คำพิพากษาฎีกาที่ 4006/56
การจ่ายค่าจ้าง ค่าทำงานล่วงเวลา สำหรับพนักงานรักษาความปลอดภัย
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยประกอบกิจการบริษัทรักษาความปลอดภัย เมื่อวันที่ 3 มิถุนายน 2549 จำเลยจ้างโจทก์เข้าทำงานเป็นลูกจ้าง ตำแหน่งพนักงานรักษาความปลอดภัย จำเลยให้โจทก์ปฏิบัติหน้าที่ ณ ธนาคารธนชาต จำกัด (มหาชน) สาขานครศรีธรรมราช ได้รับค่าจ้างเป็นรายชั่วโมง ชั่วโมงละ 23.25 บาท ทำงานวันละ 12 ชั่วโมง สัปดาห์ละ 6 วัน วันอาทิตย์เป็นวันหยุดประจำสัปดาห์ กำหนดจ่ายค่าจ้างทุกวันสิ้นเดือน จำเลยกำหนดให้มีวันหยุดตามประเพณีปีละ 13 วัน ในระหว่างการทำงานจำเลยสั่งให้โจทก์มาทำงานในช่วงวันหยุดทุกวันๆละ 12 ชั่วโมง โดยจำเลยจ่ายค่าจ้างให้โจทก์สองเท่าในช่วงเวลา 8 ชั่วโมง ของการทำงาน ส่วนค่าจ้างในชั่วโมงที่ 9 - 12 รวม 4 ชั่วโมง จำเลยจ่ายค่าจ้างให้โจทก์เพียงหนึ่งเท่าแต่ตามพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. 2541 มาตรา 62 (2) จำเลยต้องจ่ายค่าจ้างให้โจทก์สองเท่าตลอดระยะเวลาการทำงานในวันหยุด โจทก์จึงมีสิทธิได้รับค่าทำงานในวันหยุดตามประเพณี 26 วัน รวม 104 ชั่วโมง และวันหยุดประจำสัปดาห์ 29 วัน รวม 276 ชั่วโมง รวมเวลาที่จำเลยจ่ายค่าทำงานไม่ครบวันละ 4 ชั่วโมง เป็นจำนวน 380 ชั่วโมง เป็นเงิน 8,835 บาท และจำเลยค้างจ่ายค่าจ้างตั้งแต่เดือนมิถุนายน 2549 - เดือนสิงหาคม 2550 จำนวน 2,866 บาท รวมเป็นเงินจำนวน 11,701 บาท โจทก์ทวงถามแล้วจำเลยเพิกเฉย ขอให้บังคับจำเลยจ่ายค่าจ้างจำนวน 2,866 บาท ค่าล่วงเวลาในวันหยุดจำนวน 8,830 บาท
จำเลยให้การและแก้ไขคำให้การว่า จำเลยจ่ายค่าจ้างให้โจทก์สำหรับการทำงาน 8 ชั่วโมงแรก ซึ่งถือเป็นช่วงเวลาทำงานปกติ และในส่วนที่เกินวันละ 4 ชั่วโมง เป็นการทำงานล่วงเวลาเนื่องจากลักษณะงานโจทก์ไม่มีสิทธิได้รับค่าล่วงเวลา แต่มีสิทธิได้รับค่าตอบแทนเท่ากับค่าจ้างต่อชั่วโมงในวันทำงาน เมื่อโจทก์ทำงานล่วงเวลาวันละ 4 ชั่วโมง จำเลยได้จ่ายค่าตอบแทนในอัตราหนึ่งเท่าให้โจทก์ครบถ้วนแล้ว จำเลยไม่ค้างค่าทำงานในวันหยุดประจำสัปดาห์จำนวน 69 วัน รวม 276 ชั่วโมง และค่าทำงานในวันหยุดตามประเพณีจำนวน 26 วัน รวม 104 ชั่วโมง ตามที่โจทก์อ้าง เนื่องจากโจทก์มีสิทธิหยุดวันหยุดตามประเพณีในปี 2549 เพียง 6 วัน และในปี 2550 เพียง 6 วัน รวม 12 วัน จำเลยไม่ค้างชำระค่าทำงานในวันหยุดประจำสัปดาห์ เนื่องจากโจทก์เริ่มทำงานกับจำเลยในวันที่ 3 มิถุนายน 2549 และตั้งแต่เดือนมิถุนายน 2549 - เดือนสิงหาคม 2550 มีวันหยุดประจำสัปดาห์เพียง 64 วัน ขอให้ยกฟ้อง
ศาลแรงงานภาค 8 พิจารณาแล้ว พิพากษาให้จำเลยจ่ายค่าทำงานในวันหยุดที่ค้างชำระจำนวน 6,975 บาท แก่โจทก์พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 15 ต่อปี นับแต่วันฟ้อง (ฟ้องวันที่ 18 กันยายน 2550) ไปจนกว่าชำระเสร็จ คำขออื่นให้ยก
จำเลยอุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีแรงงานตรวจสำนวนประชุมปรึกษาแล้ว เห็นว่า การที่โจทก์เป็นลูกจ้างประเภทไม่มีสิทธิได้รับค่าจ้างในวันหยุด เมื่อจำเลยสั่งให้โจทก์มาทำงานในวันหยุดตามประเพณีจำนวน 13 วัน และวันหยุดประจำสัปดาห์จำนวน 62 วัน โจทก์ทำงานในวันหยุดวันละ 12 ชั่วโมง ทุกวัน โจทก์ย่อมมีสิทธิได้รับค่าทำงานในวันหยุดไม่น้อยกว่าสองเท่าของอัตราค่าจ้างต่อชั่วโมงในวันทำงานตามชั่วโมงที่ทำตามมาตรา 62 (2) แห่งพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. 2541 จำเลยไม่อาจยกกรณีการจ่ายค่าล่วงเวลาสำหรับงานเฝ้าดูแลสถานที่หรือทรัพย์สินตามมาตรา 65 (8) แห่งพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ.2541 ประกอบกฎกระทรวงฉบับที่ 8 (พ.ศ.2541) ลงวันที่ 14 กันยายน 2541 ที่ลูกจ้างไม่มีสิทธิได้รับค่าล่วงเวลาตามมาตรา 61 และค่าล่วงเวลาในวันหยุดตามมาตรา 63 แต่ให้มีสิทธิได้รับค่าตอบแทนเป็นเงินเท่ากับอัตราค่าจ้างต่อชั่วโมงในวันทำงานตามจำนวนชั่วโมงที่ทำมาเป็นข้ออ้างเพื่อให้หลุดพ้นจากหน้าที่ที่จะต้องจ่ายค่าทำงานในวันหยุดสองเท่าหาได้ไม่ โจทก์เริ่มทำงานเมื่อวันที่ 3 มิถุนายน 2549 - วันที่ 31 สิงหาคม 2550 จำเลยสั่งให้โจทก์มาทำงานในวันหยุดตามประเพณีและวันหยุดประจำสัปดาห์ทุกวัน และโจทก์ทำงานในวันหยุดวันละ 12 ชั่วโมง โดยแยกเป็นการทำงานในวันหยุดตามประเพณี 13 วัน และวันหยุดประจำสัปดาห์ 62 วัน รวมเป็นจำนวน 75 วัน ดังนั้นจำเลยต้องจ่ายค่าทำงานในวันหยุดให้โจทก์ไม่น้อยกว่าสองเท่าของอัตราค่าจ้างต่อชั่วโมงที่ทำ เท่ากับจำเลยต้องจ่ายค่าทำงานในวันหยุดวันละ 24 ชั่วโมง เมื่อจำเลยจ่ายค่าทำงานในวันหยุดให้โจทก์เพียงวันละ 20 ชั่วโมง ยังขาดอยู่วันละ 4 ชั่วโมง เมื่อคิดจากวันทำงานในวันหยุด 75 วัน รวมค่าทำงานในวันหยุดที่จำเลยจ่ายไม่ครบจำนวน 300 ชั่วโมง คิดจากค่าจ้างชั่วโมงละ 23.25 บาท รวมเป็นค่าจ้างที่จำเลยค้างหรือจ่ายไม่ครบถ้วนจำนวน 6,975 บาท
คดีมีปัญหาตามอุทธรณ์ของจำเลยว่าโจทก์มีสิทธิได้รับค่าล่วงเวลาในวันหยุดในอัตราสองเท่าหรือไม่ โดยจำเลยอุทธรณ์ว่า โจทก์เป็นพนักงานรักษาความปลอดภัยเฝ้าดูแลสถานที่หรือทรัพย์สินประจำธนาคารธนชาติ จำกัด (มหาชน) สาขานครศรีธรรมราช ซึ่งมีลักษณะงานตามกฎกระทรวงฉบับที่ 8 (พ.ศ.2541) ฯ โจทก์จึงไม่มีสิทธิได้รับค่าล่วงเวลาตามพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ.2541 มาตรา 61 และค่าล่วงเวลาในวันหยุดตามมาตรา 63 แต่มีสิทธิได้รับค่าตอบแทนสำหรับการทำงานในวันหยุดเท่ากับอัตราค่าจ้างต่อชั่วโมงในวันทำงาน โจทก์จึงมีสิทธิได้รับค่าตอบแทนการทำงานล่วงเวลาในวันหยุดในอัตราหนึ่งเท่า หรือเท่ากับอัตราค่าจ้างต่อชั่วโมงในวันทำงานนั้น เห็นว่า ตามกฎกระทรวงฉบับที่ 8 (พ.ศ.2541) ฯ กำหนดให้งานเฝ้าดูแลสถานที่หรือทรัพย์สินเป็นงานตามมาตรา 65 (8) ที่ใช้บังคับในขณะเกิดเหตุที่ลูกจ้างไม่มีสิทธิได้รับค่าล่วงเวลาตามมาตรา 61 และค่าล่วงเวลาในวันหยุดตามมาตรา 63 แต่ให้มีสิทธิได้รับค่าตอบแทนเป็นเงินเท่ากับอัตราค่าจ้างต่อชั่วโมงในวันทำงานตามจำนวนชั่วโมงที่ทำ หมายความว่า ลูกจ้างที่ทำงานเฝ้าดูแลสถานที่หรือทรัพย์สินไม่มีสิทธิได้รับค่าล่วงเวลาและค่าล่วงเวลาในวันหยุด แต่มีสิทธิได้รับค่าตอบแทนเป็นเงินเท่ากับอัตราค่าจ้างต่อชั่วโมงในวันทำงานซึ่งวันทำงานดังกล่าวนี้มิใช่หมายถึงวันที่นายจ้างกำหนดให้ลูกจ้างทำงานตามปกติตามความหมายของคำว่า "วันทำงาน" ในมาตรา 5 แต่หมายความถึงวันทำงานที่ลูกจ้างได้ทำ และตามมาตรา 62 (2) บัญญัติให้นายจ้างจ่ายค่าทำงานในวันหยุดให้ลูกจ้างซึ่งไม่มีสิทธิได้รับค่าจ้างในวันหยุดไม่น้อยกว่าสองเท่าของอัตราค่าจ้างต่อชั่วโมงในวันทำงาน ดังนั้นหากลูกจ้างทำงานล่วงเวลาในวันทำงานตามปกติก็มีสิทธิได้รับค่าตอบแทนเป็นเงินเท่ากับอัตราค่าจ้างต่อชั่วโมงในวันทำงานตามปกติ แต่หากลูกจ้างทำงานล่วงเวลาในวันหยุดก็มีสิทธิได้รับค่าตอบแทนเป็นเงินเท่ากับอัตราค่าจ้างต่อชั่วโมงในวันทำงานในวันหยุดคือสองเท่าของอัตราค่าจ้างต่อชั่วโมงในวันทำงานตามปกติ คดีนี้โจทก์เป็นพนักงานรักษาความปลอดภัยทำงานในวันหยุดประจำสัปดาห์ 62 วัน และทำงานในวันหยุดตามประเพณี 13 วัน โดยทำงานวันละ 12 ชั่วโมง เมื่อโจทก์มีเวลาทำงานตามปกติวันละ 8 ชั่วโมง โจทก์จึงทำงานล่วงเวลาในวันหยุดวันละ 4 ชั่วโมง และมีสิทธิได้รับค่าตอบแทนเป็นเงินเท่ากับอัตราค่าจ้างต่อชั่วโมงในวันหยุดหรืออัตราสองเท่าของอัตราค่าจ้างต่อชั่วโมงในวันทำงานตามปกติตามกฎกระทรวงฉบับที่ 8 (พ.ศ.2541) ฯ แต่จำเลยได้จ่ายค่าตอบแทนแก่โจทก์ไปแล้วจำนวนหนึ่งเท่า จึงจ่ายค่าตอบแทนขาดไปจำนวนหนึ่งเท่าของค่าจ้างในวันทำงานตามปกติ ที่ศาลแรงงานภาค 8 พิพากษามานั้นศาลฎีกาเห็นพ้องด้วยในผลอุทธรณ์ของจำเลยฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน.