พิพากษาคำฎีกาที่ 975/56
เงินจ่ายเพื่อตอบแทนความชอบในการทำงาน เนื่องจากออกจากงานเพราะเกษียณอายุไม่ถือเป็นค่าจ้าง เรียกดอกเบี้ยได้ร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันครบกำหนดทวงถาม และศาลพิพากษาเกินคำขอไม่ได้หากมิใช่เหตุเพื่อความเป็นธรรมแก่คู่ความตาม วิ แรงงานฯ มาตรา 52
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยเป็นนิติบุคคลและเป็นรัฐวิสาหกิจตามพระราชกฤษฎีกาจัดตั้งองค์การอุตสาหกรรมป่าไม้ พ.ศ. 2499 สังกัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม โจทก์เคยเป็นพนักงานของจำเลย ตำแหน่งสุดท้ายเป็นผู้จัดการกลุ่มงานพืชสมุนไพรและพืชธัญญาหารเชียงใหม่ อัตราเงินเดือนสุดท้าย 51,410 บาท จำเลยมีคำสั่งให้โจทก์พ้นจากงานเนื่องจากเกษียณอายุโดยให้มีผลตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2548 โดยให้ได้รับเงินเพื่อตอบแทนความชอบในการทำงานเท่ากับ 8 เท่า ของเงินเดือนสุดท้าย เป็นเงิน 411,280 บาท จำเลยไม่จ่ายเงินดังกล่าวให้โจทก์ทันที โจทก์ทวงถามแล้ว จำเลยจึงจ่ายให้เมื่อวันที่ 11 สิงหาคม 2549 เป็นการผิดนัดชำระหนี้ ซึ่งต้องเสียดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 15 ต่อปี นับแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2548 ถึงวันที่ 1 สิงหาคม 2549 เป็นเวลา 10 เดือน เป็นเงิน 51,410 บาท ในปี 2547 โจทก์ได้รับค่าจ้างอัตราเดือนละ 44,020 บาท ในวันที่ 1 เมษายน 2547 โจทก์ได้รับการปรับค่าจ้างเพิ่มขึ้นร้อยละ 3 และเลื่อนอัตราค่าจ้างอีก 2 ขั้น ทำให้โจทก์จะต้องได้รับเงินเดือนๆละ 51,410 บาท จำเลยไม่จ่ายค่าจ้างอัตราใหม่ทันที แต่จ่ายค่าจ้างอัตราใหม่ให้ในเดือนธันวาคม 2547 ส่วนที่ค้างจ่างนั้นจำเลยเบิกจ่ายให้เป็นครั้งคราวไม่ครบจำนวนเงินตกเบิกทั้งหมด การเบิกจ่ายเงินเช่นนี้ทำให้โจทก์เสียหาย จำเลยต้องจ่ายเงินค่าจ้างตกเบิกที่ยังคงค้างของเดือนมิถุนายนถึงเดือนพฤศจิกายน 2547 รวม 6 เดือน เป็นเงิน 44,340 บาท นอกจากนี้โจทก์ยังต้องเสียผลประโยชน์จากจากที่จำเลยไม่จ่ายเงินสมทบร้อยละ 10 ของเงินเดือนตกเบิกที่คงค้างโจทก์เป็นเงิน 4,434 บาท เข้ากองทุนสำรองเลี้ยงชีพ โดยคิดเป็นดอกเบี้ยร้อยละ 15 ต่อปี ขอให้บังคับจำเลยชำระดอกเบี้ยของเงินตอบแทนความชอบในการทำงานจำนวน 51,410 บาท ค่าจ้างตกเบิกจำนวน 44,340 บาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 15 ต่อปี นับแต่วันที่ 1 มิถุนายน 2547 และดอกเบี้ยร้อยละ 15 ต่อปี ของต้นเงิน 4,434 บาท นับแต่วันที่ 1 มิถุนายน 2547
จำเลยให้การว่า การจ่ายเงินตอบแทนความชอบในการทำงานล่าช้าเพราะจำเลยปรับปรุงการปฏิบัติงานทางด้านบัญชีและการเงินและไม่มีกฎหมายให้เรียกดอกเบี้ยได้ โจทก์ได้รับเงินเดือนตกเบิกค้างจ่ายไปแล้ว 2 ครั้ง แล้วปฏิเสธไม่ยอมรับอีก การฟ้องเรียกเอาดอกเบี้ยอีกจึงเป็นการใช้สิทธิโดยไม่สุจริต โจทก์ไม่ยอมรับเงินเดือนตกเบิกค้างจ่ายเองจึงทำให้เรียกดอกเบี้ยในเงินสมทบไม่ได้ ขอให้ยกฟ้องจ่ายครั้งเดียวเป็นเงินจำนวน 44,240 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 15 ต่อปี นับแต่วันที่ 28 ธันวาคม 2547 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ ให้จำเลยจ่ายดอกเบี้ยให้โจทก์ในอัตราร้อยละ 15 ต่อปี ของต้นเงินค่าตอบแทนความชอบจำนวน 411,280 บาท นับแต่วันที่ 4 ตุลาคม 2548 จนถึงวันที่ 11 สิงหาคม 2549 กับให้จำเลยจ่ายเงินสมทบให้โจทก์อีกจำนวน 4,424 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันฟ้อง ( ฟ้องวันที่ 11 กันยายน 2549 ) เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยอุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีแรงงานตรวจสำนวนประชุมปรึกษาแล้ว คดีนี้คู่ความแถลงรับข้อเท็จจริงว่า คณะกรรมการจำเลยมีมติเมื่อวันที่ 13 ธันวาคม 2547 เห็นชอบตามมติของคณะรัฐมนตรีที่ให้ปรับอัตราค่าจ้างพนักงานรัฐวิสาหกิจที่ให้มีผลตั้งแต่วันที่ 1 เมษายน 2547 เป็นต้นไป ผู้อำนวยการสำนักงานส่งเสริมพัฒนาพืชสมุนไพรและพืชธัญญาหาร สั่งการเมื่อวันที่ 28 ธันวาคม 2549 ให้ปรับเงินในอัตราใหม่ เมื่อวันที่ 13 พฤษภาคม 2548 ผู้อำนวยการของจำเลยมีคำสั่งให้จ่ายเงินเดือนตกเบิกของเดือนเมษายนและเดือนพฤษภาคม 2547 เมื่อเดือนสิงหาคม 2547 โจทก์ปฏิเสธไม่รับเงินเดือนตกเบิกของเดือนมิถุนายน 2547 โจทก์ยังไม่ได้รับเงินเดือนตกเบิกของเดือนมิถุนายนถึงเดือนพฤศจิกายน 2547 เป็นเงิน 44,340 บาท โจทก์ได้รับเงินเพื่อตอบแทนความชอบในการทำงานเมื่อวันที่ 11 สิงหาคม 2549 เป็นเงิน 411,280 บาท โดยไม่ได้รับดอกเบี้ย แล้วคู่ความแถลงไม่ติดใจสืบพยาน ขอให้ศาลแรงงานภาค 5 วินิจฉัยประเด็นเฉพาะตามที่แถลง รายละเอียดปรากฏตามรายงานกระบวนพิจารณาลงวันที่ 30 พฤศจิกายน 2549 ของศาลแรงงานภาค 5
คดีมีปัญหาตามอุทธรณ์ของจำเลยว่า จำเลยจะต้องรับผิดชำระดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปี ในส่วนของเงินค่าจ้างค้างจ่ายและเงินตอบแทนความชอบในการทำงานตามคำพิพากษาของศาลแรงงานภาค 5 หรือไม่ ในปัญหานี้ศาลแรงงานภาค 5 วินิจฉัยว่าจำเลยต้องเบิกจ่ายเงินเดือนตกเบิกซึ่งเป็นค่าจ้างให้ถูกต้องและต้องเบิกจ่ายให้โจทก์ทั้งหมดในคราวเดียว ซึ่งผู้อำนวยการสำนักงานส่งเสริมพัฒนาพืชสมุนไพรและพืชธัญญาหารมีคำสั่งให้ปรับเงินเดือนในวันที่ 28 ธันวาคม 2547 ซึ่งเป็นวันที่จำเลยจะเบิกจ่ายได้ จำเลยจะต้องเสียดอกเบี้ยตั้งแต่วันดังกล่าว ส่วนเงินเพื่อตอบแทนความชอบในการทำงานเป็นค่าจ้าง จำเลยมีหน้าที่ต้องจ่ายให้โจทก์ภายใน 3 วัน นับแต่วันที่เลิกจ้าง เมื่อจำเลยเลิกจ้างโจทก์วันที่ 1 ตุลาคม 2548 จำเลยต้องเสียดอกเบี้ยนับแต่วันที่ 4 ตุลาคม 2548 โดยประกาศคณะกรรมการแรงงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ เรื่อง มาตรฐานขั้นต่ำของสภาพการจ้างในรัฐวิสาหกิจ ข้อ 7 กำหนดให้นายจ้างต้องเสียดอกเบี้ยให้แก่ลูกจ้างในระหว่างผิดนัดไม่จ่ายค่าจ้าง จำเลยจึงต้องเสียดอกเบี้ย และที่โจทก์ฟ้องเรียกดอกเบี้ยมาในอัตราร้อยละ 15 ต่อปี เห็นว่าเหมาะสมแล้ว โดยจำเลยอุทธรณ์ว่าจำเลยจะต้องรับผิดชำระดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ในกรณีผิดนัดตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 224 เนื่องจากตามพระราชบัญญัติแรงงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ พ.ศ. 2543 และประกาศคณะกรรมการแรงงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ เรื่อง มาตรฐานขั้นต่ำของสภาพการจ้างในรัฐวิสาหกิจ ซึ่งเป็นกฎหมายที่ใช้บังคับแก่รัฐวิสาหกิจโดยเฉพาะไม่ได้กำหนดการคิดคำนวณอัตราดอกเบี้ยเมื่อมีการผิดนัดไว้ เห็นว่า เมื่อจำเลยเป็นรัฐวิสาหกิจตามกฎหมายว่าด้วยแรงงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ จึงไม่อยู่ในบังคับของพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. 2541 แต่ต้องอยู่ภายใต้บังคับของพระราชบัญญัติแรงงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ พ.ศ. 2543 และประกาศคณะกรรมการแรงงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ เรื่อง มาตรฐานขั้นต่ำของสภาพการจ้างในรัฐวิสาหกิจ ซึ่งมิได้มีบทบัญญัติเรื่องอัตราดอกเบี้ยในกรณีผิดนัดไม่จ่ายเงินค่าจ้างค้างจ่ายและเงินเพื่อตอบแทนความชอบในการทำงานเอาไว้ ดังนั้นโจทก์จึงมีสิทธิเรียกดอกเบี้ยในระหว่างผิดนัดจากจำเลยได้เพียงอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 224 วรรคหนึ่ง เท่านั้น ที่ศาลแรงงานภาค 5 วินิจฉัยให้จำเลยรับผิดชำระดอกเบี้ยในระหว่างผิดนัดอัตราร้อยละ 15 ต่อปี ไม่ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกา อุทธรณ์ของจำเลยฟังขึ้น สำหรับเงินเพื่อตอบแทนความชอบในการทำงานที่พนักงานรัฐวิสาหกิจได้รับเนื่องจากออกจากตำแหน่งเพราะเหตุเกษียณอายุ โดยกำหนดจากระยะเวลาปฏิบัติงานในช่วงก่อนเกษียณอายุตามประกาศคณะกรรมการแรงงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ เรื่อง มาตรฐานขั้นต่ำของสภาพการจ้างในรัฐวิสาหกิจ ข้อ 61 ไม่ใช่เงินที่นายจ้างจ่ายให้แก่ลูกจ้างเป็นค่าตอบแทนการทำงานในวันและเวลาทำงานปกติ จึงไม่ใช่ "ค่าจ้าง" ตามข้อ 4 ที่ นายจ้างต้องจ่ายให้แก่ลูกจ้างภายใน 3 วัน นับแต่วันที่เลิกจ้างตามข้อ 44 วรรคสอง ลูกจ้างต้องทวงถามก่อนตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 204 วรรคหนึ่ง โจทก์ทวงถามให้จำเลยชำระเงินดังกล่าวภายในวันที่ 30 พฤศจิกายน 2548 แต่จำเลยชำระให้โจทก์วันที่ 11 สิงหาคม 2549 จำเลยจึงต้องชำระดอกเบี้ยให้โจทก์นับแต่วันที่ 1 ธันวาคม 2548 ถึงวันที่ 10 สิงหาคม 2549 แต่โจทก์ขอคิดดอกเบี้ยถึงวันที่ 1 สิงหาคม 2549 ที่ศาลแรงงานภาค 5 วินิจฉัยว่าเงินเพื่อตอบแทนความชอบในการทำงานเป็นค่าจ้างและให้จำเลยชำระดอกเบี้ยนับแต่วันที่ 4 ตุลาคม 2548 ถึงวันที่ 11 สิงหาคม 2549 นั้น ไม่ชอบ ศาลฎีกาเห็นควรแก้ไขให้ถูกต้อง
อนึ่ง ที่ศาลแรงงานภาค 5 พิพากษาให้จำเลยจ่ายค่าจ้างค้างจ่ายเป็นเงิน 44,240 บาท นั้น ไม่ถูกต้อง เนื่องจากคดีนี้คู่ความแถลงรับข้อเท็จจริงแล้วว่าค่าจ้างค้างจ่ายเป็นเงิน 44,340 บาท กับที่พิพากษาให้จำเลยจ่ายเงินสมทบให้โจทก์อีกเป็นเงิน 4,424 บาท ก็ไม่ถูกต้อง เนื่องจากโจทก์ฟ้องและมีคำขอบังคับให้จำเลยจ่ายผลประโยชน์จากการที่จำเลยไม่จ่ายเงินสมทบส่วนของโจทก์เข้ากองทุนสำรองเลี้ยงชีพ โดยขอคิดเป็นดอกเบี้ย ดังนั้น คำพิพากษาที่ให้จำเลยจ่ายเงินสมทบให้โจทก์จึงเป็นการพิพากษาเกินไปกว่าที่ปรากฏในคำฟ้องและมิใช่เพื่อความเป็นธรรมแก่คู่ความ จึงต้องห้ามตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. 2522 มาตรา 52 ซึ่งปัญหาดังกล่าวข้างต้นเป็นข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน ศาลฎีกาเห็นสมควรยกขึ้นวินิจฉัยตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 142 (5) และมาตรา 246 ประกอบพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. 2522 มาตรา 31
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยชำระค่าจ้างค้างจ่ายเป็นเงิน 44,340 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันที่ 28 ธันวาคม 2547 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ ชำระดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี จากต้นเงินสมทบจำนวน 4,434 บาท นับแต่วันฟ้อง ( ฟ้องวันที่ 11 กันยายน 2549 ) เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ ให้ยกคำพิพากษาศาลแรงงานภาค 5 ที่ให้จำเลยจ่ายเงินสมทบให้โจทก์เป็นเงิน 4,424 บาท