ประโยชน์ และ โทษ ของการบริโภคตับหมู
ตับหมู หนึ่งในอาหารยอดนิยมที่สามารถนำไปประกอบอาหารได้หลากหลายเมนู ไม่ว่าจะเป็นตับหมูทอดกระเทียม ตับหวาน หรือจะเอามาผัดกับดอกกุยช่ายก็สุดแสนอร่อย ตับหมูมีธาตุเหล็กและวิตามิน ไม่ว่าจะเป็นวิตามินบี 2 และ วิตามินบี 3 ที่สามารถช่วยบำรุงสุขภาพผิวได้เป็นอย่างดี อีกทั้งยังสามารถช่วยบำรุงสายตาให้สามารถปรับการรับรู้ในที่แสงสว่างไม่เพียงพออีกด้วย กระตุ้นระบบกล้ามเนื้อร่างกายให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น และยังมีวิตามิน บี 12 ที่สามารถช่วยบำรุงประสาทและสมอง ให้เกิดการเรียนรู้และมีความจำที่ดี พร้อมทั้งช่วยสร้างเม็ดเลือดแดง ส่งผลให้ร่างกายสามารถนำออกซิเจนไปหล่อเลี้ยงส่วนต่างๆ ของระบบให้ดียิ่งขึ้น
ทั้งนี้ ต้องขอเตือนผู้ที่ชื่นชอบการบริโภคตับหมูเป็นชีวิตจิตใจ ว่าควรระวังโรคภัยที่มาพร้อมกับประโยชน์ที่กล่าวมาในข้างต้นด้วย เพราะหากบริโภคตับหมูอย่างไม่ระมัดระวัง ก็อาจจะส่งผลเสียให้กับร่างกายได้เช่นกัน เพราะในตับหมูมีปริมาณคอเลสเตอรอลในปริมาณที่สูงเป็นอย่างมาก เช่น ตับหมูน้ำหนัก 1 กิโลกรัม จะมีปริมาณของคอเลสเตอรอลมากกว่า 400 มิลลิกรัม หากบริโภคเป็นระยะเวลานานหรือในปริมาณที่มากเกินความต้องการของร่างกาย ก็จะส่งผลเสียทำให้หลอดเลือดเกิดการแข็งตัว และเสี่ยงที่จะเป็นโรคหัวใจได้
นอกจากนี้ยังรวมไปถึงการทำงานของวงจรเส้นเลือดก็จะมีปัญหา เส้นเลือดสมองมีโอกาสที่จะเกิดการตีบตัน ส่งผลให้ร่างกายเกิดการเป็น อัมพฤกษ์หรืออัมพาตและหากใครที่มักจะเกิดอาการปวดหัวข้างเดียวอยู่เป็นประจำ หรือผู้ที่มีความดันโลหิตสูง ก็ควรที่หลีกเลี่ยงการบริโภคทั้งตับหมูและตับไก่ให้มากเท่าที่จะทำได้ เพราะธาตุเหล็กจะเข้าไปสะสมตามส่วนต่างๆ ของร่างกายรวมไปถึงหัวใจ อาจจะทำให้เกิดภาวะหัวใจล้มเหลวฉับพลันได้!!
นอกจากนี้แล้ว ตับหมูตามท้องตลาดบางแห่งยังมีสารที่ชื่อว่าเลนดอลเจือปนอยู่ โดยสารดังกล่าวนี้เป็นสารเคมีที่ผู้เลี้ยงหมูนิยมใช้เพื่อลดปริมาณไขมันลง และทำให้เนื้อหมูมีสีอ่อนนุ่มน่ารับประทาน แต่หากผู้บริโภครับประทานสารตัวนี้เข้าไป สารเคมีดังกล่าวจะเข้าไปขยายหลอดลมได้ และหากเกิดการตกค้างสะสมอยู่ในร่างกายนานกว่า 6 ชั่วโมง อาจส่งผลให้ร่างกายต่อต้าน กล้ามเนื้อสั่นกระตุก หัวใจเต้นเร็ว และสามารถส่งผลให้มีอาการทางจิตประสาทได้เลยทีเดียว
ไม่ว่าอาหารอะไรก็แล้วแต่หากเรารับประทานในปริมาณที่เกินความพอดี ก็จะส่งผลกระทบต่อร่างกายได้ทั้งนั้น เพราะเช่นนั้นแล้วเราควรที่จะรับประทานอาหารที่ถูกสุขลักษณะและเป็นประโยชน์ต่อร่างกาย อีกทั้งคอยหมั่นตรวจสุขภาพอยู่เป็นประจำ เพื่อเป็นการดูแลสุขภาพ และที่สำคัญที่ขาดไม่ได้เลยก็คือ การออกกำลังกาย เพื่อสร้างภูมิคุ้มกันให้ดียิ่งขึ้น
Cr.ความรู้เรื่องอาหารและสุขภาพ
ประโยชน์ และ โทษ ของการบริโภคตับหมู ตับหมู หนึ่งในอาหารยอดนิยมที่สามารถนำไปประกอบอาหารได้หลากหลายเมนู ไม่ว่าจะเป็นตับหมูทอดกระเทียม ตับหวาน หรือจะเอามาผัดกับดอกกุยช่ายก็สุดแสนอร่อย ตับหมูมีธาตุเหล็กและวิตามิน ไม่ว่าจะเป็นวิตามินบี 2 และ วิตามินบี 3 ที่สามารถช่วยบำรุงสุขภาพผิวได้เป็นอย่างดี อีกทั้งยังสามารถช่วยบำรุงสายตาให้สามารถปรับการรับรู้ในที่แสงสว่างไม่เพียงพออีกด้วย กระตุ้นระบบกล้ามเนื้อร่างกายให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น และยังมีวิตามิน บี 12 ที่สามารถช่วยบำรุงประสาทและสมอง ให้เกิดการเรียนรู้และมีความจำที่ดี พร้อมทั้งช่วยสร้างเม็ดเลือดแดง ส่งผลให้ร่างกายสามารถนำออกซิเจนไปหล่อเลี้ยงส่วนต่างๆ ของระบบให้ดียิ่งขึ้น ทั้งนี้ ต้องขอเตือนผู้ที่ชื่นชอบการบริโภคตับหมูเป็นชีวิตจิตใจ ว่าควรระวังโรคภัยที่มาพร้อมกับประโยชน์ที่กล่าวมาในข้างต้นด้วย เพราะหากบริโภคตับหมูอย่างไม่ระมัดระวัง ก็อาจจะส่งผลเสียให้กับร่างกายได้เช่นกัน เพราะในตับหมูมีปริมาณคอเลสเตอรอลในปริมาณที่สูงเป็นอย่างมาก เช่น ตับหมูน้ำหนัก 1 กิโลกรัม จะมีปริมาณของคอเลสเตอรอลมากกว่า 400 มิลลิกรัม หากบริโภคเป็นระยะเวลานานหรือในปริมาณที่มากเกินความต้องการของร่างกาย ก็จะส่งผลเสียทำให้หลอดเลือดเกิดการแข็งตัว และเสี่ยงที่จะเป็นโรคหัวใจได้ นอกจากนี้ยังรวมไปถึงการทำงานของวงจรเส้นเลือดก็จะมีปัญหา เส้นเลือดสมองมีโอกาสที่จะเกิดการตีบตัน ส่งผลให้ร่างกายเกิดการเป็น อัมพฤกษ์หรืออัมพาตและหากใครที่มักจะเกิดอาการปวดหัวข้างเดียวอยู่เป็นประจำ หรือผู้ที่มีความดันโลหิตสูง ก็ควรที่หลีกเลี่ยงการบริโภคทั้งตับหมูและตับไก่ให้มากเท่าที่จะทำได้ เพราะธาตุเหล็กจะเข้าไปสะสมตามส่วนต่างๆ ของร่างกายรวมไปถึงหัวใจ อาจจะทำให้เกิดภาวะหัวใจล้มเหลวฉับพลันได้!! นอกจากนี้แล้ว ตับหมูตามท้องตลาดบางแห่งยังมีสารที่ชื่อว่าเลนดอลเจือปนอยู่ โดยสารดังกล่าวนี้เป็นสารเคมีที่ผู้เลี้ยงหมูนิยมใช้เพื่อลดปริมาณไขมันลง และทำให้เนื้อหมูมีสีอ่อนนุ่มน่ารับประทาน แต่หากผู้บริโภครับประมานสารตัวนี้เข้าไป สารเคมทีดังกล่าวจะเข้าไปขยายหลอดลมได้ และหากเกิดการตกค้างสะสมอยู่ในร่างกายนานกว่า 6 ชั่วโมง อาจส่งผลให้ร่างกายต่อต้าน กล้ามเนื้อสั่นกระตุก หัวใจเต้นเร็ว และสามารถส่งผลให้มีอาการทางจิตประสาทได้เลยทีเดียว ไม่ว่าอาหารอะไรก็แล้วแต่หากเรารับประทานในปริมาณที่เกินความพอดี ก็จะส่งผลกระทบต่อร่างกายได้ทั้งนั้น เพราะเช่นนั้นแล้วเราควรที่จะรับประทานอาหารที่ถูกสุขลักษณะและเป็นประโยชน์ต่อร่างกาย อีกทั้งคอยหมั่นตรวจสุขภาพอยู่เป็นประจำ เพื่อเป็นการดูแลสุขภาพ และที่สำคัญที่ขาดไม่ได้เลยก็คือ การออกกำลังกาย เพื่อสร้างภูมิคุ้มกันให้ดียิ่งขึ้น Cr.ความรู้เรื่องอาหารและสุขภาพ