คำพิพากษาฎีกาที่ 1764 - 1797/56
นัดหยุดงานโดยไม่แจ้งเป็นหนังสือให้คู่กรณีพิพาทอีกฝ่ายและไม่แจ้งพนักงานประนอมข้อพิพาทล่วงหน้าอย่างน้อย 24 ชั่วโมง ถือเป็นการหยุดงานไม่ชอบด้วยกฎหมาย และประกาศโจมตีผู้บริหาร เป็นการฝ่าฝืนข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงานกรณีร้ายแรง รายชื่อโจทก์ทั้งหมดปรากฏตามคำพิพากษาศาลแรงงานกลาง
คดีทั้งสามสิบสี่สำนวน ศาลแรงงานกลางสั่งให้รวมพิจารณาเป็นคดีเดียวกัน โดยให้เรียกโจทก์ทั้งสามสิบสี่สำนวนว่า โจทก์ที่ 1 ถึงที่ 34 ตามลำดับ เรียกจำเลยทั้งห้าทุกสำนวนว่า จำเลยว่าที่ 1 ถึงที่ 5 ตามลำดับ
โจทก์ทั้งสามสิบสี่ฟ้องว่า โจทก์ทั้งสามสิบสี่เป็นลูกจ้างของจำเลยที่ 1 โดยมีวันเข้าทำงาน ตำแหน่งหน้าที่ อัตราค่าจ้างสุดท้ายและวันกำหนดจ่ายค่าจ้างปรากฏตามคำฟ้องของโจทก์ในแต่ละสำนวน จำเลยที่ 2 ถึงที่ 5 เป็นกรรมการผู้มีอำนาจลงนามผูกพันจำเลยที่ 1 โดยจำเลยที่ 4 เป็นลูกจ้างของจำเลยที่ 1 มีตำแหน่งเป็นผู้รักษาการผู้จัดการฝ่ายบุคคลมีอำนาจหน้าที่ในการจัดจ้างลูกจ้าง ตลอดจนบริหารงานบุคคลของจำเลยที่ 1 ตามที่ได้รับมอบหมายจากจำเลยที่ 1 ถึงที่ 5 และจำเลยที่ 1 ถึงที่ 5 จะต้องจ่ายเงินพิเศษ (โบนัส) ให้แก่โจทก์ทั้งสามสิบสี่ทุกปีอย่างน้อยเท่ากับอัตราค่าจ้าง 30 วัน ต่อมาเมื่อวันที่ 13 พฤศจิกายน 2549 จำเลยที่ 1 โดยจำเลยที่ 4 ทำหนังสือเลิกจ้างโจทก์ทั้งสามสิบสี่โดยอ้างเหตุว่าร่วมกันหยุดงานละทิ้งหน้าที่ออกจากสถานที่ทำงานมาร่วมชุมนุมหน้าบริษัทจำเลยที่ 1 ทำการยุยงชักชวนไม่ให้เพื่อนพนักงานด้วยกันเข้าทำงาน มีส่วนร่วมเขียนป้ายประกาศแสดงข้อความอันเป็นเท็จ ใช้เครื่องขยายเสียงโจมตี จำเลยที่ 1 ถึงที่ 5 ซึ่งไม่เป็นความจริง ทำให้โจทก์ทั้งสามสิบสี่ได้รับความเสียหายการเลิกจ้างดังกล่าวเป็นการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรม ไม่บอกกล่าวล่วงหน้า ไม่จ่ายค่าชดเชยทั้งยังค้างจ่ายค่าจ้างและค้างชำระเงินกองทุนสำรองเลี้ยงชีพแก่โจทก์ทั้งสามสิบสี่ ขอให้บังคับจำเลยทั้งห้าจ่ายค่าจ้างค้าง สินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้า ค่าชดเชย ค่าเสียหายจากการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรม และเงินกองทุนสำรองเลี้ยงชีพที่ค้างชำระ พร้อมดอกเบี้ยแก่โจทก์ทั้งสามสิบสี่ตามคำขอท้ายฟ้องของโจทก์แต่ละสำนวน
ชั้นตรวจคำฟ้องศาลแรงงานกลางมีคำสั่งให้รับฟ้องโจทก์ทั้งสามสิบสี่เฉพาะจำเลยที่ 1 ส่วนจำเลยที่ 2 ถึงที่ 5 ให้ยกฟ้อง
จำเลยที่ 1 ให้การและฟ้องแย้งว่า จำเลยที่ 1 ประกอบกิจการโรงงานผลิตและจำหน่ายยางรถจักรยาน เมื่อวันที่ 4 พฤศจิกายน 2547 จำเลยที่ 1 จัดทำข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้างกับสหภาพแรงงานไลอ้อนไทร์สแห่งประเทศไทย โดยให้มีผลใช้บังคับ 2 ปี เริ่มตั้งแต่วันที่ 1 ธันวาคม 2547 ถึงวันที่ 30 พฤศจิกายน 2549 ต่อมาวันที่ 2 ตุลาคม 2549 สหภาพแรงงานไลอ้อนไทร์สแห่งประเทศไทยยื่นข้อเรียกร้องขอแก้ไขเปลี่ยนแปลงสภาพการจ้างต่อจำเลยที่ 1 จำนวน 15 ข้อ และตั้งผู้แทนเจรจาฝ่ายสหภาพแรงงานไลอ้อนไทร์สแห่งประเทศไทยจำนวน 7 คน จำเลยที่ 1 นัดเจรจาข้อเรียกร้องวันที่ 4 ตุลาคม 2549 และตั้งผู้แทนเจรจาฝ่ายบริษัทจำเลยที่ 1 จำนวน 5 คน มีการเจรจา 2 ครั้ง แต่ไม่สามารถตกลงกันได้ พนักงานประนอมข้อพิพาทแรงงานนัดเจรจาไกล่เกลี่ยข้อพิพาทแรงงานต่อมาอีกหลายครั้งแต่ตกลงกันไม่ได้ ครั้งสุดท้ายนัดเจรจากันในวันที่ 8 พฤศจิกายน 2549 ก่อนถึงวันนัดในวันที่ 2 พฤศจิกายน 2549 จำเลยที่ 1 ยื่นข้อเรียกร้องต่อสหภาพแรงงานไลอ้อนไทร์สแห่งประเทศไทย เพื่อขอเปลี่ยนแปลงสภาพการจ้างและได้ตั้งผู้แทนเจรจาข้อเรียกร้องของจำเลยที่ 1 จำนวน 5 คน แต่สหภาพแรงานไลอ้อนไทร์สแห่งประเทศไทย ไม่ได้แต่งตั้งผู้แทนเจรจาและเจรจาภายใน 3 วัน จึงถือเป็นข้อพิพาทแรงงานเกิดขึ้น ซึ่งจำเลยที่ 1 ได้แจ้งข้อพิพาทแรงงานต่อพนักงานประนอมข้อพิพาทแรงงานเมื่อวันที่ 5 พฤศจิกายน 2549 ต่อมาเมื่อวันที่ 6 พฤศจิกายน 2549 พนักงานประนอมข้อพิพาทแรงงานนัดเจรจาข้อพิพาทแรงงานข้อเรียกร้องของจำเลยที่ 1 ในวันที่ 8 พฤศจิกายน 2549 ถึงวันนัดผู้แทนเจรจาฝ่ายจำเลยที่ 1 กับสหภาพแรงงานไลอ้อนไทร์สแห่งประเทศไทยมีการเจรจาข้อเรียกร้องของทั้งสองฝ่ายโดยสามารถตกลงในข้อเรียกร้องของฝ่ายสหภาพแรงงานไลอ้อนไทร์สแห่งประเทศไทยได้และจำเลยที่ 1 ตกลงถอนข้อเรียกร้องของฝ่ายจำเลยที่ 1 โดยพนักงานประนอมข้อพิพาทแรงงานได้มีการจัดทำบันทึกข้อตกลงแล้ว แต่ปรากฏว่าผู้แทนฝ่ายสหภาพแรงงานไลอ้อนไทร์สแห่งประเทศไทยยอมลงชื่อจำนวน 3 คน อีก 4 คน เปลี่ยนใจไม่ยอมลงชื่อส่งผลให้ข้อเรียกร้องของฝ่ายสหภาพแรงงานไลอ้อนไทร์สแห่งประเทศไทย และข้อเรียกร้องของจำเลยที่ 1 ไม่สามารถตกลงกันได้ พนักงานประนอมข้อพิพาทแรงงานจึงได้นัดเจรจาข้อเรียกร้องของทั้งสองฝ่ายอีกในวันที่ 15 พฤศจิกายน 2549 ทั้งนี้ พนักงานประนอมข้อพิพาทแรงงานได้แจ้งและความเข้าใจกับผู้แทนเจรจาทั้งสองฝ่ายโดยบันทึกไว้ในบันทึกการเจรจาลงวันที่ 8 พฤศจิกายน 2549 ข้อ 5 ว่าพนักงานประนอมข้อพิพาทแรงงานได้ชี้แจงผู้แทนทั้งสองฝ่ายทราบข้อกฎหมายเกี่ยวกับสิทธิหน้าที่เกี่ยวกับการขอมตินัดหยุดงานของสหภาพแรงงานไลอ้อนไทร์สแห่งประเทศไทยดังนี้
5.1 บริษัท (จำเลยที่ 1) และสหภาพแรงงานไลอ้อนไทร์สแห่งประเทศไทยไม่อาจนำเอาข้อพิพาทแรงงานที่ไม่สามารถตกลงกันได้นี้มาใช้สิทธิปิดงานหรือนัดหยุดงานก่อนข้อตกลงเกี่ยวกับสหภาพการจ้างเดิมครบอายุในวันที่ 30 พฤศจิกายน 2549
5.2 ผู้ฝ่าฝืนปิดงานหรือนัดหยุดงานก่อนวันที่ 1 ธันวาคม 2549 ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 6 เดือน หรือปรับไม่เกิน 10,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ (ตามมาตรา 139 แห่งพระราชบัญญัติแรงงานสัมพันธ์ พ.ศ. 2518)
บันทึกการเจรจาดังกล่าวผู้แทนฝ่ายสหภาพแรงงานไลอ้อนไทร์สแห่งประเทศไทยได้ลงนามรับทราบ แต่หลังจากทำบันทึกการเจรจาดังกล่าวแล้วโจทก์ทั้งสามสิบสี่และพวกซึ่งเป็นลูกจ้างของจำเลยที่ 1 ได้ร่วมกันหยุดงานหรือผละงาน และชักชวนสนับสนุนยุยงส่งเสริมให้ลูกจ้างของจำเลยที่ 1 หยุดงานตั้งแต่วันที่ 9 ,10 และ 13 พฤศจิกายน 2549 (วันที่ 11 และ 12 พฤศจิกายน 2549 เป็นวันหยุดประจำสัปดาห์) โดยมิได้แจ้งเป็นหนังสือให้พนักงานประนอมข้อพิพาทแรงงานและจำเลยที่ 1 ทราบไม่น้อยกว่า 24 ชม. ตามกฎหมาย เป็นการหยุดงานหรือนัดหยุดงานในระหว่างข้อตกลงเดิมมีผลบังคับใช้อยู่ เป็นการกระทำไม่ชอบด้วยพระราชบัญญัติแรงงานสัมพันธ์ พ.ศ.2518 มาตรา 31 และมาตรา 34 ทำให้จำเลยที่ 1 ได้รับความเสียหาย ในการหยุดงานดังกล่าวผู้ชุมนุมได้เขียนป้ายประกาศ แสดงข้อความอันเป็นเท็จ ใช้เครื่องขยายเสียงกล่าวโจมตีผู้บริหารของจำเลยที่ 1 การกระทำของโจทก์ทั้งสามสิบสี่กับพวกถือเป็นการกระทำผิดพระราชบัญญัติแรงงานสัมพันธ์ พ.ศ.2518 มาตรา 123 ซึ่งเป็นการกระทำผิดอาญาโดยเจตนาแก่นายจ้าง จงใจทำให้นายจ้างได้รับความเสียหาย ฝ่าฝืนข้อบังคับการทำงานกรณีร้ายแรง ละทิ้งหน้าที่เป็นเวลาสามวันทำงานติดต่อกันไม่ว่าจะมีวันหยุดคั่นหรือไม่ก็ตามโดยไม่มีเหตุสมควร อันเป็นการฝ่าฝืนพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ.2541 ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 583 จำเลยที่ 1 จึงได้เลิกจ้างโจทก์ทั้งสามสิบสี่กับพวกรวม 399 คน ในตอนเย็นวันที่ 13 พฤศจิกายน 2549 โดยให้มีผลการเลิกจ้างวันที่ 14 พฤศจิกายน 2549 ซึ่งการเลิกจ้างดังกล่าวถือเป็นการกระทำโดยชอบด้วยกฎหมายแล้ว จำเลยที่ 1 เลิกจ้างโจทก์ทั้งสามสิบสี่เมื่อวันที่ 13 พฤศจิกายน 2549 และนับแต่วันที่ 14 พฤศจิกายน 2549 โจทก์ทั้งสามสิบสี่ก็ไม่ได้ทำงานให้ จำเลยที่ 1 จึงไม่มีหน้าที่ต้องจ่ายค่าจ้างนับแต่วันที่ 14 พฤศจิกายน 2549 ถึงเดือนพฤษภาคม 2550 สำหรับค่าจ้างตั้งแต่วันที่ 1 พฤศจิกายน 2549 ถึงวันที่ เลิกจ้าง จำเลยที่ 1 ได้จ่ายให้โจทก์ทั้งสามสิบสี่แล้ว ในส่วนเงินค้างชำระกองทุนสำรองเลี้ยงชีพตามคำฟ้องนั้น โจทก์ทั้งสามสิบสี่ไม่มีอำนาจฟ้องให้จำเลยที่ 1 รับผิดได้เนื่องจากในสถานประกอบการของจำเลยที่ 1 ได้จัดให้มีกองทุนสำรองเลี้ยงชีพชื่อว่ากองทุนสำรองเลี้ยงชีพบริษัทไลอ้อนไทร์ส (ประเทศไทย) จำกัด ซึ่งจดทะเบียนแล้วและเป็นนิติบุคคลต่างหากจากจำเลยที่ 1 ตามพระราชบัญญัติกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ พ.ศ.2530 ตามข้อบังคับกองทุนสำรองเลี้ยงชีพนั้นกองทุนสำรองเลี้ยงชีพจะจ่ายเงินสะสมของลูกจ้างและเงินสมทบของจำเลยที่ 1 ให้แก่พนักงานเว้นแต่พนักงานได้พ้นสภาพการเป็นพนักงานของจำเลยที่ 1 เนื่องจากได้กระทำผิดวินัยร้ายแรงถึงไล่ออก กองทุนสำรองเลี้ยงชีพจะไม่จ่ายเงินสมทบในส่วนของจำเลยที่ 1 ให้ การกระทำของโจทก์ทั้งสามสิบสี่ที่กระทำต่อจำเลยที่ 1 ตามที่ได้ให้การไว้นี้ทำให้จำเลยที่ 1 ได้รับความเสียหายโดยที่โจทก์ทั้งสามสิบสี่ได้ร่วมกันหยุดงานในวันที่ 9 ,10 และ 13 พฤศจิกายน 2549 ทำให้จำเลยที่ 1 ไม่สามารถผลิตสินค้าได้ตามเป้าหมายที่กำหนด การผลิตสินค้าของจำเลยที่ 1 ลดลงเป็นวันละ 1,567,051.20 บาท รวม 3 วัน เป็นเงิน 4,701,153.60 บาท และทำให้จำเลยที่ 1 ไม่สามารถส่งสินค้าได้ทันกำหนด รวมทั้งมีการยกเลิกการสั่งซื้อสินค้าของจำเลยที่ 1 ทำให้จำเลยที่ 1 เสียหายต่อเนื่องจำนวน 61 ล้านบาท การกระทำของโจทก์ทั้งสามสิบสี่เป็นการกระทำผิดสัญญาซึ่งโจทก์ทั้งสามสิบสี่มีหน้าที่ต้องร่วมกันชดใช้เงินดังกล่าวคืนแก่จำเลยที่ 1 ขอให้ยกฟ้องโจทก์ทั้งสามสิบสี่และขอให้บังคับโจทก์ทั้งสามสิบสี่ร่วมกันชดใช้เงินจำนวน 10,000,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันฟ้องแย้งเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ
โจทก์ทั้งสามสิบสี่ให้การแก้ฟ้องแย้งว่า โจทก์ทั้งสามสิบสี่เชื่อโดยสุจริตว่ามีสิทธิชักชวนกันนัดหยุดงานได้โดยชอบด้วยกฎหมายและได้มีการชุมนุมกันโดยสงบในการนัดหยุดงานบริเวณนอกเขตโรงงาน ไม่เป็นการฝ่าฝืนกฎหมาย โจทก์ทั้งสามสิบสี่ได้รับทราบจากผู้แทนสหภาพแรงงานไลอ้อนไทร์สแห่งประเทศไทยว่าได้แจ้งข้อพิพาทเป็นหนังสือให้จำเลยที่ 1 ทราบไม่น้อยกว่า 24 ชม. ตามกฎหมาย การกระทำของโจทก์ทั้งสามสิบสี่จึงไม่เป็นความผิด โจทก์ทั้งสามสิบสี่ไม่เคยเขียนป้ายประกาศแสดงข้อความหรือใช้เครื่องขยายเสียงกล่าวโจมตีผู้บริหารของจำเลยที่ 1 ที่จำเลยที่ 1 อ้างว่าได้รับความเสียหายจากการลดการผลิตวันละ 1,567,051.20 บาท รวม 3 วัน เป็นเงิน 4,701,153.60 บาท เป็นค่าเสียหายเกินส่วนเพราะทั้งสามวันมีพนักงานทำงานเกินครึ่งหนึ่งของโรงงาน มีพนักงานบางส่วนเท่านั้นที่ร่วมชุมนุมและการชุมนุมนัดหยุดงานเป็นเพียงแค่หยุดงานแบบเปลี่ยนกันทำงานเปลี่ยนกันหยุดงานเพื่อรอฟังผลการเจรจา ยอดการผลิตสินค้าของจำเลยที่ 1 ไม่ได้ลดลง ลูกค้าจำเลยที่ 1 ไม่ได้ลดการสั่งซื้อ แต่เนื่องจากเศรษฐกิจตกต่ำและการตลาดของจำเลยที่ 1 เอง ค่าเสียหายไม่ถึง 61 ล้านบาท เนื่องจากจำเลยที่ 1 มีสินค้าในสต๊อกโกดังและคลังสินค้าเตรียมพร้อมไว้แล้ว การที่จำเลยที่ 1 คิดค่าเสียหาย 10,000,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยจึงเป็นการคิดทุนทรัพย์ที่สูงเกินส่วนและไม่มีเหตุเรียกร้องได้ ขอให้ยกฟ้องแย้ง
ศาลแรงงานกลางพิจารณาแล้ว พิพากษายกฟ้องโจทก์ทั้งสามสิบสี่ และยกฟ้องแย้งจำเลยที่ 1
โจทก์ทั้งสามสิบสี่อุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนคดีแรงงานตรวจสำนวนประชุมปรึกษาแล้ว ศาลแรงงานกลางฟังข้อเท็จจริงและวินิจฉัยว่า โจทก์ทั้งสามสิบสี่เป็นลูกจ้างของจำเลยที่ 1 มีวันเข้าทำงานตำแหน่งหน้าที่ และอัตราค่าจ้างสุดท้ายก่อนถูกเลิกจ้างตามบัญชีรายชื่อ ตำแหน่งงานวันเข้าทำงานและอัตราค่าจ้างสุดท้ายเอกสารหมาย ล.1 จำเลยที่ 1 เลิกจ้างโจทก์ทั้งสามสิบสี่เมื่อวันที่ 13 พฤศจิกายน 2549 (มีผลเป็นการเลิกจ้างตั้งแต่วันที่ 14 พฤศจิกายน 2549) เมื่อปี 2547 จำเลยที่ 1 มีข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้างกับสหภาพแรงงานไลอ้อนไทร์สแห่งประเทศไทยมีกำหนดระยะเวลา 2 ปี ซึ่งจะครบกำหนดในวันที่ 30 พฤศจิกายน 2549 เมื่อวันที่ 2 ตุลาคม 2549 และวันที่ 2 พฤศจิกายน 2549 สหภาพแรงงานไลอ้อนไทร์สแห่งประเทศไทยกับจำเลยที่ 1 มีการยื่นข้อเรียกร้องต่อกันโดยมีการเจรจากันหลายครั้งแต่ไม่สามารถตกลงกันได้ ครั้งสุดท้ายเมื่อวันที่ 8 พฤศจิกายน 2549 โดยพนักงานประนอมข้อพิพาทแรงงานบันทึกการเจรจาไว้ตามเอกสารหมาย ล.18 ว่าจำเลยที่ 1 และสหภาพแรงงานไลอ้อนไทร์สแห่งประเทศไทยไม่อาจนำเอาข้อพิพาทแรงงานที่ไม่สามารถตกลงกันได้มาใช้สิทธิปิดงานหรือนัดหยุดงานก่อนข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้างเดิมครบอายุในวันที่ 30 พฤศจิกายน 2549 ผู้ฝ่าฝืนปิดงานหรือนัดหยุดงานก่อนวันที่ 1 ธันวาคม 2549 ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 6 เดือน หรือปรับไม่เกิน 10,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ ตามมาตรา 139 แห่งพระราชบัญญัติแรงงานสัมพันธ์ พ.ศ. 2518 แต่ในวันที่ 9 ,10 และ 13 พฤศจิกายน 2549 โจทก์ที่ 1 ถึงที่ 11 และโจทก์ที่ 13 ถึงที่ 33 กับพวกร่วมชุมนุมและนัดหยุดงานหน้าบริษัทจำเลยที่ 1 จำเลยที่ 1 ประกาศแจ้งให้ผู้ร่วมชุมนุมหยุดงานกลับเข้าทำงาน แต่โจทก์ที่ 1 ถึงที่ 11 และโจทก์ที่ 13 ถึงที่ 33 กับพวกที่ร่วมชุมนุมหน้าบริษัทจำเลยที่ 1 ก็ไม่ได้กลับเข้าไปทำงาน และการชุมนุมนัดหยุดงานดังกล่าวไม่ปรากฏว่าได้มีการแจ้งเป็นหนังสือให้จำเลยที่ 1 และพนักงานประนอมข้อพิพาทแรงงานทราบล่วงหน้าเป็นเวลาอย่างน้อย 24 ชม. นับแต่วันที่ได้รับแจ้ง ระหว่างที่มีการชุมนุมนัดหยุดงานเมื่อวันที่ 9 ,10 และ 13 พฤศจิกายน 2549 โจทก์ที่ 1 ถึงที่ 11 และโจทก์ที่ 13 ถึงที่ 33 กับพวกใช้เครื่องขยายเสียงและปิดป้ายประกาศลักษณะโจมตีผู้บริหารจำเลยที่ 1 ปรากฏตามภาพถ่ายเอกสารหมาย ล.25 และภาพวีดิทัศน์หมาย วถ.1 อันเป็นการจงใจให้จำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นนายจ้างได้รับความเสียหาย เป็นการฝ่าฝืนข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงานของจำเลยที่ 1 เป็นกรณีร้ายแรง ส่วนโจทก์ที่ 12 และที่ 34 ได้ขาดงานหรือละทิ้งหน้าที่เป็นเวลา 3 วันทำงาน ติดต่อกันไม่ว่าจะมีวันหยุดคั่นหรือไม่ก็ตามโดยไม่มีเหตุอันควร จำเลยที่ 1 เลิกจ้างโจทก์ทั้งสามสิบสี่จากสาเหตุดังกล่าวจึงไม่เป็นการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรม จำเลยที่ 1 จ่ายค่าจ้างตั้งแต่วันที่ 1 พฤศจิกายน 2549 ถึงวันที่ 13 พฤศจิกายน 2549 ให้แก่โจทก์ทั้งสามสิบสี่ครบถ้วนแล้ว กองทุนสำรองเลี้ยงชีพบริษัทไลอ้อนไทร์ส ประเทศไทย) จำกัด เป็นกองทุนที่ได้จดทะเบียนแล้วมีสภาพเป็นนิติบุคคลต่างหากจากจำเลยที่ 1 โจทก์ทั้งสามสิบสี่จึงไม่มีสิทธิเรียกร้องเงินดังกล่าวจากจำเลยที่ 1 ได้ ในช่วงที่มีการชุมนุมและหยุดงานระหว่างวันที่ 9 พฤศจิกายน 2549 ถึงวันที่ 13 พฤศจิกายน 2549 จำเลยที่ 1 มิได้หยุดการผลิตสินค้าโดยสิ้นเชิง ยังคงมีการเดินเครื่องจักรผลิตสินค้าต่อไป จำเลยที่ 1 จึงไม่ได้รับความเสียหายจากการชุมนุมหยุดงานของโจทก์ทั้งสามสิบสี่
สำหรับอุทธรณ์ของโจทก์ทั้งสามสิบสี่ข้อ 2 ที่ว่าในวันที่ 8 พฤศจิกายน 2549 ประตูบริษัทของจำเลยที่ 1 ปิดตาย พนักงานเข้าออกไม่ได้ วันที่ 9 พฤศจิกายน 2549 มีพนักงานประสงค์จะเข้าทำงานแต่จำเลยที่ 1 ไม่ให้เข้าทำงาน วันที่ 11 และ 12 พฤศจิกายน 2549 ไม่มีพนักงานมาชุมนุมหน้าบริษัท ต่อมาวันที่ 13 พฤศจิกายน 2549 มีพนักงานประสงค์จะเข้าทำงานแต่เข้าทำงานไม่ได้ การกระทำของจำเลยที่ 1 เป็นการปิดงานโดยมิชอบด้วยกฎหมาย โจทก์ทั้งสามสิบสี่จึงไม่ได้นัดหยุดงานนั้น เมื่อศาลแรงงานกลางฟังข้อเท็จจริงยุติว่าโจทก์ที่ 1 ถึงที่ 11 และโจทก์ที่ 13 ถึงที่ 33 กับพวกได้ร่วมชุมนุมและนัดหยุดงานหน้าบริษัทจำเลยที่ 1 ในวันที่ 9 ,10 และ 13 พฤศจิกายน 2549 จำเลยที่ 1 ประกาศแจ้งให้ผู้ร่วมชุมนุมกลับเข้าทำงานแล้ว แต่โจทก์ที่ 1 ถึงที่ 11 และโจทก์ที่ 13 ถึงที่ 33 ไม่กลับเข้าไปทำงาน ส่วนโจทก์ที่ 12 และที่ 34 ไม่เข้าทำงานในวันที่ 9 ,10 และ 13 พฤศจิกายน 2549 จึงเป็นการละทิ้งหน้าที่เป็นเวลา 3 วันทำงานติดต่อกัน อุทธรณ์ของโจทก์ทั้งสามสิบสี่ข้อนี้จึงเป็นการโต้แย้งดุลพินิจในการรับฟังพยานหลักฐานของศาลแรงงานกลาง เป็นอุทธรณ์ในข้อเท็จจริง ส่วนอุทธรณ์ของโจทก์ทั้งสามสิบสี่ข้ออื่น ๆ เป็นอุทธรณ์ที่เกี่ยวเนื่องกับอุทธรณ์ข้อ 2 หรือ เป็นอุทธรณ์ที่ต้องอาศัยผลของการวินิจฉัยอุทธรณ์ข้อ 2 ถือได้ว่าเป็นอุทธรณ์ในข้อเท็จจริงเช่นเดียวกัน ต้องห้ามมิให้อุทธรณ์ตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. 2522 มาตรา 54 วรรคหนึ่ง ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
พิพากษายกอุทธรณ์ของโจทก์ทั้งสามสิบสี่.