คำพิพากษาฎีกาที่ 4754/56
รับเงินจากคู่กรณีแล้วไม่นำส่งให้บริษัท ฯ ถือว่า กระทำความผิดกรณีร้ายแรง และทุจริตต่อหน้าที่
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นลูกจ้างจำเลย ตำแหน่งเจ้าหน้าที่ตรวจสอบอุบัติเหตุ 3 ประจำศูนย์ปฏิบัติการสินไหมทดแทน จังหวัดสุราษฎร์ธานี เมื่อวันที่ 21 กรกฎาคม 2549 จำเลยมีหนังสือเลิกจ้างโจทก์โดยอ้างว่าโจทก์ทุจริตต่อหน้าที่ จงใจทำให้จำเลยได้รับความเสียหายโดยนำเงินค่าสินไหมทดแทนของจำเลยไปใช้ประโยชน์ส่วนตัวซึ่งไม่เป็นความจริง จำเลยเลิกจ้างโดยไม่เป็นธรรม และมิได้บอกกล่าวล่วงหน้า ขอให้บังคับจำเลยจ่ายค่าชดเชย 161,000 บาท สินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้า 32,200 บาท เงินกองทุนสำรองเลี้ยงชีพส่วนของจำเลย 160,000 บาท ค่าเสียหายจากการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรม 4,250,400 บาท เบี้ยเลี้ยง 1,188,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงินดังกล่าวนับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยให้การว่า เมื่อวันที่ 12 เมษายน 2549 โจทก์รับเงินจากคู่กรณีที่ชดใช้ค่าเสียหาย 40,000 บาท แต่ไม่นำส่งจำเลยภายใน 24 ชั่วโมง ตามหลักเกณฑ์ของจำเลยที่ได้มีการประชุมกันเมื่อวันที่ 30 มกราคม 2549 ทั้งโจทก์รายงานเท็จว่าคู่กรณีขอเลื่อนนัดการจ่ายเงิน ต่อมาวันที่ 28 เมษายน 2549 โจทก์รับเงินที่คู่กรณี 2 ราย ชดใช้ค่าเสียหาย แต่มิได้นำส่งเงินภายใน 24 ชั่วโมง โจทก์ไม่มีสิทธิเรียกร้องค่าเสียหาย ค่าชดเชย และสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้า เพราะโจทก์ฝ่าฝืนระเบียบข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงานหรือคำสั่งของนายจ้างอันชอบด้วยกฎหมายโดยทุจริตต่อหน้าที่และกระทำความผิดอาญาโดยเจตนาแก่นายจ้าง จงใจทำให้นายจ้างได้รับความเสียหาย อีกทั้งการกระทำของโจทก์ยังเป็นความผิดตามพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ.2541 มาตรา 119 ( 1 ) ( 2 ) และ ( 4 ) โจทก์ไม่มีสิทธิได้รับเงินกองทุนสำรองเลี้ยงชีพส่วนของจำเลยเพราะโจทก์กระทำขัดต่อข้อบังคับของกองสำรองเลี้ยงชีพ จำเลยไล่โจทก์ออกชอบด้วยกฎหมายและเป็นธรรม ค่าเสียหายที่โจทก์เรียกร้องไม่ใช่ค่าเสียหายที่เกิดจากข้อพิพาทแรงงานแต่เป็นค่าเสียหายจากมูลละเมิด คดีไม่อยู่ในเขตอำนาจของศาลแรงงานภาค 8 เนื่องจากมูลของการเลิกจ้างเกิดขึ้นที่กรุงเทพมหานครอันเป็นสถานที่จำเลยเลิกจ้างโจทก์ ฟ้องโจทก์เคลือบคลุม ขอให้ยกฟ้อง
ศาลแรงงานภาค 8 พิจารณาแล้ว พิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีแรงงานตรวจสำนวนประชุมปรึกษาแล้ว ศาลแรงงานภาค 8 ฟังข้อเท็จจริงเป็นยุติว่า โจทก์เป็นลูกจ้างจำเลย เมื่อวันที่ 12 เมษายน 2549 คู่กรณีชำระค่าสินไหมให้แก่จำเลยผ่านโจทก์ 40,000 บาท แต่โจทก์ไม่นำส่งเงินดังกล่าวให้แก่จำเลยในวันเดียวกันโดยไม่แจ้งเหตุขัดข้อง ทั้งโจทก์ยังทำรายงานว่าคู่กรณีขอเลื่อนชดใช้ค่าสินไหมไปในวันที่ 1 พฤษภาคม 2549 และต่อมาได้ทำงานว่าคู่กรณีขอเลื่อนการชดใช้ค่าสินไหมไปวันที่ 3 พฤษภาคม 2549 และสุดท้ายโจทก์นำเงิน 40,000 บาท มาชำระแก่จำเลยในวันที่ 22 พฤษภาคม 2549 และเมื่อวันที่ 28 เมษายน 2549 โจทก์ได้รับค่าสินไหมของรถคู่กรณีกับรถที่จำเลยเอาประกันภัยไว้รวม 2 ราย รายแรก 10,000 บาท แต่โจทก์กลับนำส่งเงินให้จำเลยเมื่อวันที่ 11 พฤษภาคม 2549 และ รายที่สองคู่กรณีชดใช้ค่าสินไหม 10,000 บาท แต่โจทก์กลับนำเงินส่งแก่จำเลยในวันที่ 10 พฤษภาคม 2549 ทั้งที่ในเดือนมกราคม 2549 จำเลยได้เรียกประชุมประจำเดือนของพนักงานซึ่งที่ประชุมมีมติให้พนักงานทุกคนต้องนำเงินที่รับจากคู่กรณีส่งจำเลยในวันเดียวกันโจทก์เข้าร่วมประชุมและลงชื่อรับทราบมติที่ประชุมดังกล่าวแล้ว และวินิจฉัยว่า โจทก์ฝ่าฝืนระเบียบข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงานอย่างร้ายแรง เป็นการทุจริตต่อหน้าที่ ทั้งโจทก์กระทำการดังกล่าวในทำนองเดียวกันหลายครั้งติดต่อกัน จึงมีเหตุผลเพียงพอที่จำเลยจะเกิดความไม่ไว้วางใจโจทก์ ที่จำเลยบอกเลิกจ้างโจทก์โดยอ้างเหตุทุจริตต่อหน้าที่จึงมีเหตุผลเพียงพอ ไม่เป็นการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรม โจทก์ไม่มีสิทธิได้รับค่าชดเชย สินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้า เงินกองทุนสำรองเลี้ยงชีพและค่าเสียหาย
คดีมีปัญหาตามอุทธรณ์ของโจทก์ประการแรกว่าโจทก์ทุจริตต่อหน้าที่ ฝ่าฝืน ระเบียบข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงานหรือคำสั่งของนายจ้างอย่างร้ายแรงหรือไม่ เป็นการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรมหรือไม่ และจำเลยต้องจ่ายค่าชดเชย สินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้า และค่าเสียหายจากการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรมแก่โจทก์หรือไม่ เมื่อข้อเท็จจริงในสำนวนฟังเป็นยุติว่าจำเลยได้ประชุมพนักงานของจำเลย และที่ประชุมมีมติให้พนักงานของจำเลยทุกคนต้องส่งเงินให้แก่จำเลยภายใน 24 ชั่วโมง โจทก์รับทราบมติดังกล่าวแล้วแต่โจทก์นำส่งเงินให้แก่จำเลยล่าช้าและทำรายงานเท็จเสนอต่อจำเลยว่าคู่กรณีได้ผัดผ่อนเลื่อนการชำระเงิน การกระทำของโจทก์ดังกล่าวจึงเป็นการนำส่งเงินให้แก่จำเลยล่าช้าขัดกับมติของที่ประชุมพนักงานของจำเลย แม้แต่มาภายหลังโจทก์จะนำเงินมามอบให้แก่จำเลยในวันที่ 22 พฤษภาคม 2549 แต่การกระทำของโจทก์ก็ถือว่าเป็นการฝ่าฝืนต่อข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงานของจำเลย หมวดที่ 8 วินัย ( 10 ) แล้ว ส่วนที่โจทก์อ้างว่าไม่นำส่งเงินจำนวน 40,000 บาท แก่จำเลยในทันทีก็เนื่องจากโจทก์รอการผ่อนชำระเงินจำนวนค่าสินไหมที่เหลืออีก 30,000 บาท นั้น ก็ไม่มีความจำเป็นต้องรอให้ครบจำนวนค่าสินไหมแต่ประการใด โจทก์สามารถรายงานตามความเป็นจริงได้ว่ามีการผ่อนชำระค่าสินไหมและเมื่อมีการชำระส่วนที่ขอผ่อนแล้วโจทก์ก็นำส่งให้แก่จำเลยได้อีกตามกำหนดระยะเวลาที่ตกลงเป็นข้อบังคับไว้ การกระทำของโจทก์จึงเป็นการฝ่าฝืนระเบียบข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงานหรือคำสั่งของนายจ้างอันชอบด้วยกฎหมายและเป็นธรรมอันเป็นกรณีร้ายแรงแล้ว จำเลยย่อมมีเหตุอันสมควรและเพียงพอที่จะเลิกจ้างโจทก์ได้โดยไม่ต้องจ่ายค่าชดเชยและไม่จำต้องบอกกล่าวล่วงหน้าตามพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ.2541 มาตรา 119 ( 4 ) ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 583 ประกอบพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ.2541 มาตรา 17 ไม่เป็นการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรมตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ.2522 มาตรา 49 ที่ศาลแรงงานภาค 8 วินิจฉัยว่า การกระทำของโจทก์เป็นการฝ่าฝืนระเบียบข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงานอย่างร้ายแรง เป็นการทุจริตต่อหน้าที่ จึงมีเหตุผลเพียงพอที่จำเลยจะเลิกจ้าง ไม่เป็นการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรม โจทก์จึงไม่มีสิทธิได้รับค่าชดเชยสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้า และค่าเสียหายจากการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรมแล้วนั้นจึงชอบแล้ว อุทธรณ์ของโจทก์ในข้อนี้ฟังไม่ขึ้น
คดีมีปัญหาตามอุทธรณ์ของโจทก์ประการสุดท้ายว่าโจทก์มีสิทธิเรียกให้จำเลยจ่ายเงินสมทบในส่วนจำเลยหรือไม่นั้น ตามพระราชบัญญัติกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ พ.ศ.2530 มาตรา 7 บัญญัติให้กองทุนสำรองเลี้ยงชีพที่ได้จดทะเบียนแล้วเป็นนิติบุคคล และตามมาตรา 23 บัญญัติให้เมื่อลูกจ้างสิ้นสมาชิกภาพเพราะเหตุอื่นซึ่งมิใช่กองทุนเลิก ผู้จัดการกองทุนต้องจ่ายเงินจากกองทุนให้แก่ลูกจ้าง ข้อเท็จจริงที่ปรากฏในสำนวนโดยไม่มีคู่ความฝ่ายใดโต้แย้งได้ความว่า โจทก์เป็นสมาชิกกองทุนสำรองเลี้ยงชีพทิสโก้ร่วมทุน 1 ซี่งจดทะเบียนแล้ว โดยมีบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนทิสโก้ จำกัด เป็นผู้จัดการตามเอกสารหมาย ล.11 จำเลยไม่มีอำนาจหน้าที่ในการจัดการกองทุนสำรองเลี้ยงชีพโจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องให้จำเลยจ่ายเงินสมทบจากกองทุนสำรองเลี้ยงชีพดังกล่าวได้ ที่ ศาลแรงงานภาค 8 วินิจฉัยว่า การกระทำของโจทก์เป็นการฝ่าฝืนระเบียบข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงานอย่างร้ายแรง เป็นการทุจริตต่อหน้าที่ โจทก์จึงไม่มีสิทธิได้รับเงินกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วยในผล อุทธรณ์ของโจทก์ในข้อนี้ฟังไม่ขึ้นเช่นกัน
พิพากษายืน.