คำพิพากษาฎีกาที่ 976/56
สั่งการให้คนงานไปทำงานอื่น นอกเหนืออำนาจหน้าที่ ทำให้นายจ้างขาดประโยชน์จากการใช้แรงงาน และสูญเสียค่าจ้าง ถือว่าจงใจทำให้นายจ้างได้รับความเสียหาย
โจทก์ฟ้องและแก้ไขคำฟ้องว่า โจทก์เป็นลูกจ้างจำเลยตั้งแต่วันที่ 25 พฤศจิกายน 2520 ครั้งสุดท้ายโจทก์ดำรงตำแหน่งสมุห์บัญชีหน่วยงานและผู้จัดการฝ่ายธุรการ มีหน้าที่ควบคุมดูแลงานด้านบัญชี บุคคล เงินเดือน ธุรการทั่วไป บ้านพักพนักงาน พนักงานรักษาความปลอดภัย สโตร์ ได้รับเงินเดือนๆ ละ 58,100 บาท เบี้ยเลี้ยงวันละ 36 บาท เฉพาะในเขตกรุงเทพมหานคร ค่าอาหารเดือนละ 650 บาท รวมเป็นรายได้เดือนละ 59,800 บาท โจทก์มีหน้าที่ดูแลโครงการโรงแรมสุวรรณภูมิแอร์พอร์ต โครงการริเวอร์ไซด์ การ์เด้น มารีน่า และโครงการรามา 9 ต่อมาวันที่ 16 พฤษภาคม 2548 จำเลยเลิกจ้างโจทก์โดยทำเป็นหนังสืออ้างว่าโจทก์ทุจริตต่อหน้าที่กระทำผิดอาญาโดยเจตนาต่อจำเลย จงใจทำให้จำเลยได้รับความเสียหาย ฝ่าฝืนระเบียบข้อบังคับกรณีร้ายแรงและให้มีผลเลิกจ้างในวันที่ 16 พฤษภาคม 2548 แต่วันที่ 17 พฤษภาคม 2548 โจทก์ได้รับคำสั่งจากนายวิทวัส คุณาพงษ์ศิริ ผู้บังคับบัญชาของโจทก์ให้โจทก์เข้าทำงานต่อจนถึงวันที่ 24 พฤษภาคม 2548 โจทก์ได้ทำงานให้จำเลยจนถึงวันที่ 24 พฤษภาคม 2548 และในวันที่ 24 พฤษภาคม 2548 จำเลยมีหนังสือแจ้งให้โจทก์ทราบว่าจำเลยจะจ่ายค่าจ้างให้โจทก์ถึงวันที่ 24 พฤษภาคม 2548 จำเลยเลิกจ้างโจทก์โดยโจทก์ไม่มีความผิด จึงเป็นการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรม เป็นเหตุให้โจทก์ได้รับความเสียหาย โจทก์มีสิทธิได้รับค่าชดเชย 581,000 บาท สินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้า 58,100 บาท เงินกองทุนสำรองเลี้ยงชีพในส่วนของจำเลย 511,235.76 บาท ค่าจ้างสำหรับวันหยุดพักผ่อนประจำปี ซึ่งโจทก์มีสิทธิลาหยุดได้ปีละไม่เกิน 9 วัน โจทก์ทำงานกับจำเลยรวม 27 ปี มีสิทธิหยุดพักผ่อนประจำปีรวม 243 วัน โดยได้ค่าจ้างเฉลี่ยวันละ 1,936 บาท รวมเป็นเงิน 470,448 บาท ค่าเสียหายจากการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรม 7,176,000 บาท เงินจากอัตราค่าปรับเงินเดือนประจำปี ปีละ 48,804 บาท โจทก์ขอเงินส่วนนี้เป็นเวลา 10 ปี คิดเป็นเงิน 488,040 บาท เงินโบนัสปีละ 1 ครั้ง ครั้งละ 50,000 บาท 10 ปี เป็นเงิน 500,000 บาท รวมเป็นเงินซึ่งโจทก์มีสิทธิได้รับ 9,337,453 บาท ขอให้บังคับจำเลยชำระเงิน 9,337,453 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันฟ้องจนกว่าชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยให้การ ฟ้องแย้ง และแก้ไขคำให้การและฟ้องแย้งว่า โจทก์เป็นลูกจ้างจำเลยตั้งแต่วันที่ 26 พฤศจิกายน 2520 ค่าจ้างอัตราสุดท้ายเดือนละ 58,100 บาท ครั้งสุดท้ายโจทก์ดำรงตำแหน่งสมุห์บัญชีหน่วยงาน มีหน้าที่ตรวจสอบและควบคุมงานในด้านบัญชีและการเงิน จัดซื้อจัดหา บุคคล ธุรการ ประกันภัย คอมพิวเตอร์ และงานอื่นๆ โจทก์ประจำหน่วยงาน เจ . 1494 โครงการก่อสร้างโรงแรมสุวรรณภูมิแอร์พอร์ต นอกจากนี้โจทก์ยังประจำหน่วยงาน เจ . 1501 โครงการก่อสร้างโรงแรมริเวอร์ไซด์ การ์เด้น มารีน่า เมื่อระหว่างวันที่ 26 มกราคม 2548 ถึงวันที่ 21 กุมภาพันธ์ 2548 พนักงานฝ่ายตรวจสอบภายในของจำเลยตรวจสอบการทำงานของโจทก์ ปรากฏว่าโจทก์ในฐานะสมุห์บัญชีของหน่วยงาน เจ . 1494 นำที่ดินบริเวณบ้านพักคนงานของจำเลยไปให้บุคคลภายนอกจัดตลาดนัดเพื่อขายสินค้าประเภทเครื่องอุปโภคและบริโภคทุกวันที่ 5 และวันที่ 20 ของเดือน โดยไม่ได้รับอนุญาตจากจำเลย โจทก์ได้จัดเก็บค่าเช่าแผงขายสินค้าและค่าไฟฟ้าเป็นการเหมาจ่ายจากผู้จัดการตลาด โดยเฉพาะแผงของผู้จัดการตลาดนั้นโจทก์มิได้เรียกเก็บค่าเช่าเป็นเหตุให้จำเลยได้รับความเสียหายเป็นเงิน 7,220 บาท ส่วนที่หน่วยงาน เจ . 1501 การ์เด้น มารีน่า ปรากฏว่าโจทก์ซึ่งเป็นสมุห์บัญชีและไม่มีคุณวุฒิทางวิศวกรรมได้คัดเลือกผู้รับเหมาในการสร้างบ้านพักคนงานด้วยตนเองโดยไม่มีวิศวกรเข้าร่วมในการพิจารณา ทั้งในการจ้างผู้รับเหมาโจทก์ไม่ทำสัญญาจ้างตามระเบียบการจ้าง คงมีเพียงในเสนอราคาของผู้รับเหมาเท่านั้น โจทก์ดำเนินการจ้างโดยไม่มีการเสนอราคาหรือเปรียบเทียบราคา อันเป็นการขัดต่อระเบียบข้อบังคับในเรื่องการจัดซื้อจัดจ้าง หลังจากโจทก์สั่งจ้างแล้ว ผู้รับเหมาทำการก่อสร้างไม่ครบถ้วนตามข้อตกลงโดยโจทก์จัดให้ลูกจ้างของจำเลยซึ่งประจำที่หน่วยงาน เจ . 1494 ได้แก่คนงานชุดช่างเชื่อม ช่างไม้ คนขับรถตักเข้าไปช่วยงานของผู้รับเหมาตั้งแต่วันที่ 26 พฤศจิกายน 2547 จนถึงวันที่ 8 กุมภาพันธ์ 2548 ทำให้จำเลยต้องเสียค่าจ้างให้ลูกจ้างของจำเลยที่ทำงานให้ผู้รับเหมาเป็นเงิน 172,040 บาท นอกจากนี้โจทก์ยังได้นำรถยนต์กระบะ 1 คัน ของจำเลยและได้เติมน้ำมันดีเซลของจำเลย 75 ลิตร ราคาลิตรละ 15 บาท คิดเป็นเงิน 1,125 บาท ขนคนงานของจำเลย 6 คน ไปยังไร่ของโจทก์ซึ่งอยู่ที่จังหวัดสิงห์บุรีเพื่อไปทำความสะอาดไร่โดยจำเลยไม่ทราบและไม่เคยอนุญาต ปีละ ถึง 4 ครั้ง ตั้งแต่ปี 2546 ตลอดมาจนถึงปี 2548 รวม 8 ครั้ง คิดเป็นเงินค่าน้ำมัน 9,000 บาท การกระทำของโจทก์เป็นเหตุให้จำเลยได้รับความเสียหายเป็นเงิน 188,260 บาท จำเลยพิจารณาแล้วเห็นว่าโจทก์เป็นสมุห์บัญชีประจำหน่วยงาน มีหน้าที่ควบคุมดูแลทรัพย์สินและการเงินต่างๆ ของจำเลยทั้งมีหน้าที่คอยกำกับดูแลบุคคลภายในหน่วยงานให้ประพฤติและปฏิบัติตามกฎระเบียบ และข้อบังคับ ของจำเลย เมื่อโจทก์มีอำนาจลงโทษลูกจ้างของจำเลยที่กระทำความผิด แต่โจทก์ได้กระทำความผิดเสียเอง จำเลยจึงทำหนังสือเลิกจ้างโจทก์ตั้งแต่วันที่ 16 พฤษภาคม 2548 เนื่องจากโจทก์ทุจริตต่อหน้าที่ กระทำผิดอาญาโดยเจตนาต่อจำเลย จงใจทำให้จำเลยได้รับความเสียหาย และฝ่าฝืนระเบียบ ข้อบังคับกรณีร้ายแรง จำเลยแจ้งหนังสือเลิกจ้างให้โจทก์ทราบ แต่โจทก์ไม่ประสงค์ลงชื่อรับทราบคำสั่ง ต่อมาโจทก์ทำหนังสือขอความเป็นธรรม จำเลยแต่งตั้งคณะกรรมการขึ้นพิจารณาและเรียกโจทก์ให้ชี้แจงเพิ่มเติม หลังจากนั้นจำเลยมีคำสั่งยืนตามคำสั่งเดิม จำเลยเลิกจ้างเนื่องจากโจทก์กระทำความผิดตามที่จำเลยอ้างในหนังสือเลิกจ้าง จำเลยไม่ต้องจ่ายค่าชดเชยสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้าตามฟ้องให้โจทก์ เมื่อโจทก์กระทำความผิดตามข้อบังคับของกองทุนสำรองเลี้ยงชีพบริษัท อิตาเลียนไทยดีเวล๊อปเมนต์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด และ บริษัทในเครือซึ่งได้จดทะเบียนแล้ว จนเป็นเหตุให้จำเลยเลิกจ้างโจทก์ด้วยเหตุดังกล่าวโจทก์ไม่มีสิทธิได้รับเงินสมทบในส่วนของจำเลย จำเลยมีระเบียบข้อบังคับในการทำงานข้อ 5.3 ว่าพนักงานที่ทำงานติดต่อกันครบหนึ่งปีมีสิทธิลาหยุดพักผ่อนประจำปีได้ไม่เกิน 6 วัน ทำงานปกติ โดยได้รับค่าจ้าง พนักงานที่ทำงานติดต่อกันมาเกินกว่าสามปีขึ้นไปมีสิทธิลาหยุดพักผ่อนประจำปีได้ไม่เกิน 7 วัน ทำงานปกติ พนักงานที่ทำงานติดต่อกันเกินกว่าหกปีขึ้นไปมีสิทธิลาหยุดพักผ่อนประจำปีได้ไม่เกิน 8 วัน ทำงานปกติ และพนักงานที่ทำงานติดต่อกันเกินกว่าสิบปีขึ้นไปมีสิทธิลาหยุดพักผ่อนประจำปีได้ไม่เกิน 9 วันทำงานปกติ โดยได้รับค่าจ้าง แต่การหยุดพักผ่อนประจำปีต้องหยุดในปีที่ถึงกำหนดจะสะสมไว้หยุดปีต่อไปไม่ได้ เว้นแต่ในกรณีที่จำเป็น เนื่องจากการปฏิบัติงาน ผู้บังคับบัญชาหน่วยงานจะสั่งไม่อนุมัติให้พนักงานผู้ใดหยุดพักผ่อนก็ได้ โดยแจ้งให้ทราบเป็นลายลักษณ์อักษรหากพนักงานจะขอสะสมวันหยุดไปในปีต่อไปต้องแจ้งให้ผู้บังคับบัญชาทราบ และได้รับอนุมัติเป็นลายลักษณ์อักษร ดังนั้นโจทก์มีสิทธิหยุดพักผ่อนประจำปีในปี 2548 เพียง 9 วัน เท่านั้น แต่โจทก์ได้ฝ่าฝืนต่อระเบียบข้อบังคับการทำงานของจำเลยอย่างร้ายแรงโจทก์จึงไม่มีสิทธิได้รับค่าจ้างสำหรับวันหยุดพักผ่อนประจำปี ฟ้องโจทก์เกี่ยวกับการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรมเป็นฟ้องเคลือบคลุม จำเลยเลิกจ้างโจทก์เนื่องจากโจทก์ทุจริตต่อหน้าที่กระทำผิดอาญาโดยเจตนาต่อจำเลย จงใจทำให้จำเลยได้รับความเสียหาย และโจทก์ฝ่าฝืนระเบียบข้อบังคับกรณีร้ายแรง จำเลยมิได้แกล้งเลิกจ้างโจทก์โดยไม่มีสาเหตุเพื่อให้โจทก์ได้รับความเสียหาย จำเลยไม่จำต้องรับผิดชดใช้ค่าเสียหายตามฟ้องให้โจทก์ ตามที่โจทก์ฟ้องเรียกเงินจากอัตราค่าปรับเงินเดือนประจำปีอัตราร้อยละ 7 ของเงินเดือนและเรียกเงินโบนัสเป็นเวลา 10 ปี นั้น โจทก์กับจำเลยไม่มีข้อตกลงเกี่ยวกับการขึ้นค่าจ้างประจำปีหรือการจ่ายเงินโบนัสดังกล่าวไว้ในสัญญาจ้างหรือสัญญาฉบับใด แต่จำเลยจะปรับขึ้นค่าจ้างหรือจ่ายเงินโบนัสให้ลูกจ้างคนใดหรือไม่ย่อมขึ้นอยู่กับผลประกอบการของจำเลยว่าในแต่ละปีจำเลยมีกำไรหรือขาดทุนอย่างไรและผลงานของลูกจ้างด้วย โจทก์จึงไม่มีสิทธิได้รับเงินจากอัตราค่าปรับเงินเดือนและเงินโบนัสตามฟ้อง ขอให้ยกฟ้อง เมื่อโจทก์ได้กระทำความผิดจนเป็นเหตุให้จำเลยเลิกจ้างโจทก์และการกระทำของโจทก์ทำให้จำเลยได้รับความเสียหายคิดเป็นเงิน 188,260 บาท จำเลยจึงฟ้องแย้งขอให้บังคับโจทก์ชำระเงินจำนวนดังกล่าวแก่จำเลยพร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันที่ 16 พฤษภาคม 2548 เป็นต้นไปจนกว่าชำระเสร็จ
โจทก์ให้การแก้ฟ้องแย้งว่า โจทก์นำที่ดินบริเวณบ้านพักคนงานของจำเลยไปให้บุคคลภายนอกจัดตลาดนัดโดยโจทก์ได้ดำเนินการไปถูกต้อง ในการจัดเก็บเงินจากตลาดนัด โจทก์ตกลงกับผู้จัดการตลาดนัดเป็นการเหมาจ่ายค่าแผงตลาดนัดเดือนละ 5,000 บาท โดยโจทก์แจ้งให้นายวิทวัสทราบ และโจทก์ส่งรายได้ดังกล่าวให้จำเลยทุกครั้งที่ได้รับ ส่วนที่พนักงานฝ่ายตรวจสอบประเมินค่าเช่าแผงจากการขายสินค้าในตลาดนัดว่าผู้จัดการตลาดสามารถเก็บค่าเช่าแผงได้เป็นเงินเดือนละ 7,000 ถึง 8,000 บาท นั้น ความจริงค่าเช่าแผงบางเดือนก็เก็บได้น้อยกว่าเดือนละ 5,000 บาท เนื่องจากปัญหาสภาพอากาศและสภาพของวันหยุดติดต่อกันหลาย ๆ วัน เป็นเหตุให้ค่าเช่าแผงเฉลี่ยทั้งปีจะไม่สามารถเก็บเงินได้ถึงเดือนละ 7,000 บาท การที่โจทก์ดำเนินการดังกล่าวทำให้จำเลยได้รับประโยชน์และจำเลยไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายใด ๆ เรื่องที่จำเลยฟ้องแย้งเกี่ยวกับการก่อสร้างบ้านพักคนงานที่หน่วยงาน เจ. 1501 นั้น การก่อสร้างบ้านพักคนงานเป็นเรื่องเร่งด่วน โจทก์ได้รับมอบหมายจากนายเกรียงศักดิ์กับพวกให้เป็นผู้จัดหาผู้รับเหมาก่อสร้างบ้านพักคนงานชั่วคราว โจทก์จึงติดต่อนายกำพล ศรียพันธ์ ซึ่งเคยรับเหมาซ่อมแซมบ้านพักคนงานที่แคมป์ดอนเมือง นายกำพลเสนอราคาค่าก่อสร้างแถวละ 52,000 บาท โจทก์ต่อรองราคาเหลือแถวละ 48,000 บาท หรือราคาห้องละ 1,200 บาท โดยใช้ใบเสนอราคาดังกล่าวขออนุมัติ หลังจากนั้น นายเหรียญ เขื่อนมั่น ผู้รับเหมาอีกรายทำใบเสนอราคาค่าก่อสร้างบ้านพักคนงานแถวละ 85,000 บาท หรือราคาห้องละ 2,125 บาท ซึ่งแพงกว่าราคาที่นายกำพลเสนอไว้โจทก์จึงไม่อนุมัติการเสนอราคาของนายเหรียญ เมื่อนายกำพลได้รับอนุมัติให้ก่อสร้างบ้านพักคนงานแล้ว นายกำพลมีหน้าที่ก่อสร้างบ้านพักดังกล่าว ยกเว้นการเชื่อมหลังคาและโครงซึ่งต้องเสียค่าใช้จ่ายเพิ่มให้นายกำพล โจทก์เป็นผู้รับผิดชอบในการก่อสร้างบ้านพักจึงกระทำไปโดยเห็นสมควรเพื่อเป็นการลดต้นทุนและคำนึงถึงความรวดเร็วอันเป็นการลดค่าใช้จ่ายของจำเลย โดยโจทก์หาวัสดุเก่าจากหน่วงงานอื่นมาใช้ และนายทวีศักดิ์ รุ่งพิริยะเดช เป็นผู้สั่งให้นำคนงานมาช่วยทำงานโดยให้นายช่างโครงการเป็นผู้ควบคุม ส่วนที่จำเลยฟ้องแย้งว่าโจทก์นำรถยนต์พร้อมเติมน้ำมันของจำเลยไปใช้ส่วนตัวนั้น เดิมโจทก์ได้รับรถยนต์กระบะของจำเลยเป็นรถประจำตำแหน่ง แต่รถส่วนกลางของจำเลยไม่พอใช้งาน โจทก์จึงส่งรถยนต์กระบะประจำตำแหน่งคืนเพื่อให้นำไปใช้งานส่วนกลาง แล้วโจทก์นำรถยนต์ส่วนตัวมาใช้แทน โดยโจทก์ไม่ได้คิดค่าเช่ารถจากจำเลยนอกจากนี้โจทก์มีอำนาจอนุมัติใช้รถหรือหรืออนุญาตให้ผู้อื่นใช้รถ และทุกครั้งที่นายวิสูตร เหลืองรุ่งทรัพย์ กับลูกจ้างของจำเลยไปสวนของโจทก์ นายวิสูตรจะนำรถยนต์ของจำเลยไปทุกครั้งและไปกับโจทก์ในวันหยุด ขอให้ยกฟ้องแย้ง
ศาลแรงงานกลางพิจารณาแล้ว พิพากษายกฟ้องโจทก์ ให้โจทก์ชำระเงิน 13,600 บาท แก่จำเลยพร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันที่ 16 พฤษภาคม 2548 จนกว่าชำระเสร็จ คำขออื่นตามฟ้องแย้งของจำเลยนอกจากนี้ให้ยก
โจทก์อุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีแรงงานตรวจสำนวนประชุมปรึกษาแล้ว มีปัญหาวินิจฉัยว่าการที่โจทก์สั่งให้คนงานของจำเลยไปช่วยทำงานในส่วนที่ผู้รับเหมาได้รับเหมาไว้โดยจำเลยต้องจ่ายค่าจ้างให้ลูกจ้างดังกล่าว เป็นการจงใจทำให้จำเลยได้รับความเสียหายและฝ่าฝืนระเบียบข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงานของจำเลยเป็นกรณีร้ายแรงหรือไม่ และ จำเลยต้องจ่ายค่าชดเชย สินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้า ค่าจ้างสำหรับวันหยุดพักผ่อนประจำปี ค่าเสียหายจากการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรมและเงินสมทบกองทุนสำรองเลี้ยงชีพให้แก่โจทก์หรือไม่ ในปัญหานี้ศาลแรงงานกลางฟังข้อเท็จจริงว่า โจทก์เป็นลูกจ้างของจำเลยในตำแหน่งสมุห์บัญชีหน่วยงาน มีหน้าที่ควบคุมดูแลงานด้านบัญชีและการเงินงานด้านบุคคลและงานอื่นๆ ตามที่ระบุไว้ในคำบรรยายลักษณะงานตำแหน่งสมุห์บัญชีหน่วยงาน โจทก์ได้รับมอบหมายให้เป็นสมุห์บัญชีหน่วยงานประจำหน่วยงาน เจ. 1494 โครงการก่อสร้างโรงแรมสุวรรณภูมิแอร์พอร์ต หน่วยงาน เจ . 1501 โครงการก่อสร้างโรงแรมริเวอร์ไซด์ การ์เด้น มารีน่า และโครงการก่อสร้างรามา 9 ในการก่อสร้างบ้านพักคนงานของโครงการก่อสร้างโรงแรมริเวอร์ไซด์ การ์เด้น มารีน่า โจทก์จัดหาผู้รับเหมาโดยไม่ชอบ ทั้งโจทก์สั่งคนงานของจำเลยหลายคนไปช่วยเชื่อมโครงหลังคาเหล็กให้แก่ผู้รับเหมาโดยไม่ได้รับอนุญาตจากผู้บังคับบัญชา และจำเลยเป็นผู้จ่ายค่าจ้างให้คนงาน เหล่านั้น เห็นว่า งานเชื่อมโครงหลังคาเหล็กบ้านพักคนงานของจำเลยเป็นงานที่นายกำพลผู้รับเหมาจากจำเลยมีหน้าที่ดำเนินการ โจทก์ไม่มีหน้าที่เกี่ยวข้องแต่ประการใด การที่โจทก์เข้าไปช่วยผู้รับเหมาทำงานเชื่อมโครงหลังคาเหล็กบ้านพักคนงานจึงเป็นการกระทำนอกเหนืออำนาจหน้าที่ อีกทั้งโจทก์สั่งคนงานของจำเลย 44 คน ไปทำงานดังกล่าวโดยมิชอบ ย่อมทำให้จำเลยขาดประโยชน์จากแรงงานของคนงานเหล่านั้นและจำเลยเป็นผู้จ่ายค่าจ้างให้คนงานรวม 172,040 บาท ดังนี้ ถือได้ว่าโจทก์จงใจทำให้จำเลยผู้เป็นนายจ้างได้รับความเสียหายแล้ว จำเลยเลิกจ้างโจทก์เพราะเหตุดังกล่าวจึงไม่ต้องจ่ายค่าชดเชยสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้าและค่าจ้างสำหรับวันหยุดพักผ่อนประจำปีตามพระราช บัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ.2541 มาตรา 67, 119 ( 2 ) และมาตรา 17 วรรคห้า ที่ใช้บังคับในขณะเกิดเหตุคดีนี้ และประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 583 สำหรับเงินสมทบส่วนของจำเลยในกองทุนสำรองเลี้ยงชีพที่โจทก์ฟ้องเรียกเอาจากจำเลยนั้น ปรากฏว่ามีการจดทะเบียนก่อตั้งกองทุนสำรองเลี้ยงชีพบริษัท อิตาเลียนไทยดีเวล๊อปเมนต์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด และบริษัทในเครือซึ่งได้จดทะเบียนแล้วก่อนโจทก์ฟ้องคดีนี้ กองทุนสำรองเลี้ยงชีพดังกล่าวจึงมีฐานะเป็นนิติบุคคลแยกต่างหากจากจำเลยตามพระราชบัญญัติกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ พ.ศ.2530 มาตรา 7 และมาตรา 23 บัญญัติให้ลูกจ้างที่สิ้นสมาชิกภาพเพราะเหตุอื่นซึ่งมิใช่กองทุนเลิก ผู้จัดการกองทุนต้องจ่ายเงินจากกองทุนให้แก่ลูกจ้าง ดังนั้น ผู้จัดการกองทุนดังกล่าวจึงมีหน้าที่จ่ายเงินให้โจทก์หากโจทก์มีสิทธิได้รับ จำเลยไม่มีอำนาจหน้าที่จัดการกองทุนสำรองเลี้ยงชีพรายนี้แต่อย่างใด โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องจำเลยให้จ่ายเงินสมทบส่วนของจำเลยในกองทุนสำรองเลี้ยงชีพดังกล่าวได้ ที่ศาลแรงงานกลางพิพากษายกฟ้องในส่วนนี้ ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วยในผล อุทธรณ์ของโจทก์ข้อนี้ฟังไม่ขึ้น และไม่จำต้องวินิจฉัยอุทธรณ์ของโจทก์ที่ว่าการกระทำของโจทก์เป็นการฝ่าฝืนระเบียบข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงานเป็นกรณีร้ายแรงหรือไม่ต่อไป เพราะไม่ทำให้ผลคดีเปลี่ยนแปลง
พิพากษายืน.