คำพิพากษาฎีกาที่ 4114/56
เหตุสิ้นสุดความเป็นผู้ประกันตนไม่ได้เกิดจากความผิดของลูกจ้าง ภายหลังเข้าเป็นผู้ประกันตนต่อสิทธิความเป็นผู้ประกันตนให้นับต่อเนื่อง และสิทธิขอรับบริการทางการแพทย์ตาม พรบ.ประกันสังคม ฯ
โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ 1 กันยายน 2523 โจทก์เริ่มทำงานเป็นพนักงานของธนาคารศรีนคร จำกัด และวันที่ 1 มีนาคม 2534 โจทก์ขึ้นทะเบียนเป็นผู้ประกันตนตามมาตรา 33 แห่งพระราชบัญญัติประกันสังคม พ.ศ.2533 โดยจัดส่งเงินสมทบเข้ากองทุนประกันสังคมจนเกิดสิทธิประโยชน์ตามกฎหมาย วันที่ 27 พฤษภาคม 2541 ธนาคารศรีนคร จำกัด เปลี่ยนสภาพจากบริษัทเอกชนเป็นรัฐวิสาหกิจโดยกองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถานบันการเงินเข้าถือหุ้นตามคำสั่งของธนาคารแห่งประเทศไทย โจทก์จึงพ้นสภาพจากการเป็นผู้ประกันตนโดยผลของกฎหมาย ต่อมาวันที่ 1 เมษายน 2545 ธนาคารศรีนคร จำกัด โอนกิจการให้แก่ธนาคารนครหลวงไทย จำกัด (มหาชน) ซึ่งมีฐานะเป็นรัฐวิสาหกิจ และรับโอนโจทก์เข้าทำงานเป็นพนักงานกับธนาคารนครหลวงไทย จำกัด (มหาชน) ดังกล่าว โดยให้นับอายุงานต่อเนื่องและสวัสดิการคงเดิม วันที่ 25 พฤศจิกายน 2547 ธนาคารนครหลวงไทย จำกัด (มหาชน) เปลี่ยนสภาพจากรัฐวิสาหกิจเป็นบริษัทเอกชน โจทก์จึงเข้าเป็นผู้ประกันตนตามมาตรา 33 อีกครั้งหนึ่ง วันที่ 7 มิถุนายน 2548 โจทก์ยื่นคำขอรับบริการทางการแพทย์โดยการฟอกเลือดด้วยเครื่องไตเทียมต่อสำนักงานประกันสังคมเขตพื้นที่ 5 แต่สำนักงานประกันสังคมเขตพื้นที่ 5 มีคำสั่งที่ รง 0624/12181 ว่าโจทก์ไม่มีสิทธิรับประโยชน์ทดแทนกรณีฟอกเลือดด้วยเครื่องไตเทียมเนื่องจากโจทก์เจ็บป่วยด้วยโรคไตวายเรื้อรังระยะสุดท้ายมาก่อนการเริ่มเป็นผู้ประกันตนคราวที่ยื่นขอใช้สิทธิ
โจทก์ยื่นอุทธรณ์คำสั่งต่อคณะกรรมการอุทธรณ์ คณะกรรมการอุทธรณ์มีมติยกอุทธรณ์ของโจทก์ตามคำวินิจฉัยที่ 1779/2548 โจทก์ไม่เห็นด้วยกับคำวินิจฉัยของคณะกรรมการอุทธรณ์ ด้วยเหตุผลว่าโจทก์เป็นผู้ประกันตนตามมาตรา 33 มาตั้งแต่วันที่ 1 มีนาคม 2534 และจัดส่งเงินสมทบเข้ากองทุนประกันสังคมจนได้สิทธิประโยชน์ตามกฎหมาย แม้ในปี 2536 โจทก์ป่วยเป็นโรคไตวายเรื้อรังระยะสุดท้ายและเข้ารับการบำบัดโดยการฟอกเลือดด้วยเครื่องไตเทียมเรื่อยมา แต่จำเลยยังไม่ได้จัดให้สิทธิประโยชน์แก่ผู้ประกันตนเข้ารับการบำบัดฟอกเลือดด้วยเครื่องไตเทียม จำเลยเพิ่งให้สิทธิประโยชน์ดังกล่าวเมื่อปี 2542 หากโจทก์เป็นผู้ประกันตนต่อเนื่องก็จะได้รับสิทธิประโยชน์ดังกล่าว การขาดตอนการเป็นผู้ประกันตนของโจทก์เกิดโดยผลของกฎหมาย ไม่ใช่การกระทำโดยเจตนาของโจทก์ อันเป็นเหตุจำเป็น การนับระยะเวลาการเป็นผู้ประกันตนต้องนับต่อเนื่อง ตามพระราชบัญญัติประกันสังคม พ.