คำพิพากษาฎีกาที่ 18950 - 18951/55
ลูกจ้างตกลงชดใช้ค่าเสียหายแก่นายจ้างถือเป็นการตกลงประนีประนอมยอมความกัน มีผลบังคับใช้ได้ตามนั้น ศาลรับฟังพยานหลักฐานอื่นขัดต่อสัญญาดังกล่าวไม่ได้ ถือว่าวินิจฉัยขัดต่อพยานหลักฐานในสำนวน
คดีทั้งสองสำนวนนี้ศาลแรงงานกลางสั่งให้รวมพิจารณาเป็นคดีเดียวกัน โดยให้เรียกโจทก์ตามลำดับสำนวนว่าโจทก์ที่ 1 ที่ 2 และเรียกจำเลยทุกสำนวนว่าจำเลย
โจทก์ทั้งสองสำนวนฟ้องและแก้ไขคำฟ้องว่า เมื่อวันที่ 19 มิถุนายน 2543 และวันที่ 19 กรกฎาคม 2543 ตามลำดับ จำเลยจ้างโจทก์ทั้งสองเข้าทำงานเป็นลูกจ้างโจทก์ที่ 1 มีตำแหน่งสุดท้ายเป็นผู้จัดการคลังสินค้า โจทก์ที่ 2 มีตำแหน่งสุดท้ายเป็นเช็คเกอร์ โจทก์ที่ 1 ได้รับค่าจ้างสุดท้ายเดือนละ 50,000 บาท และค่าน้ำมันรถยนต์เดือนละ 2,500 บาท รวมเป็นเงิน 52,500 บาท โจทก์ที่ 2 ได้รับค่าจ้างสุดท้ายเดือนละ 10,990 บาท กำหนดจ่ายค่าจ้างทุกวันสิ้นเดือน ต่อมาเมื่อวันที่ 31 พฤษภาคม 2548 จำเลยเลิกจ้างโจทก์ทั้งสองและพนักงานคนอื่นในแผนกเดียวกันอีกรวม 5 คน โดยไม่มีความผิด และไม่ได้บอกกล่าวล่วงหน้าตามกฎหมายโดยจำเลยเพียงกล่าวอ้างว่าจากการตรวจเช็คสต็อกสินค้าของฝ่ายบัญชี มีสินค้าสูญหายไปจำนวนมาก โดยไม่ยอมจ่ายค่าชดเชย สินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้า 30 วัน ให้แก่โจทก์ทั้งสอง โจทก์ที่ 1 ทำงานกับจำเลยมาเป็นเวลา 4 ปี 11 เดือน 11 วัน โจทก์ที่ 2 ทำงานกับจำเลยมาเป็นเวลา 4 ปี 10 เดือน 11 วัน ดังนั้นโจทก์ทั้งสองจึงมีสิทธิได้รับค่าชดเชยจำนวน 180 วัน โจทก์ที่ 1 คิดเป็นเงิน 315,000 บาท โจทก์ที่ 2 คิดเป็นเงิน 65,940 บาท และสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้า 30 วัน โจทก์ที่ 1 คิดเป็นเงิน 52,500 บาท โจทก์ที่ 2 คิดเป็นเงิน 10,990 บาท นอกจากนี้จำเลยได้หักค่าสินค้าสูญหายจากเงินเดือนประจำเดือนพฤษภาคม 2548 ของโจทก์ที่ 1 ไปโดยมิชอบอีกเป็นเงิน 27,006 บาท การที่จำเลยเลิกจ้างโจทก์ทั้งสองในครั้งนี้เป็นการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรมแก่โจทก์ทั้งสอง เนื่องจากการตรวจสอบของฝ่ายบัญชียังไม่มีหลักฐานยืนยันว่าสินค้าหายไปจริงหรือไม่ และหากหายไปจริงก็ยังไม่ทราบว่าใครเป็นผู้กระทำความผิดหรือลักไป เนื่องจากมีหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอยู่หลายหน่วยงาน การที่จำเลยไล่โจทก์ทั้งสองออกจากงานทันทีโดยไม่สอบสวนข้อเท็จจริงให้ได้ก่อนทำให้โจทก์ทั้งสองได้รับความเสียหาย โจทก์ทั้งสองประสงค์จะทำงานกับจำเลยต่อไปและยังสามารถทำงานร่วมกับจำเลยได้ ขอให้บังคับจำเลยรับโจทก์ทั้งสองเข้าทำงานในตำแหน่งเดิมหรือไม่ต่ำกว่าตำแหน่งเดิม อัตราค่าจ้างและสวัสดิการเท่าเดิม พร้อมทั้งนับอายุงานต่อเนื่องเสมือนไม่มีการเลิกจ้าง หากจำเลยไม่สามารถรับโจทก์ทั้งสองกลับเข้าทำงานตามเดิมได้ก็ขอให้จำเลยชดใช้ค่าเสียหายจากการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรมเป็นเงิน 1,260,000 บาท แก่โจทก์ที่ 1 เป็นเงิน 263,760 บาท แก่โจทก์ที่ 2 จ่ายสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้าเป็นเงิน 52,500 บาท แก่โจทก์ที่ 1 เป็นเงิน 10,990 บาท แก่โจทก์ที่ 2 พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันเลิกจ้างเป็นต้นจนกว่าจะชำระเสร็จจ่ายค่าจ้างจำนวน 27,006 บาท ค่าชดเชยจำนวน 315,000 บาท แก่โจทก์ที่ 1 ค่าชดเชยจำนวน 65,940 บาท แก่โจทก์ที่ 2 พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปี และเงินเพิ่มร้อยละ 15 ทุกๆ 7 วัน ตามพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. 2541 มาตรา 9 นับแต่วันเลิกจ้างจนกว่าจะชำระเสร็จ และให้จำเลยจ่ายค่าเสียหายจากการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรมจำนวน 1,260,000 บาท แก่โจทก์ที่ 1 จำนวน 263,760 บาท แก่โจทก์ที่ 2 พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับจากวันเลิกจ้างเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ
จำเลยทั้งสองสำนวนให้การและฟ้องแย้งโจทก์ที่ 1 ว่า จำเลยยอมรับว่าโจทก์ที่ 1 เป็นพนักงานของจำเลยทำงานตำแหน่งสุดท้ายเป็นผู้จัดการคลังสินค้า อัตราค่าจ้างเดือนละ 50,000 บาท ค่าน้ำมันรถตามจริง แต่ไม่เกินเดือนละ 2,500 บาท ค่าน้ำมันรถจึงไม่ใช่ค่าจ้าง โจทก์ที่ 2 เป็นพนักงานของจำเลยทำงานในตำแหน่งเช็คเกอร์อัตราค่าจ้างเดือนละ 10,990 บาท จำเลยมีหนังสือบอกเลิกจ้างโจทก์ทั้งสองเมื่อวันที่ 31 พฤษภาคม 2548 เลิกจ้างโจทก์ที่ 1 เพราะโจทก์ 1 กระทำโดยประมาทเลินเล่อเป็นเหตุให้จำเลยได้รับความเสียหายอย่างร้ายแรง และโจทก์ที่ 2 ทุจริตต่อหน้าที่หรือกระทำความผิดอาญาโดยเจตนาแก่จำเลย จำเลยจึงไม่ต้องจ่ายค่าชดเชยสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้าให้แก่โจทก์ทั้งสอง และไม่ใช่การเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรม ต่อมาวันที่ 16 พฤษภาคม 2548 โจทก์ที่ 1 ทำหนังสือยินยอมใช้เงินค่าเสียหาย โดยโจทก์ที่ 1 ยอมรับผิดร้อยละ 25 ของราคา 1,080,235 บาท คิดเป็นเงิน 270,058.75 บาท โดยขอผ่อนชำระงวดละ 27,006 บาท เริ่มปลายเดือนพฤษภาคม 2548 ไปจนกว่าจะครบ หากผิดนัดงวดหนึ่งงวดใดให้ถือว่าผิดนัดงวดถัดไปทั้งหมดยอมให้จำเลยดำเนินการได้ทันทีและจำเลยได้หักเงินเดือนโจทก์ที่ 1 งวดแรกเป็นเงิน 27,006 บาท คงเหลือ 243,052.75 บาท เนื่องจากโจทก์ที่ 1 ถูกไล่ออกจากงาน โจทก์ที่ 1 จึงมิได้ผ่อนชำระเงินในงวดถัดไป จำเลยจึงได้มีหนังสือแจ้งให้โจทก์ที่ 1 ชำระเงิน 243,052.75 บาท ให้เสร็จภายใน 7 วัน นับแต่วันที่ได้รับหนังสือทวงถาม แต่โจทก์ที่ 1 ไม่ยอมชำระ ขอให้ยกฟ้อง และบังคับโจทก์ที่ 1 ชดใช้ราคาค่าสินค้าให้จำเลยเป็นเงิน 243,052.75 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันผิดนัดไปจนกว่าโจทก์ที่ 1 จะใช้เงินเสร็จแก่จำเลย
โจทก์ที่ 1 ให้การแก้ฟ้องแย้งว่า สินค้าที่สูญหายมิได้มีมูลค่าถึง 1,080,235 บาท ความจริงราคาไม่เกิน 200,000 บาท จำเลยอาศัยความเป็นนายจ้างฉ้อฉลหลอกหลวงบังคับให้โจทก์ที่ 1 กับพวกทำหนังสือยินยอมชดใช้ค่าเสียหาย โดยหลอกลวงว่าเรื่องจะได้จบลง ค่อยๆ หักเงินเดือนไปแล้วทำงานกันต่อไปเหมือนเดิม โจทก์ที่ 1 หลงเชื่อจึงได้ลงลายมือชื่อในหนังสือฉบับดังกล่าว ซึ่งจำเลยได้ตระเตรียมจัดทำขึ้นก่อนล่วงหน้าแล้วโดยเจตนานำหนังสือนั้นมาเป็นเหตุเลิกจ้างโจทก์ที่ 1 ในภายหลัง ซึ่งหากโจทก์ที่ 1 ทราบเจตนาที่แท้จริงของจำเลยก็จะไม่ลงชื่อเนื่องจากไม่เป็นความจริง เอกสารดังกล่าวจึงเป็นโมฆะใช้บังคับกันไม่ได้ ซึ่งโจทก์ที่ 1 ได้มอบให้ทนายความมีหนังสือบอกล้างนิติกรรมไปยังจำเลยแล้ว จำเลยจึงไม่อาจนำหนังสือยินยอมชดใช้ค่าเสียหายเป็นเหตุแห่การเลิกจ้างและฟ้องแย้ง ไม่มีสิทธิหักเงินเดือนโจทก์ที่ 1 งวดแรกเป็นเงิน 27,006 บาท ขอให้ยกฟ้องแย้ง
ศาลแรงงานกลางพิจารณาแล้ว พิพากษายกฟ้องโจทก์ทั้งสอง ให้โจทก์ที่ 1 ชำระเงินจำนวน 56,697.64 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันที่ 13 กรกฎาคม 2548 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่จำเลย คำขอนอกจากนี้ให้ยก
โจทก์ทั้งสองและจำเลยอุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีแรงงานตรวจสำนวนประชุมปรึกษาแล้ว ศาลแรงงานกลางฟังข้อเท็จจริงว่า เมื่อวันที่ 19 มิถุนายน 2543 และวันที่ 19 กรกฎาคม 2543 ตามลำดับจำเลยจ้างโจทก์ทั้งสองเข้าทำงานเป็นลูกจ้าง โจทก์ที่ 1 มีตำแหน่งสุดท้ายเป็นผู้จัดการคลังสินค้า ได้รับค่าจ้างสุดท้ายเดือนละ 50,000 บาท และมีสิทธิเบิกค่าน้ำมันรถเดือนละ 2,500 บาท ตามใบเบิกค่าพาหนะเอกสารหมาย ล.3 โจทก์ที่ 2 มีตำแหน่งสุดท้ายเป็นเช็คเกอร์ ได้รับค่าจ้างสุดท้ายเดือนละ 10,990 บาท กำหนดจ่ายค่าจ้างทุกวันสิ้นเดือน วันที่ 16 พฤษภาคม 2548 โจทก์ที่ 1 ลงลายมือชื่อในหนังสือยินยอมชดใช้เงินค่าเสียหายแก่จำเลย ตามเอกสารหมาย ล.14 ต่อมาจำเลยมีหนังสือไล่โจทก์ที่ 1 ออกจากการเป็นพนักงานมีผลในวันที่ 30 พฤษภาคม 2548 เนื่องจากโจทก์ที่ 1 ปล่อยปละละเลยเป็นเหตุให้สินค้าในคลังสินค้าสูญหายไปในราคาต้นทุนจำนวน 334,814.55 บาท เป็นการกระทำโดยประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรง และจำเลยหักเงินเดือนโจทก์ที่ 1 ไว้ 27,006 บาท จำเลยไล่โจทก์ที่ 2 ออกจากการเป็นพนักงานมีผลตั้งแต่วันที่ 31 พฤษภาคม 2548 เนื่องจากโจทก์ที่ 2 ไม่ได้ส่งใบยืมสินค้าตามสำเนาเอกสารหมาย ล.19 ไปเก็บเงินตามรายการที่ 1 ที่ 2 ที่ 3 ที่ 7 ที่ 8 และที่ 6 บางส่วนจากบริษัทขนส่งสินค้าและตามใบยืมดังกล่าวไม่ปรากฏชื่อผู้อนุมัติ โจทก์ที่ 2 ส่งมอบสินค้าตามสำเนาใบยืมสินค้าเอกสารหมาย ล.21 ไปโดยไม่ปรากฏชื่อผู้อนุมัติ การที่โจทก์ที่ 2 มอบสินค้าตามใบยืมดังกล่าวไปโดยพลการ เป็นการกระทำที่ผิดระเบียบข้อบังคับของจำเลย ถือได้ว่าเป็นการกระทำโดยทุจริตต่อหน้าและจงใจทำให้จำเลยได้รับความเสียหาย ดังนั้นที่โจทก์ที่ 1 อุทธรณ์ว่าในชั้นสืบพยานจำเลยเพียงกล่าวอ้างลอยๆ ว่าโจทก์ที่ 1 ประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรงเป็นเหตุให้สินค้าสูญหายไป แต่จำเลยไม่ได้นำสืบจนเห็นประจักษ์ว่าโจทก์ที่ 1 ประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรงอย่างไร จำเลยเพียงกล่าวอ้างเอกสารหมาย ล.4 เป็นพยาน ซึ่งโจทก์ที่ 1 นำสืบแก้ว่าการที่โจทก์ที่ 1 และนายพัฒนะ อภิวณิชย์กุล ยอมลงชื่อในหนังสือยินยอมชดใช้เงินค่าเสียหายแก่จำเลย เนื่องจากถูกนายสุทธิเดช ถกลศรี กรรมการผู้จัดการของจำเลยใช้กลฉ้อฉลหลอกหลวงให้โจทก์ที่ 1 รับผิดหักเงินเดือนชดใช้ค่าเสียหาย เพื่อเรื่องจะได้จบลงและจะได้ทำงานกันต่อไป นอกจากนี้สินค้าสูญหายประมาณ 0.03 % ไม่อาจถือได้ว่าได้รับความเสียอย่างร้ายแรงนั้น จึงเป็นอุทธรณ์โต้แย้งดุลพินิจในการรับฟังพยานหลักฐานของศาลแรงงานกลางเพื่อนำไปสู่ข้อกฎหมาย ถือเป็นอุทธรณ์ในข้อเท็จจริง และที่โจทก์ที่ 2 อุทธรณ์ว่าการนำสืบพยานจำเลยไม่มีส่วนใดที่ชี้ให้เห็นว่าโจทก์ที่ 2 กระทำผิดอาญาโดยลักทรัพย์ของจำเลยอย่างไร เมื่อไร จำนวนเท่าใด จำเลยเพียงนำสืบว่าโจทก์ที่ 2 เป็นเช็คเกอร์ให้พนักงานบริษัทขนส่งสินค้ายืมสินค้าไปโดยไม่มีอำนาจและมีการแก้ไขรายการสินค้า วันที่ในใบยืมสินค้าโดยกล่าวอ้างว่าโจทก์ที่ 2 กระทำผิดระเบียบของจำเลย แต่ไม่สามารถนำสืบหรือมีพยานเอกสารมาแสดงว่าระเบียบของจำเลยมีหรือไม่ อย่างไร ประกาศไว้ที่ไหน เมื่อใด มีลายลักษณ์อักษรหรือไม่ จำเลยกล่าวอ้างลอยๆ ว่าโจทก์ที่ 2 ทำผิดระเบียบ ทั้งที่ไม่มีระเบียบกำหนดบังคับมาก่อน การที่ใบยืมสินค้าที่แก้ไขจำนวนสินค้าและวันที่นั้นเป็นการลักทรัพย์อย่างไร โจทก์ที่ 2 นำสืบแก้ว่าในกรณีบริษัทขนส่งสินค้ายืมสินค้าเกิดจากสินค้านำไปส่งแก่ลูกค้าไม่ครบจำนวนหรือสลับกันกับรถขนสินค้าอื่นหรือกรณีรถขนส่งสินค้าเกิดอุบัติเหตุทำให้สินค้าหาย บริษัทขนส่งสินค้าก็จะมายืมสินค้าไปให้ลูกค้าก่อนแล้วคืนสินค้าภายหลัง การยืมสินค้าหากไม่มากโจทก์ที่ 2 มีสิทธิให้ยืมได้ การที่จำเลยกล่าวอ้างว่าโจทก์ที่ 2 จ่ายสินค้าไปตามใบยืมสินค้าเอกสารหมาย ล.19 และ ล.21 โดยไม่มีอำนาจ เป็นการทุจริตต่อหน้าที่ทำให้จำเลยได้รับความเสียหาย เป็นการกล่าวอ้างลอย ไม่มีพยานสนับสนุน ก็เป็นอุทธรณ์โต้แย้งดุลพินิจในการรับฟังพยานหลักฐานของศาลแรงงานกลางเพื่อนำไปสู่ข้อกฎหมาย ถือเป็นอุทธรณ์ในข้อเท็จจริงอีกเช่นกัน อุทธรณ์ของโจทก์ทั้งสองจึงต้องห้ามมิให้อุทธรณ์ตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. 2522 มาตรา 54 วรรคหนึ่ง ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยให้
มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของจำเลยว่า ที่ศาลแรงงานกลางพิพากษาให้โจทก์ที่ 1 ชดใช้ราคาให้จำเลยในราคาต้นทุน เป็นการวินิจฉัยขัดต่อพยานหลักฐานในสำนวนหรือไม่ เห็นว่า ศาลแรงงานกลางฟังข้อเท็จจริงว่า เมื่อโจทก์ที่ 1 ตกลงสมัครใจทำหนังสือยินยอมชดใช้ค่าเสียหายให้จำเลย โดยโจทก์ที่ 1 ขอรับผิดชอบในวงเงิน 25 % ของราคาสินค้าที่สูญหายของจำเลย และให้ถือว่าสินค้าที่สูญหายโดยคิดเป็นราคาต้นทุนซึ่งเป็นค่าเสียหายจำนวน 334,814.55 บาท จึงเป็นการรับฟังราคาสินค้าสูญหายจากราคาทุนขัดกับหนังสือยินยอมชดใช้เงินค่าเสียหายตามเอกสารหมาย ล.14 ที่โจทก์ที่ 1 ทำกับจำเลย อันเป็นสัญญาประนีประนอมยอมความตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 850 ทำให้หนี้เดิมซึ่งโจทก์ที่ 1 จะต้องรับผิดตามสัญญาจ้างแรงงานต่อจำเลยเต็มตามจำนวนค่าเสียหายเป็นอันระงับไป โดยจำเลยยอมผ่อนผันรับชำระเพียง 25 % เป็นเงินจำนวน 270,058.75 บาท อันเป็นมูลหนี้ใหม่ตามสัญญาประนีประนอมยอม ชอบที่ศาลแรงงานกลางจะต้องให้โจทก์ที่ 1 รับผิดต่อจำเลยตามจำนวนยอดเงินในสัญญาประนีประนอมยอมความที่แจ้งชัดแล้ว ไม่อาจไปรับฟังหนี้ค่าสินค้าสูญหายต้องคิดในราคาต้นทุนซึ่งระงับไปได้อีก โจทก์ที่ 1 จึงต้องรับผิดชำระเงินตามสัญญาประนีประนอมยอมความจำนวน 270,058.75 บาท แก่จำเลย โดยหักเงินค่าจ้างที่จำเลยหักไว้ 27,006 บาท จึงเหลือ เงินที่โจทก์ที่ 1 ต้องชำระ 243,052.75 บาท แก่จำเลย ที่ศาลแรงงานกลางพิพากษามานั้นเป็นการวินิจฉัยขัดต่อพยานหลักฐานในสำนวน ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย อุทธรณ์ของจำเลยฟังขึ้น
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้โจทก์ที่ 1 ชำระเงินแก่จำเลยจำนวน 243,052.75 บาท ยกอุทธรณ์ของโจทก์ทั้งสอง นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลแรงงานกลาง.