คำพิพากษาฎีกาที่ 8307/54
ข้อตกลงในสัญญาจ้างระบุห้ามประกอบธุรกิจแข่งขัน หรือทำงานในลักษณะ หรือธุรกิจประเภทเดียวกับนายจ้าง เป็นเวลา 1 ปี นับแต่พ้นสภาพจากการเป็นพนักงาน ใช้บังคับได้ ฝ่าฝืนต้องชดใช้ค่าเสียหาย
โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ 8 สิงหาคม 2548 โจทก์ตกลงรับจำเลยที่ 1 เข้าทำงานตำแหน่งพนักงานขาย มีหน้าที่ขายสินค้าของโจทก์ประเภทกล่องบรรจุภัณฑ์โดยมีข้อตกลงว่าจำเลยที่ 1 จะไม่ประกอบธุรกิจหรือทำงานในลักษณะหรือธุรกิจประเภทเดียวกันหรือเป็นคู่แข่งทางการค้ากับโจทก์ในระยะเวลา 1 ปี นับแต่วันพ้นสภาพจากการเป็นพนักงาน หากผิดสัญญาต้องชดใช้ค่าเสียหายเป็นเงินจำนวนไม่น้อยกว่า 200,000 บาท และหากผิดสัญญาโดยฝ่าฝืนตามบันทึกข้อตกลงต่อท้ายสัญญาจ้างแรงงาน ต้องชดใช้ค่าเสียหายเป็นเงินจำนวน 100,000 บาท อีกต่างหากด้วย จำเลยที่ 2 เป็นผู้ค้ำประกันตกลงยอมชดใช้ค่าเสียหายในวงเงิน 20,000 บาท เมื่อวันที่ 31 มีนาคม 2549 จำเลยที่ 1 ลาออกจากการเป็นพนักงานของโจทก์อ้างว่าไปทำธุรกิจส่วนตัว ปรากฏว่ายังไม่พ้นกำหนดเวลา 1 ปี จำเลยที่ 1 ไปทำงานกับบริษัทอินเตอร์ไฟเบอร์ คอนเทนเนอร์ จำกัด ซึ่งอยู่ในละแวกเดียวกันและประกอบธุรกิจผลิตกล่องกระดาษประเภทเดียวกับโจทก์ จำเลยที่ 1 ต้องหยุดการกระทำที่เป็นการฝ่าฝืนสัญญาจ้างแรงงานที่ทำไว้กับโจทก์ และจำเลยทั้งสองต้องรับผิดชดใช้ค่าเสียหายตามสัญญาจ้างแรงงาน 200,000 บาท และตามบันทึกข้อตกลงต่อท้ายสัญญาจ้างแรงงานอีก 100,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไป ขอให้มีคำสั่งห้ามจำเลยที่ 1 กระทำการที่ถือว่าฝ่าฝืนต่อสัญญาจ้างแรงงานที่ทำไว้กับโจทก์ โดยห้ามมิให้จำเลยที่ 1 ทำงานกับบริษัทอินเตอร์ไฟเบอร์ คอนเทนเนอร์ จำกัด และห้ามมิให้จำเลยที่ 1 ทำธุรกิจหรือทำงานในธุรกิจประเภทเดียวกับโจทก์ในระยะเวลา 1 ปี นับแต่วันพ้นสภาพจากการเป็นพนักงานของโจทก์ กับบังคับให้จำเลยทั้งสองชดใช้ค่าเสียหาย 200,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ หากจำเลยที่ 1 ฝ่าฝืนคำสั่งห้ามดังกล่าวให้จำเลยทั้งสองชดใช้ค่าเสียหายอีก 100,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันที่จำเลยที่ 1 ฝ่าฝืนคำสั่งห้ามนั้น
จำเลยทั้งสองให้การว่า โจทก์ไม่ได้บรรยายฟ้องไว้โดยชัดแจ้งซึ่งสภาพแห่งข้อหาว่าจำเลยที่ 1 กระทำด้วยการเอาข้อมูลใดอันเป็นความลับทางการค้าใดของโจทก์ไปเปิดเผยแก่ลูกค้ารายใด ที่ไหน เมื่อใด ทำให้โจทก์ได้รับความเสียหายอย่างไร อันทำให้จำเลยที่ 1 เข้าใจข้อหาตามฟ้องได้ ฟ้องโจทก์เคลือบคลุม หลังจากจำเลยที่ 1 ทดลองงานเป็นเวลา 4 เดือน โจทก์ให้ทำสัญญาจ้างแรงงานโดยอ้างว่าจะนำไปใช้ในทางธุรกิจและเพื่อความสะดวกในการจ่ายเงินเดือนและภาษี หากจำเลยที่ 1 ไม่ลงลายมือชื่อในสัญญาจะไม่ได้รับการบรรจุเป็นพนักงานของโจทก์ จำเลยที่ 1 หลงเชื่อและลงลายมือชื่อในสัญญาจ้างแรงงานโดยสำคัญผิดทั้งนำแบบสัญญาค้ำประกันซึ่งยังไม่มีการกรอกข้อความไปขอร้องให้จำเลยที่ 2 ลงลายมือชื่อในช่องผู้ค้ำประกันการทำงานของจำเลยที่ 1 ข้อกำหนดห้ามจำเลยที่ 1 ไปประกอบธุรกิจหรือทำงานประเภทเดียวกับโจทก์ในสัญญาจ้างแรงงานมีลักษณะเป็นการตัดทางประกอบอาชีพของจำเลยที่ 1 ทั้งหมด เป็นการปิดทางทำมาหาได้ของจำเลยที่ 1 โดยเด็ดขาดจนไม่อาจดำรงอยู่ได้ ทั้งขัดต่อรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยและขัดต่อความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชน เป็นโมฆะ ข้อมูลการผลิตสินค้าของโจทก์ที่อ้างว่าเป็นความลับมีจำนวนมาก และจำเลยที่ 1 ไม่เคยเปิดเผยข้อมูลดังกล่าวแก่บุคคลภายนอก จำเลยที่ 1 ลาออกจากการเป็นพนักงานโจทก์เนื่องจากทะเลาะกับกรรมการโจทก์แล้วไปทำงานที่บริษัทบิ๊กบอลฟู้ดส์ จำกัด ซึ่งประกอบธุรกิจอาหารสำเร็จรูปคนละประเภทกับธุรกิจของโจทก์ ค่าเสียหายตามฟ้องสูงเกินความเป็นจริง และจำเลยที่ 2 รับผิดไม่เกิน 20,000 บาท ขอให้ยกฟ้อง
ระหว่างพิจารณา โจทก์ขอถอนฟ้องสำหรับจำเลยที่ 2 ศาลแรงงานกลางอนุญาต จำหน่ายคดีเฉพาะจำเลยที่ 2 ออกจากสารบบความ
ศาลแรงงานกลางพิจารณาแล้ว พิพากษาให้จำเลยที่ 1 ชดใช้ค่าเสียหายเป็นเงิน 50,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ คำขออื่นนอกจากนี้ให้ยก
โจทก์และจำเลยที่ 1 อุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีแรงงานตรวจสำนวนประชุมปรึกษาแล้ว จำเลยที่ 1 อุทธรณ์ข้อแรกว่า คำฟ้องเคลือบคลุมเพราะไม่ได้บรรยายว่าโจทก์ทำการอบรมให้จำเลยที่ 1 ทราบเกี่ยวกับการผลิตและการขายสินค้ากล่องกระดาษ จำเลยที่ 1 เอาข้อมูลใดอันเป็นความลีบทางการค้าใดของโจทก์ไปเปิดเผยแก่ลูกค้ารายใด ที่ไหน เมื่อใด ทำให้โจทก์ได้รับความเสียหายอย่างไร จำเลยที่ 1 ไม่เข้าใจข้อหาตามฟ้อง เห็นว่า โจทก์บรรยายฟ้องเป็นใจความว่าโจทก์จ้างจำเลยที่ 1 ทำงานในตำแหน่งพนักงานขาย มีหน้าที่ขายสินค้าของโจทก์ประเภทกล่องบรรจุภัณฑ์ ในการทำงานตำแหน่งหน้าที่นี้ทำให้จำเลยที่ 1 ทราบความลับทางการค้าของโจทก์ เช่น ราคาสินค้าซึ่งจะเป็นประโยชน์แก่คู่แข่งทางการค้าของโจทก์เพื่อป้องกันไม่ให้มีการเปิดเผยความลับดังกล่าว โจทก์จึงทำสัญญากับจำเลยที่ 1 ว่า ข้อมูลทางการค้าอันเป็นความลับของโจทก์ที่จำเลยที่ 1 ทราบระหว่างทำงานตามสัญญา จำเลยที่ 1 จะไม่เปิดเผยหรือใช้ประโยชน์ไม่ว่าเพื่อตนเองหรือผู้อื่น และภายใน 1 ปี นับแต่วันพ้นสภาพการเป็นพนักงานของโจทก์ จำเลยที่ 1 จะไม่ประกอบธุรกิจหรือทำงานในลักษณะหรือธุรกิจประเภทเดียวกัน หรือเป็นคู่แข่งทางการค้ากับโจทก์ หากผิดสัญญาจำเลยที่ 1 ต้องชดใช้ค่าเสียหายไม่น้อยกว่า 200,000 บาท และหากฝ่าฝืนบันทึกข้อตกลงต่อท้ายสัญญาจ้างแรงงาน จำเลยที่ 1 ต้องชดใช้ค่าเสียหายเป็นเงิน 100,000 บาท อีกต่างหาก โดยมีรายละเอียดตามเอกสารแนบท้ายฟ้อง ต่อมาจำเลยที่ 1 ลาออกอ้างว่าเพื่อทำธุรกิจส่วนตัวแต่ความจริงจำเลยที่ 1 เข้าทำงานเป็นลูกจ้างของบริษัทอินเตอร์ไฟเบอร์ คอนเทนเนอร์ จำกัด ซึ่งตั้งอยู่ในละแวกเดียวกันและทำธุรกิจผลิตกล่องกระดาษประเภทเดียวกับโจทก์ ภายในกำหนดระยะเวลาต้องห้ามตามสัญญา หากจำเลยที่ 1 นำความลับทางการค้าของโจทก์ไปช่วยบริษัทดังกล่าวโดยขายตัดราคาของโจทก์ โจทก์ย่อมได้รับความเสียหาย จำเลยที่ 1 ต้องชดใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์ ตามคำฟ้องพอเข้าใจได้ว่า จำเลยที่ 1 ทราบความลับของโจทก์เรื่องใดได้อย่างไร และหลังจากลาออกจากโจทก์แล้ว จำเลยที่ 1 จะนำความลับทางการค้าดังกล่าวไปช่วยบริษัทนายจ้างใหม่ซึ่งเป็นคู่แข่งทางการค้าของโจทก์อย่างไร ถือได้ว่าคำฟ้องได้แสดงโดยแจ้งชัดซึ่งสภาพแห่งข้อหาและคำขอบังคับ กับข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาเพียงพอที่จะให้เข้าใจข้อหาและต่อสู้คดีได้แล้ว หาเป็นคำฟ้องเคลือบคลุมไม่ อุทธรณ์ของจำเลยที่ 1 ข้อนี้ฟังไม่ขึ้น
จำเลยที่ 1 อุทธรณ์ข้อสองว่า สัญญาจ้างแรงงานตามเอกสารหมาย จ. 4 ขัดต่อความสงบเรียบร้อยของประชาชนและรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2540 ตกเป็นโมฆะ จำเลยที่ 1 ไม่ต้องรับผิดตามสัญญาดังกล่าวแก่โจทก์ เห็นว่า สัญญาจ้างแรงงานตามเอกสารหมาย จ. 4 ข้อ 5 มีข้อความว่า พนักงานจะไม่กระทำการต่อไปนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากบริษัทภายในกำหนดระยะเวลา 1 ปี นับแต่สัญญาจ้างสิ้นสุดหรือพ้นสภาพจากการเป็นพนักงานของบริษัท 5.1 ไปทำงานในสถานประกอบการอื่นซึ่งประกอบธุรกิจในลักษณะหรือประเภทเดียวกันกับธุรกิจของบริษัท หรือเป็นคู่แข่งทางการค้ากับบริษัท 5.2 เข้าไปเกี่ยวข้องหรือดำเนินการไม่ว่าจะเป็นโดยตรงหรือโดยอ้อมกับการพัฒนาทำ ผลิต หรือจำหน่าย ซึ่งผลิตภัณฑ์อันเป็นการแข่งขันกับผลิตภัณฑ์ของบริษัท และพนักงานเคยมีส่วนเกี่ยวข้องในระหว่างที่ทำงานกับบริษัท ข้อ 6 มีข้อความว่ากรณีที่พนักงานผิดสัญญาหรือฝ่าฝืนข้อกำหนดใด ในสัญญาฉบับนี้ พนักงานยินยอมรับผิดชอบชดใช้ค่าเสียหายให้แก่บริษัทตามความเสียหายที่เกิดขึ้นทุกประการ ถ้าเป็นกรณีผิดสัญญา ข้อ 5 พนักงานต้องรับผิดชดใช้ค่าเสียหายเป็นเงินไม่น้อยกว่า 200,000 บาท ทันทีโดยปราศจากเงื่อนไขทั้งสิ้น ข้อความตามสัญญาดังกล่าวไม่ได้ห้ามจำเลยที่ 1 อย่างเด็ดขาด เพราะหากโจทก์ยินยอมจำเลยที่ 1 ย่อมมีสิทธิไปกระทำการต่าง ๆ ตามข้อห้ามในสัญญาได้ และการกระทำที่เข้าข้อห้ามก็มีเฉพาะการไปทำงานในสถานประกอบการอื่นที่ประกอบธุรกิจแข่งขันทางการค้ากับโจทก์ และการเข้าไปเกี่ยวข้องกับกระบวนการพัฒนา ทำ ผลิต หรือจำหน่ายผลิตภัณฑ์อันเป็นการแข่งขันกับผลิตภัณฑ์ของโจทก์ หรือที่จำเลยที่ 1 เคยมีส่วนเกี่ยวข้องระหว่างทำงานกับโจทก์ ทั้งกำหนดระยะเวลาที่ห้ามก็เพียง 1 ปี นับแต่จำเลยที่ 1 พ้นจากการเป็นลูกจ้างของโจทก์ จึงไม่เป็นการตัดโอกาสในการประกอบอาชีพของจำเลยที่ 1 เสียทั้งหมดคงเป็นการห้ามประกอบอาชีพบางอย่างที่เป็นการแข่งขันกับโจทก์ในช่วงเวลาหนึ่งเท่านั้น ซึ่งไม่นานเกินควร และเป็นสัญญาที่รักษาสิทธิประโยชน์ของคู่กรณีให้เป็นไปโดยชอบในเชิงการประกอบธุรกิจ ย่อมไม่ขัดต่อความสงบเรียบร้อยและศีลธรรมอันดีของประชาชนและรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2540 ไม่ตกเป็นโมฆะ เมื่อจำเลยที่ 1 ผิดสัญญาก็ต้องรับผิดตามสัญญาแก่โจทก์ อุทธรณ์ของจำเลยที่ 1 ข้อนี้ฟังไม่ขึ้น
โจทก์อุทธรณ์ข้อแรกว่า ศาลแรงงานกลางไม่ได้ตัดสินคดีตามข้อหาในคำฟ้องทุกข้อ โดยข้ามไปตัดสินคำขอให้ชดใช้ค่าเสียหาย ไม่ตัดสินคำขอให้บังคับจำเลยที่ 1 หยุดกระทำการที่เป็นการฝ่าฝืนสัญญาก่อน และเมื่อวินิจฉัยว่าจำเลยที่ 1 ผิดสัญญาจ้างแรงงานแล้ว ศาลแรงงานกลางต้องพิพากษาห้ามจำเลยที่ 1 ทำงานกับบริษัท อินเตอร์ไฟเบอร์ คอนเทนเนอร์ จำกัด หรือไม่ให้ทำธุรกิจประเภทเดียวกับโจทก์ภายใน 1 ปี แต่หาได้พิพากษาเช่นนั้นไม่ จึงไม่ชอบด้วยกฎหมายนั้น เห็นว่า ศาลแรงงานกลางมีคำวินิจฉัยในคำพิพากษาว่าหลังจากจำเลยที่ 1 ลาออกจากโจทก์ไม่ถึง 1 เดือน ก็ไปทำงานกับบริษัทอื่นซึ่งเป็นคู่แข่งทางการค้ากับโจทก์ในกำหนดระยะเวลาต้องห้าม ถือว่าผิดสัญญาจ้างแรงงาน ต้องรับผิดชดใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์เป็นเบี้ยปรับ 50,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี โดยไม่กำหนดให้จำเลยที่ 1 ชดใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์ในส่วนที่โจทก์อ้างว่าจำเลยที่ 1 ทำให้ยอดขายสินค้าของโจทก์ลดลง และจำเลยที่ 1 ไปขายสินค้าตัดราคาของโจทก์โดยอาศัยข้อมูลความลับทางการค้าของโจทก์ ทั้งไม่อาจห้ามจำเลยที่ 1 ไปทำงานกับบริษัทอินเตอร์ไฟเบอร์ คอนเทนเนอร์ จำกัด หรือห้ามจำเลยที่ 1 ทำธุรกิจหรือทำงานในธุรกิจประเภทเดียวกับโจทก์ภายใน 1 ปี ดังข้างต้นได้ เพราะโจทก์ไม่มีพยานหลักฐานมานำสืบให้รับฟังได้ว่าโจทก์ได้รับความเสียหายเนื่องจากสาเหตุที่จำเลยที่ 1 กระทำการดังกล่าว แสดงให้เห็นว่าศาลแรงงานกลางวินิจฉัยคดีตามคำขอของโจทก์ครบถ้วนทุกข้อชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 142 วรรคหนึ่ง ประกอบพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. 2522 มาตรา 31 แล้ว และเมื่อวินิจฉัยว่าโจทก์นำสืบไม่ได้ว่าโจทก์ได้รับความเสียหายเพราะสาเหตุที่จำเลยที่ 1 ทำให้ยอดขายสินค้าของโจทก์ลดลงหรือจำเลยที่ 1 ขายสินค้าตัดราคาของโจทก์โดยอาศัยข้อมูลความลับทางการค้าของโจทก์ศาลแรงงานกลางย่อมมีอำนาจพิพากษาคดีโดยไม่ห้ามจำเลยที่ 1 ทำงานกับบริษัทอินเตอร์ไฟเบอร์ คอนเทนเนอร์ จำกัด หรือไม่ให้ทำธุรกิจประเภทเดียวกับโจทก์ภายใน 1 ปี นับแต่พ้นจากสถานะลูกจ้างของโจทก์ คำพิพากษาศาลแรงงานกลางชอบแล้ว อุทธรณ์ของโจทก์ข้อนี้ฟังไม่ขึ้น
โจทก์อุทธรณ์ข้อสุดท้ายว่า สัญญาจ้างแรงงานข้อ 6 ที่กำหนดให้จำเลยที่ 1 ต้องชดใช้ค่าเสียหายเป็นเงินไม่น้อยกว่า 200,000 บาท เมื่อผิดสัญญาข้อ 5 ให้แก่โจทก์ไม่ใช่เบี้ยปรับ ศาลแรงงานกลางไม่อาจลดลงได้ ต้องพิพากษาให้จำเลยที่ 1 ชดใช้เต็มจำนวนแก่โจทก์ เห็นว่า สัญญาจ้างแรงงานที่กำหนดให้จำเลยที่ 1 ต้องชดใช้ค่าเสียหายจำนวนดังกล่าวแก่โจทก์ เป็นการกำหนดค่าเสียหายไว้ล่วงหน้าอันมีลักษณะเป็นเบี้ยปรับ หากสูงเกินส่วนศาลแรงงานกลางมีอำนาจลดลงเป็นจำนวนพอสมควรได้ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 383 อุทธรณ์ของโจทก์ข้อนี้ฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน.
เรียบเรียงโดย บริษัท กฎหมายปาระมี จำกัด