ศ.2533 มาตรา 42 ขอให้เพิกถอนคำสั่งของสำนักงานประกันสังคมเขตพื้นที่ 5 ที่ รง 0624/12181 ลงวันที่ 1 สิงหาคม 2548 และคำวินิจฉัยของคณะกรรมการอุทธรณ์ที่ 1779/2548 ลงวันที่ 25 พฤศจิกายน 2548 และให้โจทก์มีสิทธิรับประโยชน์ค่าบำบัดทดแทนไตโดยวิธีฟอกเลือดด้วยเครื่องไตเทียมตั้งแต่วันที่ 7 มิถุนายน 2548 เป็นต้นไป
จำเลยให้การว่า เดิมโจทก์เป็นลูกจ้างของธนาคารซึ่งเป็นบริษัทเอกชน และขึ้นทะเบียนเป็นผู้ประกันตนตามมาตรา 33 มาตั้งแต่วันที่ 1 มีนาคม 2534 ต่อมาเมื่อวันที่ 27 พฤษภาคม 2541 ธนาคารซึ่งเป็นนายจ้างของโจทก์แปรสภาพจากบริษัทเอกชนเป็นรัฐวิสาหกิจ โจทก์จึงสิ้นสภาพการเป็นผู้ประกันตน และเมื่อวันที่ 25 พฤศจิกายน 2547 ธนาคารซึ่งเป็นนายจ้างของโจทก์แปรสภาพกลับเป็นบริษัทเอกชน โจทก์จึงกลับเข้าเป็นผู้ประกันตนอีกครั้ง โจทก์ป่วยเป็นโรคไตวายเรื้อรังระยะสุดท้ายและได้รับการฟอกเลือดครั้งแรกวันที่ 13 มกราคม 2536 โดยมีข้อบ่งชี้ทางการแพทย์ที่ตรวจพบคือ Serum BUN เท่ากับ 152mg/dl , Cr 25.2 mg/dl และได้ยื่นคำขอรับบริการทางแพทย์โดยการฟอกเลือดด้วยเครื่องไตเทียมครั้งที่สองเมื่อวันที่ 7 มิถุนายน 2548 หลังจากกลับเป็นผู้ประกันตนครั้งหลัง แสดงว่าโจทก์มีภาวะไตวายเรื้อรังระยะสุดท้ายก่อนวันที่ 25 พฤศจิกายน 2547 ซึ่งเป็นเวลาก่อนเป็นผู้ประกันตนในคราวที่ยื่นขอใช้บริการทางการแพทย์โดยการฟอกเลือดด้วยเครื่องไตเทียม โจทก์จึงไม่มีสิทธิได้รับการฟอกเลือดด้วยเครื่องไตเทียมตามพระราชบัญญัติประกันสังคม พ.ศ.2533 มาตรา 63 ประกอบหลักเกณฑ์และเงื่อนไขท้ายประกาศคณะกรรมการการแพทย์ฉบับลงวันที่ 22 พฤศจิกายน 2547 กรณีของโจทก์ไม่ต้องด้วยบทบัญญัติมาตรา 42 แห่งพระราชบัญญัติประกันสังคม พ.ศ.2533 ขอให้ยกฟ้อง
ศาลแรงงานกลางพิจารณาแล้ว พิพากษาให้เพิกถอนคำสั่ง (คำสั่ง ที่ รง 0624/12181 ลงวันที่ 1 สิงหาคม 2548 ของสำนักงานประกันสังคมเขตพื้นที่ 5) และคำวินิจฉัยที่ 1779/2548 ลงวันที่ 25 พฤศจิกายน 2548 ของคณะกรรมการอุทธรณ์ของจำเลยให้จำเลยจ่ายสิทธิประโยชน์ค่าบำบัดทดแทนไตโดยวิธีฟอกเลือดด้วยเครื่องไตเทียมแก่โจทก์ตั้งแต่วันที่ 7 มิถุนายน 2548 เป็นต้นไป
จำเลยอุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีแรงงานตรวจสำนวนประชุมปรึกษาแล้ว ศาลแรงงานกลางรับฟังข้อเท็จจริงว่า โจทก์เข้าทำงานที่ธนาคารศรีนคร จำกัด ซึ่งมีฐานะเป็นบริษัทเอกชนตั้งแต่วันที่ 1 กันยายน 2523 จึงอยู่ภายใต้บังคับพระราชบัญญัติประกันสังคม พ.ศ.2533 โจทก์เป็นลูกจ้างขึ้นทะเบียนเป็นผู้ประกันตนและจ่ายเงินสมทบเข้ากองทุนประกันสังคมตั้งแต่วันที่ 1 มีนาคม 2534 เรื่อยมา ต่อมาธนาคารศรีนคร จำกัด ประสบปัญหาทางการเงินจากวิกฤติเศรษฐกิจ ธนาคารแห่งประเทศไทยมีคำสั่งให้ธนาคารศรีนคร จำกัด ลดทุนและเพิ่มทุนโดยให้กองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงินเข้าถือหุ้นเพิ่มทุนในนามของทางราชการเมื่อวันที่ 27 พฤษภาคม 2541 มีผลให้ธนาคารศรีนคร จำกัด เปลี่ยนฐานะจากบริษัทเอกชนเป็นรัฐวิสาหกิจ โจทก์จึงกลายเป็นลูกจ้างของรัฐวิสาหกิจ ต้องพ้นสภาพการเป็นผู้ประกันตนตามพระราชบัญญัติประกันสังคม พ.ศ.2533 และไม่ต้องถูกหักเงินสมทบจากค่าจ้างเพื่อนำส่งเข้ากองทุนประกันสังคมอีก ต่อมาวันที่ 1 เมษายน 2545 ธนาคารศรีนคร จำกัด ควบรวมและโอนกิจการให้แก่ธนาคารนครหลวงไทย จำกัด (มหาชน) ซึ่งเป็นรัฐวิสาหกิจเช่นเดียวกัน ในการควบรวมกิจการได้รับโอนโจทก์เข้าเป็นพนักงานของธนาคารนครหลวงไทย จำกัด (มหาชน) โดยนับอายุงานต่อเนื่อง ต่อมาฐานะการเงินของธนาคารนครหลวงไทย จำกัด (มหาชน) ดีขึ้น ตั้งแต่วันที่ 25 พฤศจิกายน 2547 กองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงินถือหุ้นในธนาคารนครหลวงไทย จำกัด (มหาชน) ลดน้อยลงเหลือไม่ถึงร้อยละ 50 ของทุนจดทะเบียนและทุนชำระแล้ว มีผลให้ธนาคารนครหลวงไทย จำกัด (มหาชน) ไม่มีฐานะเป็นรัฐวิสาหกิจอีก และกลับมามีฐานะเป็นบริษัทเอกชน ตามเอกสารหมาย จ.3 หน้า 16 ทำให้โจทก์ต้องกลับมาเป็นผู้ประกันตนและต้องถูกหักเงินสมทบเข้ากองทุนประกันสังคมอีกทุกเดือนนับแต่วันที่ 25 พฤศจิกายน 2547 โจทก์เริ่มเป็นโรคไตวายเรื้อรังระยะสุดท้าย แพทย์ต้องทำการฟอกเลือดด้วยเครื่องไตเทียมตั้งแต่วันที่ 13 มกราคม 2536 ขณะที่โจทก์ยังเป็นผู้ประกันตนช่วงแรกแต่ไม่มีสิทธิเบิกค่ารักษาพยาบาลฟอกเลือดด้วยเครื่องไตเทียมเพราะเงื่อนไขและหลักเกณฑ์เกี่ยวกับประโยชน์ทดแทนกรณีประสบอันตรายหรือเจ็บป่วยขณะนั้นยังไม่ครอบคลุมกรณีฟอกเลือดด้วยเครื่องไตเทียม หลังจากโจทก์กลับมาเป็นผู้ประกันตนอีกครั้งตั้งแต่วันที่ 25 พฤศจิกายน 2547 ในวันที่ 7 มิถุนายน 2548 โจทก์ยื่นขอรับค่าบำบัดทดแทนไตโดยวิธีฟอกเลือดด้วยเครื่องไตเทียม สำนักงานประกันสังคมเขตพื้นที่ 5 มีคำสั่งที่ รง 0624/12181 ปฏิเสธว่าโจทก์ไม่มีสิทธิรับประโยชน์ทดแทนโดยการฟอกเลือดด้วยเครื่องไตเทียมเนื่องจากป่วยด้วยโรคไตวายเรื้อรังระยะสุดท้ายมาก่อนเริ่มเป็นผู้ประกันตนคราวที่ยื่นขอใช้สิทธิรับบริการทางการแพทย์โดยการฟอกเลือดด้วยเครื่องไตเทียมตามเอกสารหมาย จ.1 โจทก์อุทธรณ์คำสั่ง คณะกรรมการอุทธรณ์ของจำเลยมีคำวินิจฉัยที่ 1779/2548 ลงวันที่ 25 พฤศจิกายน 2548 ยืนตามคำสั่งเดิมโดยยกอุทธรณ์ของโจทก์ตามเอกสารหมาย จ.2
คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของจำเลยว่าคำสั่งของสำนักงานประกันสังคมเขตพื้นที่ 5 และคำวินิจฉัยของคณะกรรมการอุทธรณ์ชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ มีเหตุเพิกถอนหรือไม่ อย่างไร โดยจำเลยอุทธรณ์ว่า โจทก์ซึ่งเป็นลูกจ้างสิ้นสภาพการเป็นผู้ประกันตนตามพระราชบัญญัติประกันสังคม พ.ศ.2533 มาตรา 33 เมื่อนายจ้างเปลี่ยนฐานะจากบริษัทเอกชนเป็นรัฐวิสาหกิจ แม้การป่วยด้วยโรคไตวายเรื้อรังระยะสุดท้ายมีอยู่ขณะเป็นผู้ประกันตนช่วงแรก เมื่อต่อมานายจ้างกลับเป็นบริษัทเอกชนโจทก์เข้ามาเป็นผู้ประกันตนครั้งหลัง โจทก์ย่อมไม่มีสิทธิขอรับการบำบัดไตโดยการฟอกเลือดด้วยเครื่องไตเทียมเพราะโจทก์เป็นโรคไตวายเรื้อรังระยะสุดท้ายอยู่กอนคราวที่เป็นผู้ประกันตนครั้งหลัง กรณีของโจทก์ไม่เข้าหลักเกณฑ์ที่จะนับเวลาต่อเนื่องตามมาตรา 42 เพราะขณะสิ้นสภาพการเป็นผู้ประกันตนตามมาตรา 33 โจทก์ไม่ได้สมัครเข้าเป็นผู้ประกันตนตามมาตรา 39 เพื่อรักษาสภาพความเป็นผู้ประกันตน เห็นว่า สาเหตุที่โจทก์สิ้นสภาพการเป็นผู้ประกันตนตามมาตรา 33 เพราะธนาคารแห่งประเทศไทยซึ่งเป็นองค์กรของรัฐมีคำสั่งให้กองทุนฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงินเข้าไปถือหุ้นในธนาคารศรีนคร จำกัด ซึ่งเป็นนายจ้างของโจทก์เกินร้อยละ 50 ผลคือฐานะของธนาคารดังกล่าวเปลี่ยนจากบริษัทเอกชนเป็นรัฐวิสาหกิจโจทก์จึงสิ้นสภาพการเป็นผู้ประกันตนด้วยผลของพระราชบัญญัติประกันสังคม พ.ศ.2533 มาตรา 4 ( 6 ) ที่มีสาเหตุมาจากการใช้อำนาจของธนาคารแห่งประเทศไทย เมื่อภายหลังโดยผลของคำสั่งของธนาคารแห่งประเทศไทยให้กองทุนฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงินลดจำนวนการถือครองหุ้นลงต่ำกว่าร้อยละ 50 ของจำนวนหุ้นทั้งหมด อันเป็นผลให้ฐานะธนาคารนครหลวงไทย จำกัด (มหาชน) ผู้รับโอนโจทก์มาเป็นลูกจ้างซึ่งเป็นรัฐวิสาหกิจกลับคืนสู่บริษัทเอกชนอีกครั้ง ธนาคารนครหลวงไทย จำกัด (มหาชน) ผู้เป็นนายจ้างจึงมีหน้าที่หักค่าจ้างของโจทก์นำส่งเงินสมทบเข้ากองทุนประกันสังคม การที่โจทก์สิ้นสภาพการเป็นผู้ประกันตนหรือกลับเป็นผู้ประกันตนตามมาตรา 33 อีกครั้งเป็นผลโดยตรงจากคำสั่งของธนาคารแห่งประเทศไทย โดยที่โจทก์ไม่ได้มีส่วนกระทำการใดหรือมีพฤติการณ์ใดที่จะต้องรับผิดชอบ โจทก์ยังคงทำงานเป็นพนักงานของธนาคารนายจ้าง สภาพความเป็นนายจ้างและลูกจ้างมีอยู่ตลอดเวลา การที่จำเลยซึ่งเป็นองค์กรของรัฐด้วยกันจะผลักภาระให้โจทก์มีหน้าที่สมัครเป็นผู้ประกันตนมาตรา 39 เพื่อปกป้องรักษาสิทธิประโยชน์ตามกฎหมายประกันสังคม ย่อมเป็นการสร้างภาระที่เกินควรแก่โจทก์เพราะการเป็นผู้ประกันตนตามมาตรา 39 ต้องออกเงินสมทบสองเท่าของอัตราเงินสมทบและรัฐบาลออกให้หนึ่งเท่าขณะที่ผู้ประกันตนตามมาตรา 33 รัฐบาล นายจ้าง และผู้ประกันตนออกเงินสมทบฝ่ายละเท่ากัน การผลักภาระดังกล่าวไม่เป็นธรรมต่อโจทก์เพราะโจทก์ไม่ได้มีส่วนรับผิดชอบต่อการสิ้นสภาพหรือกลับคืนสภาพการเป็นผู้ประกันตนตามมาตรา 33 กรณีนี้จึงต้องถือว่าการเป็นผู้ประกันตนของโจทก์ทั้งช่วงแรกและช่วงหลังต่อเนื่องเป็นการประกันตนในคราวเดียวกันโดยให้นับระยะเวลาการประกันตนช่วงแรกและช่วงหลังต่อเนื่องกัน ตามมาตรา 42 เมื่อโจทก์ป่วยเป็นโรคไตวายเรื้อรังระยะสุดท้ายระหว่างการเป็นผู้ประกันตน โจทก์จึงมีสิทธิขอรับบริการทางการแพทย์โดยการฟอกเลือดด้วยเครื่องไตเทียมตามมาตรา 63 ประกอบประกาศคณะกรรมการการแพทย์ตามพระราชบัญญัติประกันสังคม เรื่อง หลักเกณฑ์และอัตราสำหรับประโยชน์ทดแทนในกรณีประสบอันตรายหรือเจ็บป่วยอันมิใช่เนื่องจากการทำงานกรณีบำบัดทดแทนไตฉบับลงวันที่ 22 พฤศจิกายน 2547 คำสั่งของสำนักงานประกันสังคมเขตพื้นที่ 5 และคำวินิจฉัยอุทธรณ์ของคณะกรรมการอุทธรณ์ของจำเลยที่ปฏิเสธการให้บริการทางการแพทย์ในการบำบัดไตโดยวิธีฟอกเลือดด้วยเครื่องไตเทียมแก่โจทก์ไม่ชอบด้วยกฎหมายคำพิพากษาของศาลแรงงานกลางชอบแล้ว อุทธรณ์ของจำเลยฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน.