คำพิพากษาฎีกาที่ 13582/56
สัญญาค้ำประกันการทำงาน ไม่ระบุระยะเวลาบังคับตามสัญญา ผู้ค้ำมีสิทธิปฏิเสธได้หากความผิดเกิดก่อนวันเข้าทำสัญญา
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ 1 เป็นพนักงานประจำของโจทก์ตำแหน่งผู้จัดการคลังสาขาจอมเทียน จังหวัดชลบุรี เมื่อวันที่ 1 กันยายน 2545 มีหน้าที่ในการควบคุมการขายสินค้าและเงินที่ได้จากการขายให้ถูกต้องครบถ้วน โดยมีจำเลยที่ 3 ทำสัญญาค้ำประกันการทำงานยินยอมรับผิดอย่างลูกหนี้ร่วม จำเลยที่ 2 เป็นพนักงานของโจทก์ตำแหน่งเสมียนประจำสาขาจอมเทียน จังหวัดชลบุรี เมื่อวันที่ 6 มิถุนายน 2547 มีหน้าที่ทำบัญชี ออกใบเสร็จและตรวจสอบยอดสินค้าคงคลัง ต่อมาเมื่อวันที่ 9 ธันวาคม 2548 โจทก์ตรวจสอบพบว่าสินค้าประเภทกระเบื้องหายไปจากคลังสินค้าสาขาจอมเทียนคิดเป็นเงิน 999,723 บาท โจทก์ได้แจ้งความร้องทุกข์ดำเนินคดีแก่จำเลยที่ 1 และที่ 2 ในความผิดฐานยักยอกเมื่อวันที่ 6 กุมภาพันธ์ 2549 จำเลยที่ 1 และที่ 2 ต้องรับผิดความเสียต่อโจทก์เป็นเงิน 999,723 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับจากวันที่ 20 มกราคม 2549 ซึ่งเป็นวันที่ทุจริตยักยอกสินค้าไปจากโจทก์ครั้งสุดท้ายโดยขอคิดถึงวันฟ้องเพียง 2 เดือน เป็นเงิน 12,496.50 บาท จำเลยที่ 3 ในฐานะผู้ค้ำประกันจำเลยที่ 1 จึงต้องรับผิดต่อโจทก์ด้วย ขอให้บังคับจำเลยทั้งสามร่วมกันชำระเงิน 1,012,219.50 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี จากต้นเงิน 999,723 บาท นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยทั้งสามขาดนัด ศาลแรงงานภาค 2 มีคำสั่งว่าจำเลยทั้งสามขาดนัดและพิจารณาชี้ขาดตัดสินคดีไปฝ่ายเดียวตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. 2522 มาตรา 40 วรรคสอง
ศาลแรงงานภาค 2 พิจารณาแล้ว พิพากษาให้จำเลยทั้งสามร่วมกันชำระเงิน 1,012,219.50 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี จากต้นเงิน 999,723 บาท นับแต่วันถัดจากวันฟ้อง ( วันที่ 8 เมษายน 2549 ) เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
ระหว่างการบังคับคดีจำเลยที่ 3 ยื่นคำร้องขอให้พิจารณาคดีใหม่ ศาลแรงงานภาค 2 ไต่สวนแล้ว เห็นว่าจำเลยที่ 3 ไม่ได้รับหมายเรียกและสำเนาคำฟ้องจริงจึงอนุญาตให้พิจารณาคดีใหม่เฉพาะจำเลยที่ 3
จำเลยที่ 3 ให้การและแก้ไขคำให้การว่า โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องเนื่องจากจำเลยที่ 3 เข้าทำสัญญาค้ำประกันการทำงานของจำเลยที่ 1 ต่อบริษัท พิคแอนด์เปย์ จำกัด ไม่ใช่โจทก์ สัญญาค้ำประกันเป็นข้อสัญญาที่ไม่เป็นธรรม ไม่ชอบด้วยกฎหมายตามพระราชบัญญัติว่าด้วยข้อสัญญาที่ไม่เป็นธรรม พ.ศ. 2540 และขัดต่อความสงบเรียบร้อยและศีลธรรมอันดีของประชาชนเนื่องจากมีข้อความระบุค้ำประกันถึง 4 บริษัท การกระทำความผิดของจำเลยที่ 1 เกิดขึ้นก่อนที่จำเลยที่ 3 จะทำสัญญาค้ำประกันกับโจทก์ การที่โจทก์นำหนี้ดังกล่าวมาฟ้องให้จำเลยที่ 3 ร่วมรับผิดกับจำเลยที่ 1 จึงเป็นหนี้ที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายและเป็นการใช้สิทธิไม่สุจริต ทั้งการที่สินค้าสูญหายเป็นการกระทำของจำเลยที่ 2 เพียงผู้เดียว จำเลยที่ 1 ไม่ได้มีส่วนรู้เห็นเกี่ยวข้องหรือร่วมกับจำเลยที่ 2 ขอให้ยกฟ้อง
ศาลแรงงานภาค 2 พิจารณาแล้ว พิพากษายกฟ้องโจทก์สำหรับจำเลยที่ 3
โจทก์อุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีแรงงานตรวจสำนวนประชุมปรึกษาแล้ว ศาลแรงงานภาค 2 รับฟังข้อเท็จจริงว่า จำเลยที่ 1 และที่ 2 ลูกจ้างโจทก์ในตำแหน่งผู้จัดการคลังและเสมียนร่วมกันยักยอกสินค้าของโจทก์ตั้งแต่วันที่ 13 มกราคม 2548 ถึงวันที่ 9 ธันวาคม 2548 รวมเป็นเงิน 999,723 บาท จำเลนที่ 3 ทำสัญญาค้ำประกันการทำงานของจำเลยที่ 1 โดยยอมรับผิดอย่างลูกหนี้ร่วมเมื่อวันที่ 12 พฤศจิกายน 2548ตามเอกสารหมาย จ.7
คดีมีปัญหาตามอุทธรณ์ของโจทก์ว่าจำเลยที่ 3 จะต้องร่วมรับผิดกับจำเลยที่ 1 ในฐานะผู้ค้ำประกันตามสัญญาค้ำประกันเอกสารหมาย จ.7 หรือไม่ โจทก์อุทธรณ์ว่าจำเลยที่ 3 เข้าทำสัญญาค้ำประกันการทำงานของจำเลยที่ 1 ด้วยความสมัครใจแม้สัญญาค้ำประกันจะมิได้ระบุให้จำเลยที่ 3 ต้องรับผิดในหนี้ที่เกิดขึ้นก่อนเข้าเป็นผู้ค้ำประกันแต่จำเลยที่ 3 ก็จะต้องรับผิดจากการกระทำของจำเลยที่ 1 จนสิ้นเชิงตามความเสียหายที่เกิดขึ้นจริงแก่โจทก์ ทั้งก่อนทำสัญญาค้ำประกันจำเลยที่ 3 ย่อมมีเวลาเพียงพอที่จะตรวจสอบข้อเท็จจริงในส่วนที่เกี่ยวกับการปฏิบัติหน้าที่ที่ผ่านมาของจำเลยที่ 1 ดังนั้นจำเลยที่ 3 ในฐานะผู้ค้ำประกันจึงต้องต้องร่วมกับจำเลยที่ 1 รับผิดต่อโจทก์ เห็นว่า เมื่อสัญญาค้ำประกันเอกสารหมาย จ.7 ไม่มีข้อความระบุไว้ชัดแจ้งว่าจำเลยที่ 3 ยอมรับผิดในหนี้ที่จำเลยที่ 1 ก่อให้เกิดขึ้นก่อนวันที่จำเลยที่ 3 เข้าเป็นผู้ค้ำประกัน จำเลยที่ 3 จึงไม่ต้องรับผิดในหนี้ที่เกิดตั้งแต่วันที่ 13 มกราคม 2548 ถึงวันที่ 11 พฤศจิกายน 2548 แต่จำนวนหนี้ตั้งแต่วันที่ 12 พฤศจิกายน 2548 อันเป็นวันทำสัญญาค้ำประกันจนถึงวันที่ 9 ธันวาคม 2548 นั้น ก็ระคนปนกันอยู่ในจำนวนของหนี้ทั้งหมด เมื่อโจทก์ไม่สามารถนำสืบให้เห็นได้ว่าสินค้าของโจทก์สูญหายไปเท่าใด จึงไม่อาจคำนวณความเสียหายที่เกิดขึ้นจริงในช่วงระยะเวลาดังกล่าวได้ว่าเป็นจำนวนเงินเท่าใด จำเลยที่ 3 ในฐานะผู้ค้ำประกันจึงไม่ต้องร่วมรับผิดกับจำเลยที่ 1 ที่ศาลแรงงานภาค 2 พิพากษายกฟ้อง ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย อุทธรณ์ของโจทก์ฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน.
เรียบเรียงโดย บริษัท กฎหมายปาระมี จำกัด