทุนประกันสังคมมาตั้งแต่ปี 2546 และจะมีสิทธิเป็นผู้ประกันตนตามพระราชบัญญัติประกันสังคม พ.ศ. 2533 หรือไม่ ล้วนไม่ใช่สาระที่จะนำมาเป็นข้อพิจารณาว่าสัญญาระหว่างโจทก์กับจำเลยเป็นสัญญาจ้างแรงงานหรือไม่ ที่ศาลแรงงานกลางวินิจฉัยมาและให้จำเลยจ่ายค่าชดเชยพร้อมดอกเบี้ยแก่โจทก์นั้นชอบแล้ว อุทธรณ์ของจำเลยฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน.
เรียบเรียงโดย บริษัท กฎหมายปาระมี จำกัด